รูปภาพ:https://memes.memedrop.io/production/XV786VgP5N29/source.gif

สวัสดีค่าาา สาวๆSistaCafeทีม' ทำงานอยู่บ้าน 'ทุกคนความ #workfromhome เนี่ยเหมือนดาบสองคมเลยนะคะซิส! ข้อดีของมันก็เยอะ ไม่ต้องเดินทาง ไม่ต้องประสาทเสียกับหัวหน้า เพื่อนร่วมงานนิสัยแปลกๆ จอมหาเรื่อง จบงานได้เองด้วยตัวคนเดียว จะจัดการตารางงานยังไงก็ได้ ไม่ต้องกระหืดกระหอบไปตอกบัตรเข้าออกด้วย แต่ข้อเสียก็ไม่น้อยเหมือนกัน...เพราะถ้าจัดการตัวเองได้ไม่ดี หรือติดนิสัย ความเคยชินบางอย่าง ก็อาจทำให้งานไม่เดิน หรือคุณภาพแย่กว่าอยู่ออฟฟิศ เสี่ยงโดนตัดโบนัสปลายปี ( หรือแย่กว่าคือโดนแจกซองขาวเบาๆ ) ด้วยน่ะสิ!เรื่องเสียสุขภาพน่าจะเป็นปัจจัยหลักๆ ที่ชาวเวิร์กฟอร์มโฮมรู้กันอยู่แล้ว แต่ในบทความนี้เราจะพูดถึงนิสัยบางอย่างที่ทำให้เราไม่ ' productive ' หรือทำงานออกมาไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ซึ่งบางคนไม่รู้เลยว่าตัวเองมีนิสัยแบบนี้ จนกระทั่งต้องรับมืองานทั้งหมดเองคนเดียวอย่างจริงจังลองมาเช็ค' 7 พฤติกรรมแย่ๆ เมื่อต้อง Work From Home 'ในบทความนี้กันดูว่า มีตรงกับเธอไปแล้วกี่เปอร์เซนต์??? ถ้ามีเยอะต้องรีบปรับตัวด่วน ก่อนงานทั้งหมดจะพังใน 3 2 1...

1. ไม่มี ' แผนเป้าหมายในแต่ละวัน ' ทำงานตามใจฉัน เบื่อก็หยุด เหนื่อยก็พัก

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/ce292c844ae76c6371bf820d6287426e.jpg

สาวๆ ที่อยู่ในออฟฟิศมานาน ต้องยอมรับว่าบางคนทำงานเสร็จเรียบร้อยได้เพราะ ' ระบบ ' มันบังคับ! ต้องมีลงชื่อเข้าออกงาน เริ่ม-เลิกงานชัดเจน ทำงานแค่วันธรรมดา เสาร์อาทิตย์หยุด ระหว่างวันก็มีหัวหน้าคอยเช็ค เพื่อนร่วมงานคอยเตือน หรืออย่างน้อยๆ ก็มีบรรยากาศคนนั่งโต๊ะรายล้อมที่กดดันกลายๆ ว่างานต้องเสร็จ

แต่เมื่ออยู่บ้าน ไม่มีใครมาสนใจ ไม่มีใครมานั่งจี้ ก็กลับไปเป็นเด็กประถมมัธยมที่ขอ ' ผัดไปก่อน เดี๋ยวค่อยทำ ' ทั้งที่งานระบุเดตไลน์มาแล้ว แต่ก็ปล่อยไหลไปเรื่อย ทำไปไม่ถึงชั่วโมง พักสามชั่วโมง สรุปงานเสร็จไม่ทันจ้า ก็ไม่แปลกอะนะ!

วิธีแก้ก็ง่ายมาก บังคับตัวเองให้ได้! มีสมุดหรือแอป calendar ที่บันทึก action plan ของตัวเองชัดเจน ทำเป็นตารางเลยว่าในวันหนึ่งจะทำอะไรบ้าง อารมณ์เหมือนสมุดจดการบ้านสมัยประถม หรือ daily report ที่บางบริษัทต้องส่งทางอีเมลทุกวัน เพราะเมื่อเรามีแพลน เราจะไม่ต้องคิดอะไรต่อเยอะแล้ว แค่ทำสิ่งที่ลิสต์มาให้ครบ


แต่ถ้าเริ่มวันแบบแบลงก์ๆ ก็เหมือนออกเดินทางแบบไม่มีแผนที่ ไม่มีเข็มทิศ ไม่รู้เลยว่าจะทำอะไรตอนไหน เริ่มจากอะไรก่อนดี สุดท้ายก็พัง พังคนเดียวไม่เท่าไหร่ ถ้าเป็นงานที่ทำเป็นทีมแต่มาสะดุดเพราะเธอคนเดียว งานเข้าแน่ๆ ค่ะซิส

2. ทำงาน ' Multitasking ' จับหลายอย่างมากไป งานก็พังเหมือนกันนะ!

