สวัสดีค่ะ สาวๆSistaCafeคนที่กำลัง' เบื่อโลก 'ทั้งหลายช่วงนี้สถานการณ์หลายอย่างในประเทศก็ค่อนข้างน่าเป็นห่วง อ่านเจอข่าวทั้งปัญหาการงานการเงิน เศรษฐกิจและสังคมที่ไม่สู้ดี โดยเฉพาะปัญหาส่วนตัวที่หลายคนเคยเก็บงำได้ในช่วงที่ทุกอย่างยังดี แต่สุดท้ายเมื่อถึงเวลาที่สุกงอมเต็มที่ ขยะที่ซ่อนไว้ใต้พรมก็ถูกเปิดเผยออกมาบางครั้งดูภายนอกก็เหมือนไม่มีอะไร ฉันยังไหว ฉันยังโอเค ทั้งที่ในใจกลับหม่นหมอง เหนื่อยหาทางออกไม่เจอ ไม่มีความสุขในชีวิตเอาซะเลย จนบางครั้งก็อยากจะไปจากโลกนี้ให้มันรู้แล้วรู้รอดคำถามคือ เคยสำรวจตัวเองไหมว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนั้น?แม้อารมณ์ความรู้สึกจะเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ ใช้หลักตรรกะ 100% มาตัดสินก็ไม่ถูกทั้งหมด แต่การที่เรารู้สึกอะไรสักอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ย่อมต้องมีสาเหตุเสมอไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง! ซึ่งอาจไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นแนวคิดหรือ mindset ที่ฝังอยู่ในตัวเธอมานานแสนนานก็ได้หากวันนี้เธอรู้สึกว่าไม่มีกำลังใจจะอยู่บนโลกใบนี้ต่อไป ลองมาอ่าน' 7 สาเหตุที่เธอทำยังไงก็ไม่มีความสุข 'ว่าตรงกับเธอหรือไม่ ถ้าใช่ ก็มาแก้ไขความคิดเหล่านี้ไปพร้อมๆ กับเรา เพื่อหลุดพ้นลูปความทุกข์เหล่านี้เสียที❤
1. มีมุมมองเกี่ยวกับ ' ความรัก ' เกินจริงแบบผิดๆ
ตั้งแต่เด็กจนเติบโตมา เรามักจะเคยชินกับการเสพสื่อความรัก ที่มีพล็อตแบบ ' ละครน้ำเน่า ' ที่พระเอกต้องดี เลิศเลอเพอร์เฟกต์ ห้ามมีตำหนิหรือข้อเสียแม้แต่ปลายเส้นผม ไม่ว่าฝ่ายหญิงจะทำผิดยังไงก็ต้องให้อภัย เป็นผู้ชายห้ามร้องไห้ ต้องเสียสละ ต้องเลี้ยงดูเธอได้ ถ้าแสดงความอ่อนแอให้เห็นแสดงว่า ' ไม่แมน '
วันดีคืนดีก็งอนเรื่องเล็กน้อย หาเรื่องทะเลาะว่าเขาเอาใจไม่ดีพออยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ปี 2021 จะปรับแนวคิดเหล่านี้ไปเยอะแล้ว แต่เชื่อเถอะว่าสาวไทยหลายคนก็ยังติดอยู่ในวังวนที่ว่า ' ฉันจะไม่ปรับอะไร ผู้ชายสิต้องปรับเข้าหาฉัน ' อยู่ดี
