รูปภาพ:https://i.pinimg.com/originals/16/6f/ba/166fba0129543f493c861fab65f2060d.gif

สวัสดีค่า สาวๆSistaCafeคนชอบฝันทุกคนนถ้าลองถามคนรอบตัวสัก 10 คน แทบทุกคนต้องเคย ' ฝัน ' เป็นเรื่องเป็นราวอย่างน้อยสักครั้งหนึ่งในชีวิต! แม้แต่ตัวเธอเอง ก็น่าจะเคยฝันอะไรแปลกๆ ที่หลุดโลก แฟนตาซี หรือสมจริงเกินไปจนขนลุก จนต้องมานั่งทบทวนว่าฝันนั้นมีความหมายว่ายังไงกันแน่ในทางวิทยาศาสตร์ เราใช้เวลา 1 ใน 3 ของชีวิตไปกับการนอนหลับ ฝันทุกคืนแต่จำบ้างไม่ได้บ้าง แต่ความลึกลับคือสมองเราประมวลผลยังไงให้เกิดภาพในฝันเป็นฉากๆ กันแน่ แถมฝันบางฝันยังเหมือนลางบอกอนาคต ที่บางครั้งก็เกิดขึ้นจริงซะด้วย!

นักวิทยาศาสตร์ค้นคว้าหาความหมายของ ' ฝัน ' กันมาอย่างยาวนาน ถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ได้รอบด้าน 100% เพียงแต่รู้คร่าวๆ ว่ามันคือมโนในจิตใต้สำนึกที่มีทั้งเสียงและภาพ โดยเราจะฝันในช่วงหลับลึก ( REM ) เสมอ ซึ่งในทางจิตวิทยานักบำบัดวิเคราะห์ไว้ว่า ความฝันสะท้อนความต้องการที่ขาดหาย หรือบาดแผลในชีวิตที่เราต้องการเยียวยา ส่วนนักวิจัยบอกว่า ฝันมีขึ้นเพื่อจัดการระบบความจำในสมองในบทความนี้ เราจะพาสาวๆ มาอ่าน' 7 เกร็ดความรู้น่าทึ่งเกี่ยวกับความฝัน 'ทั้งทางวิทย์จ๋าๆ และทางจิตวิทยา ที่เธออาจไม่เคยได้ยินมาก่อน เพื่อทำความเข้าใจฝันที่มีในอดีต และรับมือกับฝันในอนาคตได้ดีขึ้น จะมีอะไรน่าสนใจบ้าง เราไปลุยกันเลยดีกว่าค่ะ!

1. ใบหน้าคนที่ชัดเจนในความฝัน จะเป็น 'คนที่เรารู้จักอยู่แล้ว' เท่านั้น

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/441dbf053259c550605820964638b32c.jpg

ลองทบทวนความฝันต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตดูสิคะ ส่วนใหญ่ถ้าในฝันมีผู้คนอยู่ด้วย ใบหน้าที่เราไม่รู้จักจะเป็นภาพเลือนลาง เบลอๆ เหมือนถูกเซนเซอร์ ในขณะที่ใบหน้าชัดเจน จะเป็นคนที่เรารู้จักอยู่แล้ว เช่น เพื่อน พ่อแม่ พี่น้อง ครูอาจารย์ หัวหน้าหรืออย่างน้อยคนนั้นก็ต้องเคยเดินสวนกัน ซึ่งตัวเธอเองน่ะจำไม่ได้หรอก แต่หน่วยความจำสมองลึกๆ น่ะยังบันทึกหน้าเหล่านั้นเก็บไว้อยู่นั่นเองผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่า สมองมนุษย์ไม่สามารถครีเอทใบหน้าแบบใหม่ๆ 100% ขึ้นในความฝันได้ ดังนั้นใบหน้าที่เธอเจอในฝัน เธอต้องเคยเจอมาก่อนสักครั้งในชีวิต ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะแปรผันตรงกับ ' บทบาท ' ในฝันด้วยเช่น คนที่เธอสนิท ในฝันก็จะอยู่แก๊งเดียวกัน หรือมีบทพูดกับเธอโดยตรง ส่วนคนที่แค่เคยเห็นหน้า ก็อาจอยู่ร่วมเฟรมกันเฉยๆ เป็นคนเดินผ่านไปมา เป็นต้นแต่ในบางเคสก็มีการผสมผสานกัน เช่น เธออาจรู้สึกว่าได้คุยกับคนสนิทมากในชีวิตจริง บุคลิกนิสัยคือใช่เลย แต่ใบหน้ากลับเป็นใครก็ไม่รู้ ( ซึ่งจริงๆ เคยเจอแล้วแหละแต่เธอจำไม่ได้ ) ก็เกิดขึ้นได้เช่นกันค่ะ

2. ไม่ใช่ทุกคนที่ความฝันจะเป็น 'ภาพสี'

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/bce17fb1c7d18360d8f17afc60ae4107.jpg

ความจริงที่น่าแปลกใจอีกอย่างก็คือ ไม่ใช่ทุกคนบนโลกนี้จะมีความฝันเป็นภาพสี่สีสดใสเหมือนเราๆ นะคะซิส!