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/af66e6283fe19e20b629db5173cb7a08.jpg

เวลาอ่านบทความผู้บริหารอายุน้อยที่ประสบความสำเร็จ หรือคนเก่งๆ ที่ทำงานได้หลายอย่างในเวลาเดียวกัน มักจะมีคำว่า ' multitasking ' โผล่มาให้เห็นอยู่เสมอ ซึ่งที่จริงการมีสกิลหลายข้อ ย่อมมีผลดีมากกว่าผลเสียอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ว่า ทำทุกอย่างในวินาทีเดียวกันจริงๆ เพราะมันจะทำให้งง!


นึกภาพตรงหน้าที่ต้องตอบอีเมลเจ้านาย, ทำรายงานการประชุม, คุยกับลูกค้า, จัดการชีวิตส่วนตัวไปด้วยแบบ 4 in 1 แต่ทำพร้อมกัน จะมีสักกี่คนที่ทำทุกอย่างได้ 100% ส่วนใหญ่ก็ทำโน่นลืมทำนี่ หรือทำเสร็จจริงแต่มีจุดผิดพลาดเต็มไปหมดซะมากกว่า

วิธีหลุดจากวงจรนี้คือ ' จัดลำดับความสำคัญ แล้วลงมือทำทีละอย่าง ' เพราะความจริงที่หลายคนไม่รู้คือ เรื่องที่เราชอบทำเป็นอันดับแรก หรือคิดว่ามันสำคัญซะเหลือเกิน ถ้าตัดความรู้สึกออกไป มันอาจเป็นเรื่องที่สำคัญน้อยสุด หรือไม่จำเป็นต้องทำเลยด้วยซ้ำ!

ที่สำคัญต้องประเมินกำลังตัวเองให้ได้ ถ้ารู้ว่างานนี้รับมือคนเดียวไม่ไหวก็ต้องหาคนช่วย เช่น บางสถานการณ์ที่อาจต้องทำ 2-3 อย่างไปพร้อมกันจริงๆ แต่รู้ว่าอาจไม่รอดก็อย่าทำคนเดียว และหลังจากเคลียร์งานเหล่านี้จบ ก็อย่าลืมหาเวลาส่วนตัวพักผ่อนด้วยนะคะซิส

3. ทำงานแบบเดิมๆ ไม่ปรับตัว เรียนรู้ ' เทคโนโลยีทำงานทางไกล '

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/0e04d4eb1f1055c566f700ff7b307dec.jpg

แม้ยุคนี้เรียกว่าโลกออนไลน์แทบกลืนกินชีวิตของผู้คนในเมืองไปหมดแล้ว ถ้าอยู่เมืองหลวง หรือแม้แต่ต่างจังหวัดบางเมืองก็รู้จักโซเชียลเน็ตเวิร์ก ไลน์ เฟสบุ๊ก ไอจี ทวิตเตอร์ แต่ที่จริงคนไทยยังไม่ได้เข้าใจเรื่องเทคโนโลยีด้านอื่นๆ มากมายนัก

โดยเฉพาะเทคโนโลยีเพื่อการทำงาน ซึ่งจะมาเผยให้เห็นชัดจนเดือดร้อนกันไปทั่วหย่อมหญ้า ก็คือการไม่ใช้ ' แอปทำงานทางไกล ' หรือ remote technology นั่นเองค่ะ

แอปเหล่านี้ถูกคิดค้น พัฒนาขึ้นมาเพื่อชาว work from home ล่วงหน้ามานานแล้ว เช่น แอปประชุมกลุ่ม แอปส่งข้อความลับ แอปส่งไฟล์งานออนไลน์ เพียงเสียเวลาศึกษาวิธีใช้สัก 2-3 วัน ( หรือมากสุดก็สัปดาห์นึง ) จะทำให้ประสิทธิภาพงานดีขึ้น ระยะเวลาทำงานก็หดสั้นลงไปอย่างมาก