ความจริงก็คือ จะผู้ชายหรือผู้หญิงก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ผิดพลาดได้ ร้องไห้เป็น ผู้ชายก็มีสิทธิ์จะร้องไห้ เหนื่อย ไม่อยากแบกรับภาระจนหลังจะทรุด ในฐานะคนที่กำลังคุยๆ กัน, เป็นแฟนแล้ว หรือเป็นคู่ชีวิต ก็อยากให้มองว่าคู่รักคือ ' ทีมเดียวกัน ' ที่มีสถานะเท่ากัน
ถ้าเขาไม่ไหวเราก็ต้องพร้อมแบ่งเบา หรืออย่างน้อยก็เป็นคู่คิด เป็น comfort zone ให้เขาได้ ความรักถึงจะเป็นไปอย่างราบรื่น ใครที่ยังติดเรื่องความสมบูรณ์แบบ รูปลักษณ์ภายนอก ก็ลองลดสเปคลง มองโลกในความเป็นจริงมากขึ้น เธออาจจะได้เจอคนดีๆ ที่มองข้ามมาตลอดก็ได้ค่ะ
2. ยังติดนิสัยแข่งขัน อยากได้อยากมีเหมือนคนอื่น
ย้อนกลับไปตอนที่สาวๆ ยังอยู่ในวัยเรียน เมื่อคนรุ่นเดียวกันถูกจับมาอยู่ร่วมชั้นกัน เราจะเห็นทั้งคนที่ฐานะไม่ดีเท่าเรา และคนที่ฐานะดีพร้อมกว่าเรา มีของดีๆ ใช้ มีทริปไปเมืองนอกทุกซัมเมอร์ ซึ่งความอิจฉาริษยา อยากได้อยากมีเหมือนคนอื่นก็ย่อมเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ยิ่งในวัยเด็กที่เรายังอยากเป็นที่ยอมรับ self-esteem ยังไม่แข็งแกร่งพอ ก็จะรู้สึกเป็นปมด้อย น้อยเนื้อต่ำใจ มองคนที่พร้อมกว่าในแง่ลบ และบางคนก็ติดนิสัยนี้ไปจนโต เป็นวัยชราแล้วก็ยังทำใจไม่ได้ ยังคงบ่นโทษโชคชะตา ดินฟ้าอากาศ สุดท้ายชีวิตก็ย่ำอยู่ที่เดิม
สาวๆ ที่อ่านบทความนี้อยู่ เราถือว่าเธอโตพอแล้วที่ควรจะ ' หยุด ' นิสัยเด็กๆ เหล่านี้เสียที ต้องยอมรับก่อนว่ามนุษย์ทุกคนไม่ได้เกิดมาเท่ากันเป๊ะ เราอาจจะมีไม่เท่าเขาก็จริง แต่เรายังมีสมองและสองมือที่จะพัฒนาตัวเองเพื่อประสบความสำเร็จในแบบของตัวเองได้
เส้นทางชีวิตของเราก็คือของเรา อย่าเอาไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เพราะเหนือฟ้าก็ยังมีฟ้า ถ้าเธอเทียบตัวเองกับเจ้าสัวระดับพันล้านหมื่นล้าน จนวันตายเธอก็คงไม่มีความสุข พยายามดิ้นรนเท่าที่ไหวและแฮปปี้ไปกับมันจะดีกว่านะ
3. ขาดการพูดคุยสื่อสารที่ ' ลึกซึ้ง ' จริงๆ กับคนรอบข้าง