อันที่จริงแล้ว คนสายตาปกติถึง 12% เลยทีเดียว ที่ฝันเป็นภาพขาวดำ โดยมีงานวิจัยช่วงปี 1915-1950's ว่าฝันส่วนใหญ่มักเป็นภาพขาวดำ แต่หลังจากปี 1960's ก็กลายเป็นฝันภาพสีแทน สรุปคือเมื่อเวลาผ่านไป คนที่ฝันเป็นภาพขาวดำก็ค่อยๆ น้อยลงเรื่อยๆ ค่ะ

นักวิจัยจึงตั้งข้อสังเกตว่า ฝันภาพขาวดำ-ฝันภาพสี น่าจะมีความสัมพันธ์กับเทคโนโลยีสมัยก่อนที่โทรทัศน์ยังเป็นภาพขาวดำ จนยุคสมัยเจริญขึ้น พัฒนามากขึ้น โทรทัศน์สีจึงแพร่หลายสู่ท้องตลาดสำหรับคนรุ่นใหม่ที่เกิดช่วง 1990's ขึ้นไปคงไม่ค่อยมีปัญหานี้เพราะทีวีเป็นภาพสีหมดแล้ว แต่ลองถามรุ่นคุณปู่คุณย่าอายุ 70 ปีขึ้นไปดูค่ะ พวกท่านอาจจะเคยเจอประสบการณ์ฝันเป็นภาพขาวดำบ้างก็เป็นได้ ♡ ( ̄З ̄)

3. สภาวะจิตใจของเธอ 'ถูกกระตุ้นให้ตื่น' ในความฝัน มากกว่าชีวิตจริงเสียด้วยซ้ำ

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/c69bf7625f5ea5472d07ef0e75195d43.jpg

คนส่วนใหญ่มักคิดว่า การนอนหลับจะทำให้กระบวนการของร่างกายและจิตใจทำงานช้าลง หรือปิดการทำงานไปเลยโดยเฉพาะสมอง เพราะมันก็น่าจะเป็นอย่างนั้นการนอนคือการพักผ่อน ชาร์จแบตตัวเองนี่นา ตื่นมาแล้วก็รู้สึกสดชื่นแจ่มใสดี แปลว่าต้องได้พักสิ แต่ตรงกันข้ามเลยค่ะซิสเพราะสมองทำงานช่วงที่เราหลับอยู่ตลอดเวลา!มโนความคิด จิตใจของเราทำงาน 24 ชั่วโมงแม้ในขณะหลับ อันที่จริงแล้วสมองของเราตื่นตัวมากกว่าตอนตื่นอยู่จริงๆ เสียด้วยซ้ำ! จะเห็นว่าในความฝันหลายครั้ง บางทีมีรายละเอียดและข้อมูลละเอียดมาก ซึ่งเกี่ยวโยงกับคลื่นไฟฟ้าในสมองเพราะตอนที่เธอยังใช้ชีวิตปกติ สมองมัววุ่นวายอยู่กับการประมวลผล ติดตามสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อชั่วโมงก่อนหน้า แก้ไขปัญหาต่างๆ มากมาย จึงมีผลต่อเนื่องมาถึงตอนฝันนั่นเองค่ะบางวิจัยบอกว่า สมองจะทำงานมากกว่าปกติช่วงหลับ เมื่อสาวๆ ได้รับประสบการณ์ใหม่ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา หรือเจอเรื่องใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิต ความคิดและความรู้สึก ไม่ว่าจะในด้านบวกหรือลบก็ตามหากวันไหนเธอเจอเรื่องดีหรือแย่นอกเหนือจากชีวิตประจำวัน ลองสังเกตตัวเองดูนะคะว่าคืนนั้น' ฝัน 'หรือเปล่า?

4. ความฝันช่วยจุดประกาย ต่อยอด 'ความคิดสร้างสรรค์' ได้

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/c37471d2452dbc08c8876e07ab8e8392.jpg

ความฝันไม่ใช่เรื่องไร้สาระ เพราะอย่างน้อยก็เอาไปแทงหวยได้ #ผิด แต่มันมีค่ามากกว่า ' ความคิดฟุ้งซ่าน ' อย่างที่ใครดูถูกอย่างแน่นอน! เพราะการที่สาวๆ ฝัน สามารถพัฒนาความสามารถบางอย่าง ที่อาจไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันโดยตรง


มีงานวิจัยเปิดเผยว่า ความฝันอาจเกี่ยวข้องกับทักษะแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ พัฒนาความครีเอทมากขึ้น สาวๆ คนไหนที่เป็นศิลปิน จิตรกร นักเขียน กราฟฟิก น่าจะเข้าใจฟีลต้องจดไอเดียในฝันกลางดึก เพราะกลัวตอนเช้าจะลืม!!