แต่มีหลายคนในบางอาชีพที่ไม่ยอมปรับตัว ไม่ยอมใช้ อ้างตัวเองเอาสบายอย่างเดียว ซึ่งทำให้คนที่ทำงานร่วมด้วยต้องปวดหัวเพราะงานไม่เดินสักที อย่าลืมว่าเทคโนโลยีมีแต่จะก้าวหน้าต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเธอไม่เริ่มเรียนรู้ตอนนี้ ก็เตรียมโดนทิ้งไว้ข้างหลังในอนาคตได้เลย! ดูว่าที่ทำงานเขาใช้แอปอะไรคุยงานกัน แล้วเปิดกูเกิ้ลศึกษาซะก่อนจะสายเกินไป

4. เอะอะเช็กไลน์ ไถทวิตเตอร์ แล้วเมื่อไหร่งานจะเสร็จ!

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/f6b9bced3b496cee05fdc0e2c11af731.jpg

เรียกว่าเป็นปัญหาหลักๆ ของคนเสพติดโซเชียล ( ซึ่งจะเรียกว่าเป็นคนส่วนใหญ่ของยุคนี้ก็คงไม่เกินจริงนัก ) ไม่ว่าจะเด็กอายุน้อยเพิ่งเรียนจบ หรือคนอายุเยอะแล้วที่เพิ่งรู้จักโลกออนไลน์ก็ตาม

การอยู่กับโซเชียลมากไปจะทำให้หลายคนความอดทนต่ำลง สมาธิสั้นขึ้น เพราะทุกอย่างมันรวดเร็วไปหมด ใจมันกระวนกระวายอยากเช็ก notifications แจ้งเตือนตลอดเวลา ใครจะมาคอมเมนต์บ้างนะ? มีใครแท็กรูปมาหรือเปล่า? มีดราม่าอะไรที่ควรไปส่องไหม?

งานการไม่ต้องทำกันแล้ว แตะงานไปได้ไม่กี่นาที หยิบมือถือข้างโต๊ะมาไถฟีดเรียบร้อย บางทีไม่มีอะไรให้ดูด้วยซ้ำ แต่ไถแก้เบื่อไปงั้น สุดท้ายงานไม่เสร็จจริงๆ ก็โดนหัวหน้าด่ากันไป และถ้าเป็นแบบนี้บ่อยๆ อาจจะเป็น no work no home ในสักวันหนึ่งนะจ๊ะ!

วิธีแก้น่ะเหรอ ต้องแยกเวลาเล่นโซเชียลกับงานให้ชัดเจนเท่านั้น! อย่าวางมือถือไว้ตำแหน่งที่หยิบง่าย ล่อตาล่อใจ ปิดมือถือแล้วเก็บใส่กระเป๋าไปเลย หรือถ้าจำเป็นต้องรอรับสายลูกค้าก็คว่ำหน้าไว้ งานจะได้เดิน และเสร็จตรงตามเวลานะคะซิส

5. จ้องหน้าจอทั้งวัน ไม่ได้พักสมองเลย ระวังเกิดภาวะ ' Burnout '

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/c97e1aba9ed5b7b1feb0aebe1b85bb09.jpg

ข้อนี้จะว่าอู้งานก็ไม่ถูก เพราะคนที่เผลอทำเรื่องนี้อาจเป็นพนักงานดีเด่น ทำงานอย่างดีเยี่ยมมาตลอดก็เป็นได้ แต่ทุกอย่างมีสองด้านเสมอ ขี้เกียจเกินไปก็ไม่ดี ( แน่ละ ) แต่ขยันเกินไปก็ส่งผลกับคุณภาพงานได้เช่นกัน! เพราะการเอาแต่จ้องหน้าจอ ทุ่มเททุกอย่างให้งาน 24 ชั่วโมงจนไม่มีเนื้อที่สมองไปคิดเรื่องอื่น ขนาดเข้าห้องน้ำ อาบน้ำ กินข้าว ก็ยังคิดถึงแต่งานเสี่ยงเป็นโรคได้หลายอย่างมากๆ ถ้าแบบสุขภาพที่จับต้องได้ก็เช่นเบาหวาน โรคอ้วน โรคหัวใจ หรือความผิดปกติของกระดูกและกล้ามเนื้อ ( ออฟฟิศซินโดรมเป็นต้น ) หรือถ้าสภาวะจิตใจก็อาจเกิดการ burnout เฉื่อย หมดไฟ ไม่อยากทำงานต่อแล้วก็เป็นได้