เรื่องนี้เป็นประเด็นใหญ่มากๆ ที่เห็นชัดสุดในยุคโซเชียลนี่เอง เพราะเรากำลังอยู่ใน' สังคมก้มหน้า 'กันอย่างเต็มตัว บางทีนั่งอยู่ที่โต๊ะเดียวกัน แต่ต่างฝ่ายต่างง่วนกับหน้าจอมือถือของตัวเอง เช็กยอดไลก์ ยอดแชร์ ไถทวิต ลงรูปในไอจี โดยไม่สนใจสร้างความสัมพันธ์ พูดคุยอย่างจริงจังกับคนตรงหน้า
บางครอบครัวอยู่บ้านเดียวกันแต่กลับไม่รู้เลยว่าพ่อกลับบ้านกี่โมง แม่ไม่สบายหรือเปล่า น้องมีปัญหาที่โรงเรียนไหม เพราะกลับบ้านมาก็เข้าห้อง ต่างคนต่างอยู่ นานวันคนก็ยิ่งเหินห่างกันไปเรื่อยๆ จนบางทีมีคำว่า " ถ้าเรียกต่อหน้าแล้วไม่คุย สงสัยต้องทักแช็ตไปละมั้ง "
จะโทษเทคโนโลยีอย่างเดียวก็คงไม่ถูกนัก เพราะบางคนก็ใช้ในทางที่ดี ดึงคนไกลจากอีกมุมโลกมาให้อยู่ห่างกันแค่หน้าจอ หรือประชุมงานออนไลน์ที่ต่างฝ่ายต่างอยู่คนละประเทศให้สะดวกขึ้นได้
แต่ในเคสที่ตัวจริงก็อยู่ใกล้ๆ กัน เวลาคุยกันก็คุยที่ได้เห็นตัวจริง ได้ยินน้ำเสียง สีหน้า สัมผัสแบบไม่ต้องมีหน้าจอมาขวางจะดีกว่า สุดท้ายการมีปฏิสัมพันธ์กันตามธรรมชาติก็ผูกพันลึกซึ้งมากกว่า อย่าปล่อยให้คนใกล้กลายเป็นคนไกล ก่อนจะสายเกินแก้ไขนะคะซิส
4. ความภูมิใจในตัวเองต่ำ คิดว่าตัวเองไม่มีข้อดี จะมีความสุขได้ยังไง
เราทุกคนล้วนมีอดีต โดยเฉพาะปมที่ฝังแน่นในด้านจิตใจ บางคนเติบโตมากับสังคมและครอบครัวที่เปรียบเทียบเธอกับคนอื่นที่ดีกว่าอยู่ตลอดเวลา ใช้คำพูดและการกระทำทับถมว่าเธอด้อยค่า ต้อยต่ำไม่น่ามาเกิดเป็นลูกบ้านนี้เลย etc. ซึ่งพ่อแม่บางบ้านก็ใช้คำพูดแรงๆ เอาสะใจในขณะนั้น
แต่ไม่รู้ว่าทำร้ายจิตใจเด็กเล็กอายุไม่กี่ขวบมากขนาดไหน สุดท้ายก็จำฝังใจ ถึงเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ มีหน้าที่การงานที่ดี เงินเก็บก็เยอะ เพื่อนก็แยะ แต่ก็ยังรู้สึก เหมือนตัวตนส่วนหนึ่งขาดหายไป ลึกๆ ก็เศร้าอยู่เสมอเพราะก้าวผ่านปมวัยเด็กไปไม่ได้
เราเลือกเกิดไม่ได้ เลือกครอบครัวที่จะอยู่ด้วยก็ไม่ได้ อันนี้คือสัจธรรม เธออาจจะโชคร้ายที่เกิดมาเจอครอบครัวที่ทำร้ายเธอ ไม่ว่าจะด้วยร่างกายหรือจิตใจก็ตาม แต่สุดท้ายตัวเธอก็คือตัวเธอ เธอกำหนดเส้นทางชีวิตเองได้ เลือกได้ว่าจะมีความสุขหรือจะจมอยู่ในความทุกข์ตลอดไป
