รูปภาพ:https://media1.tenor.com/images/d198e9766bd5382a9a414b41049250c9/tenor.gif?itemid=5718807

สวัสดีค่าา สาวๆSistaCafeที่น่ารักทุกคน (.❛ ᴗ ❛.)ช่วงนี้มีซิสคนไหนกำลังใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ไม่เป็นจังหวะกันอยู่รึเปล่า? ไม่ใช่มีความรักนะ แต่มีเรื่องใหญ่มากในชีวิตต้องตัดสินใจ เช่น เปลี่ยนที่ทำงาน, เลือกคณะและมหาลัย, ย้ายถิ่นฐานไปต่างประเทศ, ลงทุนกับธุรกิจส่วนตัว etc.ถ้าผลออกมาดีก็สบาย แต่ถ้าพลาดก็ลงเหว ใช้คำว่า ' เสี่ยง ' เลยก็คงจะได้ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่พร้อมรับความเสี่ยงนั้น แต่ใจก็อยากลองทำแหละ โอกาสมาถึงแล้วก็ต้องรีบคว้าไว้ สับสนไปหมด จะทำยังไงดี?แม้การรับความเสี่ยงในชีวิต ก็ทำให้เราได้เรียนรู้ พบเจออะไรใหม่ๆ แต่จะผลีผลามตัดสินใจเลยก็คงจะไม่ได้ ต้องคิดทบทวนให้รอบด้านซะก่อน เพราะบางโอกาสเป็น One way chance ทำได้รอบเดียว กลับมาแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว T^Tดังนั้นในบทความนี้ เราจึงขอให้สาวๆ ที่กำลังลังเลเหมือนยืนอยู่บนปากเหว แต่ไม่รู้จะไปปรึกษาใคร ให้อ่าน' 7 สิ่งที่ต้องทบทวน เมื่อต้องเสี่ยงครั้งใหญ่ เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม 'แล้วชั่งน้ำหนักให้ดี ก่อนลงมือ จะได้ไม่เสียใจภายหลังนะคะ (* ^ ω ^)

1. เข้าใจและยอมรับ หากผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่หวัง

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/6f5d7b7d219d091d74f1d8bf2e4b4a75.jpg

เหรียญมีสองด้านเสมอ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็น ' ความเสี่ยง ' มันไม่ได้มีแค่ข้อดีหอมหวานอยู่ตรงหน้าแน่นอน แต่มีโอกาสที่จะเกมพลิกได้เช่นกัน หากจะลงมือทำสิ่งนี้ ต้องแน่ใจจริงๆ ว่าถ้าไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ จะรับ worst case หรือกรณีที่เลวร้ายที่สุดของมันได้


เช่น จะลงเงินขันทำธุรกิจกับเพื่อน ถ้าธุรกิจเจ๊ง เพื่อนหักหลังโดนโกงเงิน จะมีวิธีแก้เกมยังไง ( เรื่องนี้ไม่ตลกนะ เงินไม่เข้าใครออกใครนะจ๊ะ ถ้าไม่ทำสัญญาให้รัดกุม ) หรือลงเงินก้อนสุดท้ายเรียนต่อปริญญาโท ถ้าจบมาแล้วไม่มีงานทำ หรือได้เงินเดือนเท่าตอนจบตรี ทำใจได้ไหม? ยอมรับได้ไหม? ต้องตอบตัวเองให้ได้ค่ะ

เราแนะนำให้มี ' แผนสำรอง ' ไว้เสมอ จะได้ใช้ไหมไม่รู้ แต่มีไว้ก่อนดีกว่าเกิดวิกฤติแล้วไม่มีอะไรรองรับเลย ถ้าจะลงเงินทำอะไรสักอย่าง ก็ควรมีส่วนที่เป็นเงินเย็นไว้กินอยู่ ไม่ควรทุ่มไปเลย 100% เพราะอนาคตไม่แน่นอน แล้วค่อยลงมือทำ


ทางที่ดีเผื่อใจไว้เลยว่า " ได้ผลดีเท่าที่คิดไว้ 50% ก็หรูแล้ว " จะได้ไม่ผิดหวังมาก หากดีกว่านั้นก็กำไร หากแย่กว่านั้นก็จะได้เรียนรู้และเพิ่มประสบการณ์ในชีวิตค่ะ

2. ศึกษาค้นคว้า หาข้อมูลเพื่อ 'อุดรูรั่วความเสี่ยง' นี้ให้มากที่สุด

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/1e71c1e74cac24b79c0cc867b1fa8040.jpg