ันั่งจมอยู่ที่โต๊ะ 10-12 ชั่วโมงต่อวันไม่ช่วยอะไร รังแต่จะทำให้สมรรถภาพทั้งร่างกายและจิตใจของเธอเสื่อมถอยลงเรื่อยๆ ทั้งเหนื่อย ทั้งคิดงานไม่ออกเพราะสมองล้าไปหมด จงหาจุดสมดุล เมื่อทำงานตามเวลาที่ได้รับมอบหมายครบแล้ว ให้หาเวลาพักเพื่อตัวเองด้วย มันไม่ใช่การหนีไปอู้ แต่คือการฟื้นฟู รีเซตตัวเองให้กลับมาสดชื่นแจ่มใสได้อีกครั้งต่างหากใครที่กำลังเจอปัญหาคิดงานไม่ออก แค่ลุกออกจากโต๊ะไปเดินเล่นรอบบ้าน นั่งคุยกับหมาแมว เปิดยูทูปฟัง podcast หรือเพลงที่ชอบ หรือแค่ไปอาบน้ำอีกรอบ อาจจะได้ไอเดียดีๆ ที่คาดไม่ถึง

6. ละเลยความสะอาด สุขอนามัยที่ดี ก็ทำให้คุณภาพงานแย่ลงได้

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/05699d97f2aee632bd5d75624382627f.jpg

หลายคนเข้าใจว่า work from home ไม่ต้องอาบน้ำแต่งตัวออกไปทำงาน ก็เลยทำตามนั้นจริงๆ คือตื่นมาแล้วเปิดคอมเลย ไม่ล้างหน้าแปรงฟันใดๆ ทั้งสิ้น บางอาชีพอาจต้องรักษาภาพลักษณ์ตอนประชุมกลุ่มให้ดูดี ต้องอาบน้ำแต่งหน้าแต่งตัว

แต่ถ้าสายฟรีแลนซ์ที่เน้นงานเป็นหลัก บางทีก็มาทั้งชุดนอน หัวเพิ้งๆ ผมไม่หวี ขลุกอยู่บนเตียงหรือโต๊ะทำงานในห้องนอนทั้งวัน รู้ตัวอีกทีตกเย็นหรือกลางคืนแล้ว ทำไม่กี่วันก็ยังโอเคหรอก แต่ถ้าปล่อยไว้เป็นเดือนๆ ปีๆ จะยิ่งกระตุ้นอารมณ์เบื่อ เฉื่อย จนสุดท้ายก็ส่งผลกับคุณภาพงานอยู่ดี

ถ้ายังจำได้ ตอนเด็กๆ ผู้ใหญ่มักจะไล่เธอไปอาบน้ำ ล้างหน้าเพื่อให้ ' ตื่น ' หรือสดชื่นยิ่งขึ้น หลังตื่นนอนใหม่ๆ เราจะยังหน้าตาง่วงงุน ไม่ถูกปลุกให้ตื่นเต็มที่ และอาจมีผลทางอ้อมให้เธอเพลีย ขี้เกียจไปตลอดทั้งวันได้

ทางแก้คือไปอาบน้ำ ให้น้ำเย็นๆ ปลุกผิว ปลุกสมองให้ตื่นเต็มที่ และแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ไม่จำเป็นต้องทางการเกินไป แต่เป็นชุดที่กำหนดให้ตัวเองว่า ' ใส่ตัวนี้แล้วต้องทำงาน ' บางคนถึงกับแต่งเต็มทุกวันเพื่อบังคับตัวเองด้วยซ้ำ ลองทำทริคนี้ดู แล้วเธอจะรู้สึกว่าทำงานได้ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อเลยละ

7. กินอาหารไม่ตรงมื้อ ไม่ได้ยืดเส้นยืดสาย คิดงานไม่ออก

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/a203eef976ce12ee12f7b823322b36a9.jpg