นั่นเพราะกระบวนการฝันจะใช้ ' จินตนาการ ' ในการสร้างฝันหนึ่งๆ ขึ้นมา ซึ่งสมองจะเกิดการวิเคราะห์ จัดการปัญหามากมายในช่วงขณะหลับ ซึ่งเป็นสิ่งที่คล้ายคลึงกันเวลาเธอครีเอทอะไรสักอย่างในชีวิตจริง คนที่ทำงานเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ มักจะได้ไอเดียดีๆ หลังคืนที่ฝันชัดเจน ( vivid dream ) และอาจได้แรงบันดาลใจดีๆ จากความฝันอีกด้วย


เช่น ถ้าเธอมีฝันแนวแฟนตาซี, ได้แก้ไขปัญหาที่ท้าทาย หรือเจอความทรงจำในอดีต จะเกิดการกระตุ้นความรู้สึกอย่างรุนแรง ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ เหมือนจุดประกายปิ๊ง! หลังตื่นนอนเลยทีเดียว สาวๆ คนไหนต้องส่งงาน แต่หัวตื้อมาทั้งวันแล้ว ไม่แน่คืนนี้อาจจะฝันอะไรดีๆ จนคิดงานส่งเจ้านายทันก็ได้!

5. คนตาบอดสนิท ก็มี 'ความฝัน' ได้เช่นเดียวกัน

รูปภาพ:https://i.pinimg.com/564x/2b/83/23/2b83239ebfb76ba87fc83417bf235c59.jpg

เป็นความรู้ใหม่เลยว่า ไม่ใช่แค่คนสายตาดีเท่านั้น แต่คนตาบอดก็สามารถฝันได้เช่นกัน! ถ้าเป็นคนที่เกิดมาตาปกติ แต่เสียดวงตาจากอุบัติเหตุหรือโรคร้าย ก็จะยังฝันเห็นภาพและเสียงเหมือนคนทั่วไป


เพราะสมองได้รับประสบการณ์นั้นไปแล้ว แม้ตอนนี้เสียอวัยวะก็ยังฝันเหมือนในอดีตได้อยู่ค่ะ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ฝันที่เป็นภาพก็จะเลือนลางไปเรื่อยๆ ตามกาลเวลา

แต่ในกลุ่มคนที่ตาบอดสนิทแต่เกิด ไม่เคยได้รับประสบการณ์เห็นภาพใดๆ ในชีวิตเลย ไม่เข้าใจว่าการเห็นภาพผ่านดวงตาเป็นยังไง เขาก็ฝันเช่นกัน แต่จะฝันในรูปแบบ ' รส กลิ่น เสียง การสัมผัส ' หรือความรู้สึกอื่นๆ ที่ไม่ต้องใช้ดวงตา

บางงานวิจัยบอกว่าคนที่ตาบอดแต่เกิด มักฝันร้ายบ่อยกว่าคนตาปกติ เพราะทฤษฎีของฝันร้ายคือ " เป็นการฝึกจิตใจ เมื่อเจอเหตุการณ์ที่ทำให้เป็นทุกข์ จะพัฒนาวิธีแก้ไขปัญหาได้ " ซึ่งพวกเขาจะเจอมากกว่า เช่น คนตาบอดมักฝันเกี่ยวกับเรื่องหลงทาง, โดนรถชน หรือเสียสุนัขนำทางไป เป็นต้น

6. ความฝันที่เราเห็น คือกระจกตัวแทน 'จิตใต้สำนึก' ของเรา

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/273b13c2d290e625444f5e3b5a253238.jpg

มาพูดในทางจิตวิทยากันบ้าง! ความฝันคือกระจกสะท้อนจิตใต้สำนึกของเรา การที่เราเห็นใครสักคน หรือบางสิ่งบางอย่างในฝัน เป็นข้อมูลสำคัญที่บ่งบอกว่าลึกๆ แล้วเรารู้สึกยังไง ต้องการอะไรเป็นเป้าหมายในชีวิต


การที่เราฝันถึงคนเดิมซ้ำๆ บ่อยๆ อาจบ่งชี้ถึงหลายเหตุผล เช่น เธอห่วงใยและสนใจเขามากๆ โดยไม่รู้ตัว หรืออาจมีปมบางอย่างที่ต้องแก้ไขกับเขาเท่านั้น เป็นต้น