เชื่อมโยงกับข้างบน ในเมื่อเรารู้อยู่แล้วว่าทุกโอกาสมีความเสี่ยงที่จะพัง ยิ่งเราต้องเสียอะไรไปหลายอย่างเพื่อมัน เช่น เงิน เวลา ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง เราก็ควรเซฟตัวเองด้วยการอุดรูรั่วความเสี่ยงนั้น ด้วยการ ' ศึกษาหาข้อมูล ' หาจุดบอด จุดด้อยของสิ่งที่จะทำให้เยอะที่สุด


ข้อดีน่ะใครก็โฆษณาได้ แต่ข้อเสีย ข้อไม่ดี จะมีสักกี่คนที่กล้าพูดในที่สาธารณะ เช่น จะเรียนต่อ ก็ต้องศึกษาหลักสูตรเขาให้ดีว่าเหมาะกับสายงานในอนาคตไหม เสิร์ชหาข้อมูลของศิษย์เก่าว่าจบไปแล้วเป็นยังไง อาจารย์สอนดีไหม สื่อการสอนมีคุณภาพไหม เป็นต้น

ทั้งนี้ต้องเตือนไว้ก่อนว่า แม้เราจะคิดว่าเรารู้จุดบอด อุดช่องโหว่ได้ทุกรูแล้ว แต่โลกมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตอนเราเข้าไปทำอาจจะมีปัญหาใหม่สดๆ ร้อนๆ โผล่ขึ้นมาโดยไม่มีใครรู้มาก่อนก็ได้ สิ่งที่ทำได้คือเตรียมรับมือ และต้องมีทักษะแก้ไขปัญหาเฉพาะด้าน

ในด้านของความรักก็เช่นกัน การจะคบใครสักคนเป็นแฟนก็ถือเป็นความเสี่ยงที่ยิ่งใหญ่ เพราะเขาต้องอยู่กับเราไปทั้งชีวิต แม้ตอนนี้จะดูเป็นคนดีแค่ไหน แต่ถ้าสักวันเขานอกใจ เขาก่อหนี้ เราจะทำยังไง? อันนี้ก็เป็นโจทย์ที่เธอต้องแก้ไขให้ได้ค่ะ

3. อย่าตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆ ตอน 'สติสัมปชัญญะไม่ครบถ้วน' เด็ดขาด!

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/6d12e1391b7104b33943cc9e176ef32f.jpg

พูดเลยว่าข้อนี้ทำพังกันมาเยอะแล้ว การตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆ อย่างเซ็นสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร หรือโดนอัดเสียงพูดให้ทำอะไรที่ไม่เต็มใจ เพราะตอนนั้นเมา เบลอฤทธิ์ยา เพิ่งตื่น สติไม่ครบถ้วนแหละว่าง่ายๆ!

หากเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ อย่างวันนี้จะกินอะไร ใส่ชุดอะไรไปเที่ยวก็ยังพอว่า แต่ถ้าทำสัญญาธุรกิจ เซ็นเอกสารประกัน กรอกวีซ่าเรียนต่อ ใดๆ ห้ามทำตอนสติไม่ 100% เด็ดขาดค่ะ!

กรณีตัวอย่างก็เช่น อย่าแตะ ย้ำว่าอย่าแตะแอลกอฮอล์เลย เวลาต้องลงมือหรือตัดสินใจอะไรจริงจัง ไม่งั้นคงไม่มีกฎหมายว่า ถ้าดื่มเหล้าห้ามขับรถเพราะเมื่อแอลกอฮอล์เข้าปาก กระบวนการคิดของเราจะแย่ลง หรืออาจเปลี่ยนไปจากตอนปกติจากหน้ามือเป็นหลังมือได้เลยทีเดียว ดังนั้นรอให้สติกลับมาครบถ้วน สมองปลอดโปร่งแจ่มใส ค่อยเริ่มทำเรื่องใหญ่ที่จะเปลี่ยนทิศทางชีวิตนะคะ

4. รับความเสี่ยงนี้เพื่อ 'ประโยชน์ของตัวเอง' จริงๆ ไม่ใช่คนอื่น

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/c282c31aa77b36502217c18b6db8c444.jpg

ไม่ว่าจะตัดสินใจทำอะไรลงไป ขอให้แน่ใจว่าทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้นค่ะซิส! สาวๆ บางคนได้รับแรงกดดันจากสังคมรอบข้าง ครอบครัวที่คอยบอกว่าให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ตามที่พวกเขาต้องการ