อย่างที่เกริ่นไปในข้อแรกๆ แล้วว่า เมื่อเราไม่ได้อยู่ในออฟฟิศที่มีคนมาคอยจับตามอง ต้องจัดการตารางชีวิตทุกอย่างเอง มันไม่ใช่จะจัดได้ดี ตรงเป๊ะ 100% ทุกคนอยู่แล้ว มีหลายคนที่ตารางรวน ทำงานตามใจฉันจนคุณภาพงานลดฮวบ แต่สำหรับบางคนยิ่งไปกว่านั้น คือตารางการกินนอนก็รวนด้วยเช่นกัน


เรียกว่านาฬิกาชีวิตในตัวคืองง เพราะจะกินตอนไหน นอนตอนไหนไม่รู้ แล้วแต่ว่างานจะเสร็จเมื่อไหร่ โดยเฉพาะงานฟรีแลนซ์ที่ไม่มีเข้าออกงานชัดเจน กินข้าวเช้าตอนบ่าย กินข้าวเที่ยงตอนสองทุ่มก็มีให้เห็นทั่วไป นอนตีสามตีสี่ ตื่นบ่ายสอง ผิดเวลาไปหมดเลยจ้าแม่!

อย่าทำเป็นเล่นไป ผลลัพธ์ระยะยาวมันรุนแรงกว่าที่ซิสคิดเยอะ ตอนแรกก็อาจจะแค่มึนๆ งงๆ หลงวันหลงเวลา เหนื่อย เพลียบ้างเป็นระยะเท่านั้น แต่เมื่ออายุเยอะขึ้น จะมีปัญหานอนไม่หลับ บ้านหมุน ความเสี่ยงด้านโรคหัวใจก็เพิ่มขึ้น สมองมีความเสี่ยงผิดปกติเพิ่มขึ้นเพราะนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ สาวๆ ควรกินให้ครบมื้อ ออกกำลังกายเป็นประจำ และเข้านอนแต่หัวค่ำ นอนให้ครบ 7-8 ชั่วโมงทุกวันเพื่อสุขภาพที่ดี


เราเข้าใจว่าบางอาชีพจะนอนตรงเป๊ะขนาดนั้นก็ไม่ได้ แต่อย่างน้อยอย่าอดนอนเด็ดขาด! ถ้าไม่อยากแอดมิตโรงพยาบาล เสียทั้งสุขภาพ เสียทั้งเงิน เธอคงไม่อยากเอาเงินค่าทำงานไปลงกับค่าหมอหมดหรอกใช่ไหมล่ะ? ถ้าใช่ก็เริ่มดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้ได้แล้วค่ะ

รูปภาพ:https://i.pinimg.com/originals/80/a4/42/80a442a36c309c869412444059183d52.gif

--------------------------------------------

อ่านมาครบทั้ง 7 พฤติกรรมแล้ว อยากรู้เลยว่าซิสคนไหนเผลอทำครบทุกข้อบ้าง ที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรขนาดนั้น แต่ถ้าทำจนติดเป็นนิสัย แล้วต้อง work from home ไปอีกยาวๆ( เพราะเราก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์จะดีขึ้นถาวรเมื่อไหร่ ) นิสัยเหล่านี้อาจบั่นทอนคุณภาพงานของเธอไปเรื่อยๆ จนอาจเสียทั้งงาน เสียสุขภาพจิต self-esteem ต่ำลงได้เช่นกัน และยังทำให้การจัดการเวลา work life balance เสียสมดุลอีกด้วย จึงไม่ใช่สิ่งที่ควรปล่อยผ่านค่ะ

อย่าปล่อยความเคยชินเดิมๆ กลายเป็นพฤติกรรมด้านลบจนยากจะแก้ไข หากรู้ตัวว่าเป็นคนไร้ระเบียบ จัดการเวลายาก ก็ต้องพยายามฝึกหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ อะไรที่รู้ว่าตัวเองไม่ค่อยอัปเดต ยังอยู่กับเทคโนโลยีเดิมๆ จนมีปัญหาตามผู้ร่วมงานไม่ทันก็ต้องเรียนรู้เพิ่มเติม ง่ายๆ เท่านี้เอง เพื่อให้ work from home ได้อย่างราบรื่น ไม่กระทบความสามารถในการทำงานของเธออีกต่อไป ไม่แน่ รางวัลพนักงานดีเด่นที่ไม่เคยได้ตอนทำงานในออฟฟิศมาก่อน อาจจะมาคอมพลีทตอนเธอทำงานที่บ้านแทน ใครจะไปรู้!   °˖✧◝(⁰▿⁰)◜✧˖°