ถ้าที่บ้านเป็นเซฟโซนให้ไม่ได้ ก็เข้าหาคนที่ช่วยเหลือ เป็นที่พึ่งได้ เช่น เพื่อนสนิท แฟน ครู นักจิตวิทยา แน่นอนว่าปรับ mindset นั้นไม่ง่าย อาจใช้เวลาหลายปี แต่อยากให้จำไว้ว่า ซิสทุกคนมีคุณค่าและศักดิ์ศรีในตัวเอง เราแก้อดีตไม่ได้ แต่เราใช้ชีวิตให้มีความสุขในอนาคตได้ค่ะ
5. ' หยิ่งในศักดิ์ศรี ' เกินกว่าจะขอความช่วยเหลือ ยิ่งเก็บไว้ยิ่งอึดอัด
จะเป็นคนบุคลิกเงียบๆ นิ่งๆ เคร่งขรึม โลกส่วนตัวสูงแค่ไหน แต่ก็ต้องมีโมเมนต์ที่กระทบความรู้สึกอย่างรุนแรงจนอยากจะกรีดร้องฟูมฟาย หรือร้องไห้เป็นชั่วโมงบนตักของใครสักคนกันบ้างแหละ
แต่บางคนก็ได้รับการสั่งสอนมาว่า " ต้องยืนให้ได้ด้วยตัวเอง ห้ามแสดงอารมณ์ด้านลบให้คนอื่นเห็น ไม่อย่างนั้นเขาจะมองว่าเราอ่อนแอ " จะชีวิตพัง มรสุมรุมเร้ายังไงก็หยิ่งในศักดิ์ศรีเกินกว่าจะขอความช่วยเหลือ หรือระบายความทุกข์ให้ใครฟัง คนอื่นเห็นเธอไม่พูดก็ไม่กล้ายุ่ง สรุปไปกันใหญ่ ตัวเธอเองก็ยิ่งเครียด ซึมเศร้ากว่าเดิม
เธอก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่มีความรู้สึก ไม่ต้องแบกทั้งโลกจนหนักขนาดนั้นก็ได้ การที่ระบายปัญหาคับข้องใจออกมา ไม่ได้ทำให้คุณค่าของเธอลดลง เธอแค่ได้ทำให้โลกเห็นว่า เธอก็เป็นคนปกติที่เจอทั้งความสุขและความทุกข์ได้เช่นเดียวกัน
ไม่แน่ว่าแค่ลองเปิดใจกับคนรอบข้าง เธออาจจะได้มิตรภาพหรือความช่วยเหลือดีๆ จากคนที่คาดไม่ถึงก็ได้นะ
6. ใช้ทั้งชีวิตตั้งใจ ' ไขว่คว้า ' หาความสุขจนเกินพอดี
เกิดมาทั้งทีก็อยากใช้ชีวิตให้เต็มที่มากที่สุด เรื่องนี้เป็นตรรกะง่ายๆ ที่ทุกคนก็เข้าใจดี แต่นิยามของ' ความสุข ' ของแต่ละคนก็แตกต่างกัน คนที่ทำให้ความสุขกลายเป็นขั้นบันไดของความเหนื่อยล้า ร้องไห้ ทุกข์ไปตลอดทาง เพราะเธอไม่ผ่อนปรน ไม่ยืดหยุ่นใดๆ แต่ทุ่มเทเวลาทุกวินาทีไปกับการ' ไล่ล่าหาความสุข '
ซึ่งอาจจะเป็นตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โต, เงินเก็บหลักสิบล้านร้อยล้าน, ซื้อบ้านและรถใหม่ หรือลดน้ำหนัก 10-20 กิโล ซึ่งก็ไม่ผิดที่จะฝันแบบนั้น แต่เธอก็ต้องเผื่อ worst case ไว้ด้วยว่า ถ้าไปไม่ถึงฝัน เธอจะไม่มีสิทธิ์มีความสุขเลยรึเปล่า?