ใจลึกๆ ก็ไม่ได้อยากทำหรอก แต่ก็ตามใจพวกเขาเพราะต้องการการยอมรับ หรือขี้เกียจมีปัญหางัดกับผู้ใหญ่ ทำให้มันจบๆ ไป แต่สุดท้ายก็มานั่งเสียใจร้องไห้ทีหลัง เพราะไม่ใช่สิ่งที่อยากทำแต่แรกค่ะ

อย่างที่เราเห็นบ่อยๆ คือการเรียนปริญญาโทค่ะ! เพื่อนเราหลายคนแอบมาปรับทุกข์ว่า แค่เรียนเพราะอยากปรับฐานเงินเดือน หรือแม่อยากให้เรียนสูงๆ แต่ตัวเองไม่ได้ชอบคณะนี้เลย เจอความทรมานในการคิดหัวข้อทีสิส ค้นคว้าวิจัยก็ไปไม่ถึงไหน ลงเอยด้วยการเรียนไม่จบสักที


คนที่ยังทำงานประจำ ประสิทธิภาพของงานก็ลดลง คนที่ลาออกมาเรียนอย่างเดียวก็เครียดเพราะทั้งไม่มีรายได้ แถมต้องทุ่มเวลาให้สิ่งที่ไม่ได้มีแพชชั่น ถ้าสาวซิสไม่อยากเจอประสบการณ์แบบนั้น ก็อย่าทำอะไรตามใจคนอื่น ถ้าไม่ได้มีใจแรงกล้าอยากทำเอง ก็อย่าทำ!!

5. เชื่อใน 'สัญชาตญาณ' ของตัวเองทุกครั้ง ถ้ารู้สึกเอ๊ะ ต้องหยุดทันที!

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/ee4deb12c121677440c499675c7552d1.jpg

ลางสังหรณ์แรกมักจะถูกเสมอ ยิ่งใครที่มี ' เซนส์ ' แรง สังเกตสถานการณ์ออก อาจเห็นสิ่งที่ผิดปกติตอนที่ทุกคนยังมองไม่เห็นสัญญาณนั้นด้วยซ้ำ


อย่ามองข้ามสิ่งเหล่านี้เด็ดขาดหากต้องตัดสินใจในเรื่องใหญ่ๆ เช่น ซื้อบ้านซื้อรถ แม้จะเป็นวันเซ็นสัญญาแล้วก็ตาม ถ้าสัมผัสได้ถึงจุดที่รู้สึกเอ๊ะ หรือลางสังหรณ์แปลกๆ ก็อย่าดื้อดันทุรัง อย่าฝืนทำ กลับมาคิดทบทวนอีกครั้งก็ยังไม่สายค่ะ

อาจจะทางไสยศาสตร์ไปนิด แต่บางทีสิ่งที่หาสาเหตุไม่ได้ แต่รู้สึกได้โดยไม่มีเหตุผล ก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เขามาเตือน ขนาดจิ้งจกทักยังต้องฟัง นกอึใส่หัวยังต้องหยุด นี่ความรู้สึกภายในของเราเองเลยนะเชื่อในความรู้สึกนั้นแล้วทำตามสัญชาตญาณของตัวเองจะดีกว่า

6. แน่ใจว่าความเสี่ยงนี้ 'คุ้มที่จะแลก' เพราะเธอต้องเสียบางอย่างเพื่อมัน!

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/b9c88500af2132b201af943ac46a86aa.jpg

ขึ้นชื่อว่าความเสี่ยง ไม่มีทางที่เธอจะได้อย่างเดียว โดยไม่ต้องเสียอะไรไปเลย! ยิ่งเป็นเรื่องตัดสินใจที่ใหญ่มากๆ สิ่งที่ต้องเสียก็เยอะมากขึ้นเท่านั้น เหมือนการพนันนั่นแหละค่ะ เดิมพันเยอะ ถ้าได้กำไรก็รวย ถ้าขาดทุนก็อาจถึงขั้นหมดตัวได้

ต้องเตรียมตัว คิดหนักๆ ถึงข้อดีข้อเสียว่าสิ่งนี้คุ้มที่จะแลก เรื่องบางอย่างแลกแล้วแลกเลย เอาคืนไม่ได้แล้ว เช่น การลาออกจากงาน การขายบ้าน ขายรถ เพื่อนำเงินไปย้ายถิ่นฐานหรือซื้ออสังหาชิ้นใหม่ เป็นต้น

เรียกได้ว่าต้องใช้ ' ความกล้าบ้าบิ่น ' เพื่อตัดสินใจพอสมควร ยังมีสาวๆ อีกหลายคนที่ไม่สามารถก้าวข้ามได้ มีทั้งคนที่ยังไม่กล้าแลก และคนที่คิดทบทวนแล้วว่าสิ่งที่จะแลก กับสิ่งที่ได้มันไม่คุ้ม