ปมในที่นี้อาจไม่ใช่เรื่องความรัก โรแมนติกเสมอไป แต่แค่เป็นห่วงในฐานะเพื่อน หรือถ้าเป็นสมาชิกในครอบครัว ก็อาจหมายถึงความคิดถึง หรือปัญหาที่ขัดแย้งกันในบ้านและยังไม่ได้รับการแก้ไขหากเธอทะเลาะกับพี่น้องหรือพ่อแม่ แล้วคืนนั้นฝันถึงพวกเขา ในจิตใต้สำนึกคือลึกๆ อยากคุยแก้ไขขอคืนดี แต่ตอนนี้ยังไม่อยากทำด้วยทิฐิหรืออะไรก็ตาม แต่ปิดบังสมองไม่ได้ จึงเกิดการฉายภาพขึ้นในความฝันนั่นเองค่ะ

7. เรามักจะลืม 'ความฝันในทุกๆ คืน' ได้อย่างง่ายดาย

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/813aab3efc6d6663686db40d29a5448a.jpg

เชื่อไหมว่า เราฝันทุกคืนที่นอนหลับนะคะ แต่ไม่ใช่ทุกครั้งที่้เราจะจำได้! เมื่อใกล้ตื่นนอน คนส่วนใหญ่อาจจำความฝันเมื่อคืนได้รางๆ แต่เมื่อตื่นเต็มที่แล้ว ความจำเกี่ยวกับฝันนั้นก็จะหายไปเกือบหมดทันที

หากไม่ใช่ฝันที่ชัดเจนหรือกระตุ้นความรู้สึกจริงๆ ก็จะแทบจำไม่ได้เลย อาจจำได้แค่ฉากเดียว หรือจำได้แค่ว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน คุยกับใคร เป็นเรื่องปกติมากค่ะ เธอไม่ได้เป็นอัลไซเมอร์แต่อย่างใด!

คนกว่า 60% จำความฝันแต่ละคืนของตัวเองไม่ได้เลย โดยเฉพาะช่วง 5 นาทีหลังตื่น ในค่าเฉลี่ยคนทั่วไป 90% ของรายละเอียดในฝันจะหายไปภายในเวลา 10 นาทีเท่านั้น จึงไม่แปลกที่เราจะจำช่วงต้นและช่วงปลายของฝันไม่ได้ จะจำได้แค่ช่วงกลางๆ และเป็นภาพมัวแบบต้องปะติดปะต่อ


ยกเว้นว่าเธอถูกปลุกให้ตื่นกะทันหันช่วงหลับลึก เธอจะจำความฝันได้แม่นยำกว่า แต่ข้อเสียคือเธอจะเหนื่อย สะดุ้งตกใจ ไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ค่ะ

หากเธอสนใจศึกษาเรื่องความฝันอย่างจริงจัง อยากเก็บทุกรายละเอียดที่เคยฝัน ให้วางสมุดโน้ตกับปากกาไว้ข้างที่นอนเลย ตื่นเมื่อไหร่ให้เขียนความฝันลงไปทันที ( ต้องรีบนะ มีเวลาไม่ถึง 10 นาที! )


ทำต่อเนื่องสักเดือนสองเดือน เธออาจจะเห็นความเชื่อมโยงอะไรบางอย่าง และรู้ว่าจิตใต้สำนึกลึกๆ ต้องการอะไรก็เป็นได้

รูปภาพ:https://media3.giphy.com/media/7XTBtAekfKzZK/giphy.gif

-----------------------------

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับความฝัน ก็จะมีประมาณนี้เลย! บางข้อก็อาจจะเคยได้ยินมาบ้าง แต่บางข้อเชื่อว่าสาวๆ หลายคนเพิ่งรู้เป็นครั้งแรก แม้ในบทความนี้จะไม่ได้บอกวิธีแปลความหมายของฝันให้ไปตีเลขหวย หรือทำนายในเชิงไสยศาสตร์ แต่คิดว่าหลังอ่านจบ สาวๆ น่าจะเข้าใจที่มาของความฝันในทุกๆ คืนมากยิ่งขึ้นบางครั้งฝันที่ดูน่ากลัวก็อาจไม่ใช่ผีชัตเตอร์ตามหลอกหลอน แต่ในใจเธอยังมีปมที่กังวล หรือฝันที่ดูสดใสมีความสุข ก็อาจไม่เกี่ยวกับเทวดานางฟ้า แค่สภาพอารมณ์ของเธอสมบูรณ์ดีเท่านั้นเอง สำหรับวันนี้ ( และวันต่อๆ ไป ) ขอให้สาวซิสทุกคนหลับฝันดีนะคะ Sweet Dreams! zzz