จุดหมายปลายทางนั้นหอมหวาน และมักจะลำบากระดับหนึ่งเพื่อให้การไปถึงนั้นมีความหมาย แต่ก็อย่าลืม ' ระหว่างทาง ' ที่เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เธอไปสู่จุดนั้นได้ด้วย ปล่อยใจให้มีความสุขกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ บ้าง
บางทีแค่ตื่นมาแล้วสดชื่นแจ่มใส ได้กินอาหารร้านที่ชอบ ได้เล่นเกม ฟังเพลง คุยกับคนที่รัก ก็แฮปปี้ได้ในทุกวัน ดีกับสุขภาพจิตมากกว่าด้วยนะคะ
7. ทำใจรักและยอมรับตัวเองไม่ได้ ไม่เคยคิดจะ ' รักตัวเอง ' มาก่อน
ทุกคนเติบโตมาต่างกัน การเลี้ยงดู มอบความรัก สภาพแวดล้อม สังคม รวมถึงบุคลิกส่วนตัวเป็นทุนเดิม ก็ทำให้บางคนไม่เข้าใจว่า ' การรักตัวเอง ' ที่แท้จริงเป็นอย่างไร อาจจะด้วยครอบครัวที่ไม่อบอุ่น เป็นที่พึ่งให้ไม่ได้ ทำให้ติดนิสัยเรียกร้องความรักความสนใจ
ยอมอยู่ในสถานะต่ำกว่า ทำทุกอย่างเพียงเพื่อให้ได้ความรัก ความเอ็นดูสักนิดก็ยังดี ไม่รู้ว่าจะเติมตัวเองให้เต็มยังไง เป็นเศษเสี้ยวที่เว้าแหว่งอยู่เสมอ บางรายก็เป็นแค่รอยแผลเล็กๆ แต่บางรายก็เหวอะหวะจนเกิดคดีน่าเศร้าก็มีให้เห็นโดยทั่วไป
การแก้ไขความคิดและกลับมารักตัวเองให้ได้นั้นย่อมต้องใช้เวลา ยิ่งถ้าเป็นปัญหาที่เกิดจากครอบครัว สังคมในวัยเด็กก็ยิ่งยาก ถ้ารู้ตัวว่า ' ซ่อม ' ตัวเองไม่ได้แน่ๆ ก็ไม่ต้องอายหรือกลัวที่จะรับความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ หรืออย่างน้อยก็เพื่อนสนิท คนรู้จักที่ไว้ใจ
รวมถึงให้เวลากับตัวเองเยอะๆ ไปทำกิจกรรมหรืองานอดิเรกที่ชอบในทุกวัน แต่งหน้า แต่งตัว ไปเที่ยว ทำอะไรก็ได้ที่มองตัวเองในกระจกแล้วยิ้มที่ได้เจอคนคนนี้ แล้วเธอจะเห็นว่าโลกใบเดิมสวยงามขึ้นอีกเยอะเลยล่ะค่ะ
--------------------------------------
เกิดมาเป็นมนุษย์บนโลกใบนี้ ก็ต้องมีความสุขและทุกข์ปะปนกันไปเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้ามีแต่ความทุกข์ ไม่รู้ว่าความสุขคืออะไร นั่นคือสัญญาณแรกเริ่มของความผิดปกติที่ต้องแก้ไขโดยด่วน! นอกจากปัจจัยภายนอกที่ค่อยๆ ปรับแก้กันไปเท่าที่ทำได้แล้วนั้น ปัจจัยภายในอย่างจิตใจก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด บางครั้งในวัยเด็กเราก็ถูกปลูกฝังความคิด ค่านิยมบางอย่างมาแบบผิดๆ จนโตเป็นผู้ใหญ่ ทำให้เราคาดหวังในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ทำให้ตัวเองต้องเสียใจ ผิดหวังซ้ำซากไม่รู้จบค่ะ
หลังจากอ่านบทความนี้จบ อาจจะเป็นโอกาสดีที่จะลองค่อยๆ ฝึก ' การปล่อยวาง ' ว่าเราควบคุมทุกอย่างในชีวิตให้ได้ดั่งใจไม่ได้ แต่เราเรียนรู้ ปรับปรุงและแก้ไขอุปสรรคที่เกิดขึ้น เพื่อปูทางเดินข้างหน้าให้ราบรื่นกว่าเดิมได้ อย่างน้อยที่สุดแค่ไม่ทำผิดแบบเดิมซ้ำๆ เธอก็เป็นคนที่เข้าใจชีวิตได้ดีระดับหนึ่งแล้ว บางเรื่องแค่ปรับมุมมอง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ลองดูนะคะ ด้วยรักและอยากให้ซิสทุกคนมีความสุข(´꒳`)♡
Cr. 8 Reasons (And Solutions) Why Nothing Seems To Make You Happy [thelawofattraction.com]
https://www.thelawofattraction.com/8-reasons-solutions-nothing-seems-make-happy/