สถานการณ์ของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันเนอะ ทัศนคติ ความเชื่อ สังคม ค่านิยมก็ต่าง เราคงตอบแทนใครไม่ได้ เธอต้องลองไปคิด ตัดสินใจเองค่ะ

7. รู้ลิมิตของตัวเอง พร้อมที่จะ 'เปลี่ยนใจ' หากเงื่อนไขเก่าไม่เหมือนเดิม

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/45c2ea3cf388b75ca88840f837157f72.jpg

ไม่ต้องกลัวถ้าอยาก ' เปลี่ยนใจ ' กะทันหัน แม้เริ่มลงมือทำไปแล้ว ที่จริงไม่ว่าจะเพิ่งเริ่ม ทำเสร็จไปแล้วครึ่งนึง หรือเกือบจะ 100% แล้วก็ตาม

หากทำไปแล้วไม่เป็นไปอย่างที่คิด รู้สึกไม่โอเค ส่งผลเสียกับสุขภาพกายและจิต ทรมานจนทนไม่ไหว ไม่คุ้มกับเวลาและความพยายามที่เธอลงทุนไป ซิสก็มีสิทธิ์เต็มที่ที่จะหยุด ยกเลิก หรือเลื่อนเป้าหมายที่อยากทำออกไปก่อนค่ะ

จำไว้ว่าสุดท้ายแล้ว เธอเป็นคนเดียวที่ต้องรับผิดชอบผลลัพธ์ที่ตามมา ในบางเคสอาจมีคนอื่นได้รับผลกระทบบ้าง แต่คนที่เจ็บที่สุดคือเธออยู่ดี เช่น ธุรกิจช่วงโควิดขาดทุน แบกรับค่าใช้จ่ายไม่ไหวแล้ว ต้องปิดตัว


เธออาจรู้สึกผิดที่ทำให้ลูกน้องต้องตกงาน ต้องเสียลูกค้า แต่ภาระค่าใช้จ่าย การดูแลธุรกิจก็ตกหนักที่เธอที่สุด ต้องยอมรับว่ามันไปไม่ไหว รู้ว่าจุดไหนที่ควรหยุด ไม่ใช่พยายามแบกจนเป็นหนี้หัวโต ถึงตอนนั้นปัญหาจะยิ่งลุกลามเหมือนไฟไหม้บ้าน ให้มันจบตอนนี้จะดีกว่า

รูปภาพ:https://pa1.narvii.com/6415/fd7c7f2e86aff1db995ed820098ba4b403cc82d6_hq.gif

-----------------------------

อ่านครบทั้ง 7 ข้อนี้แล้ว หวังว่าสาวซิสจะได้ข้อมูลนำไปคิดทบทวนให้ดีว่า ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ ทั้งสภาพแวดล้อม จิตใจ การงานการเงิน เราพร้อมจะแบกรับความเสี่ยงในตอนนี้ไหม ยิ่งช่วงนี้อะไรๆ ก็ยังไม่แน่นอน ถ้าเธอยังไม่มั่นใจกับเป้าหมายที่ตัวเองลงมือทำ มันจะยิ่งเลื่อนลอยกันไปใหญ่ แต่ถ้าคิดตกผลึก ตกตะกอนแล้วว่าจะทำแน่ๆ ไม่มีอะไรต้องเสียแล้ว ก็ ' จ่าย ' ราคานั้นเลย อย่าไปกลัว!

เพราะเอาจริงๆ นะ สุดท้ายชีวิตคนเราไม่ราบเรียบไปตลอดหรอก ถึงอยู่เฉยๆ ก็มีคลื่นซัดมากระทบได้ตลอด แค่จะมีสัญญาณเตือนหรือไม่เท่านั้น ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็ช่วงโควิดนี่ล่ะค่ะ ไม่พร้อมเจอปัญหาก็ต้องเจอจนได้ เพราะฉะนั้นความเสี่ยงที่เราได้ลงมือเอง แม้ในที่สุดแล้วผลลัพธ์หลังจากนั้นจะไม่สวยงามอย่างที่ฝัน แต่เราก็จะได้ประสบการณ์เพื่อปรับปรุงแก้ไขในโอกาสครั้งหน้า ถ้าชีวิตเป็นเส้นตรงไปหมด จะต่างอะไรกับการถูกขังอยู่ในกรง ตอนยังแข็งแรง มีกำลัง ใช้มันให้สุดดีกว่า แก่ตัวไปนึกย้อนกลับมาจะได้ไม่เสียดายเวลานะคะ

(*˘︶˘*).。.:*♡