สวัสดีค่า สาวๆSistaCafeที่ฝันมีหุ่นเป๊ะทุกคน ~(^з^)-♡ใครๆ ก็อยากกินเยอะแล้วไม่อ้วน แต่ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่เป็นแบบนั้น เมื่ออยากผอมนะ แต่ก็ทนความยั่วยวนของอาหารไม่ไหว เมื่ออ้วนขึ้นจึงต้องพยายามไดเอท ออกกำลังกาย เลือกกินอาหาร นอนพักให้พอแต่พยายามมาสักพักแล้ว เคร่งครัดสุดๆ ยังไงน้ำหนักก็ไม่ลดลงสักที บางทีเธออาจไม่ใช่คนผิดในเรื่องนี้ แต่ระบบเผาผลาญในร่างกายของเธอนั้นก็เป็นได้

เมตาบอลิซึ่มหรือระบบเผาผลาญ เป็นกระบวนการที่ร่างกายเบิร์นพลังงานเป็นการทำงานของระบบต่างๆ เช่น ประสิทธิภาพของสมอง, การเต้นของหัวใจ, การหายใจ จะมีพลังงานได้ก็ต้องเบิร์นจากอาหารเป็นเชื้อเพลิงใครมีอัตราเผาผลาญสูงก็จะเข้าตำรา ' กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน ' แต่ถ้าคนที่เป็นตรงกันข้ามล่ะ? กินน้อยยังไงก็อ้วน หรือถึงลดได้ก็คุมให้คงที่ยากมากๆ หลายครั้งไม่ได้เกิดจากการไดเอทผิดวิธี แต่เป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้!ใครสงสัย ลองมาเช็กกันใน' 7 สัญญาณเตือนว่าเธอมีเมตาบอลิซึ่มต่ำ อาจมีปัญหาสุขภาพแฝงอยู่ไม่รู้ตัว 'ในบทความนี้กันได้เลยค่ะ

1. น้ำหนักพุ่ง อ้วนขึ้น ทั้งที่คุมอาหารอยู่ตลอด

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/a9bec061efebaf4dc71be404429644fc.jpg

สัญญาณแรกที่สำคัญที่สุด เห็นชัดที่สุดของเมตาบอลิซึ่มต่ำก็คือ ' น้ำหนักขึ้นแบบไม่มีสาเหตุ ' ไม่ได้เผลอกินแหลกมื้อดึก ไม่แตะแป้งขาว น้ำตาล ไขมันทรานส์ใดๆ อาหารคลีนทุกมื้อ ออกกำลังก็หนัก แต่น้ำหนักเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ


หากใครกำลังเจอสถานการณ์ผิดปกตินี้ อาจเกี่ยวข้องกับ ' เมตาบอลิซึ่ม ' ในร่างกายโดยตรงค่ะ

เวลาผู้หญิงน้ำหนักขึ้น เรามักโทษตัวเองไปก่อนว่าคงกินเยอะแหละ อยู่ดีๆ มันจะขึ้นมาเองได้ไง แต่บางครั้งถ้าโชคร้ายหรือมีพันธุกรรม ' ไฮโปไทรอยด์ ' ในครอบครัว ก็จะทำให้ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ


มีฮอร์โมนออกมาน้อยเกินไป ซึ่งจะชะลอการเผาผลาญขั้นต่ำในแต่ละวันลง จึงทำให้แม้ว่าจะใช้ชีวิตปกติ กินพอดี หรือลดน้ำหนักอยู่ ก็อาจอ้วนขึ้นอยู่ดี หรือลดยากมากๆ นั่นเอง

2. อ่อนเพลีย อยู่ดีๆ ก็หน้ามืด มือไม้อ่อนแรงจะเป็นลม

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/f8f70aa386efef76ad183cbe05b636bb.jpg

เมื่อร่างกายมีอัตราเผาผลาญต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ก็จะทำให้เบิร์นพลังงานในระดับที่เฉื่อย การเคลื่อนไหวของร่างกายก็จะมีประสิทธิภาพต่ำลงไปด้วย


แทนที่จะขยับแขนขาได้คล่องแคล่ว เดิน วิ่งได้สบายๆ เหมือนคนทั่วไป เธอจะมีอาการเหนื่อยล้า เพลีย เมื่อยล้าบ่อยๆ บางวันถ้าเผลอออกแรงเยอะเกินไป ก็หน้ามืดพาลจะเป็นลมได้เลยทีเดียวค่ะ

ถ้าไม่ได้อยู่ในช่วงมีประจำเดือน ไม่ได้กินยารักษาโรคที่มีผลข้างเคียงอะไรอยู่ ไม่ได้มีความเครียดหรือซึมเศร้า และไม่ได้ออกกำลังหนักจนกล้ามเนื้อเมื่อยล้าจริงๆ แต่ยังเพลียตลอดเวลาเพลียจนน่าสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ก็ควรไปเช็คที่โรงพยาบาลว่ามีโรคอะไรแฝงอยู่หรือเปล่า เพื่อความอุ่นใจค่ะ

3. มีสภาพผิวแห้งมาก แห้งจนผิดปกติ

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/d7b1b43acb3b40da29e2ac5d88e6242e.jpg

ข้อนี้เชื่อว่าสาวๆ หลายคนอาจมองข้ามไป เพราะคิดว่าสภาพผิวไม่น่าเกี่ยวกับระบบเผาผลาญ แต่ที่จริงมันมีความเชื่อมโยงกันอยู่ค่ะ! เมื่อเธอมีระบบเผาผลาญที่เฉื่อยช้า เซลล์ต่างๆ ในร่างกายก็จะทำงานไม่ค่อยมีคุณภาพ เหมือนคนอู้งาน ทำงานส่งไม่ตรงเวลา


ซึ่งในแง่ของเซลล์ผิว เมื่อทำงานไม่ดี ก็จะได้เลือดมาหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอ จึงไม่ได้สารอาหารที่จำเป็นมากพอ จึงทำให้ผิวเสียความอ่อนนุ่มชุ่มชื้นไป กลายเป็นผิวแห้งกร้านได้

อีกทั้งร่างกายยังต้องการกักเก็บความร้อน เพราะไม่อยากเผาผลาญมากเกินไป จึงทำให้ออกกำลังหนักๆ เหงื่อก็ไม่ค่อยออก ซึ่งส่งผลให้ผิวแห้งแตก สัมผัสแล้วรู้สึกถึงความหยาบชัดเจน


ถ้าเป็นสาเหตุนี้จริง การทามอยส์เจอไรเซอร์จะแค่แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เธอต้องเปลี่ยนชนิดอาหารที่กินให้มีอัตราส่วนของไขมันดีมากขึ้น และเช็กปัญหาสุขภาพแฝงด้วย ผิวจึงจะดีขึ้นได้ในระยะยาวค่ะ

4. เล็บมือเล็บเท้าอ่อนแอ เปราะบาง แตกหักง่าย เป็นดอกขาว

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/5d78b0a2f1e3853ef9b3c682b010424a.jpg

เพราะระบบในร่างกายทั้งหมดเชื่อมโยงถึงกัน ทั้งตับ ไต หัวใจ สมอง ลำไส้ ระบบขับถ่าย กล้ามเนื้อ ผิวหนัง แม้แต่เล็บซึ่งเป็นส่วนที่ไม่น่ามีผลกระทบมาก ถ้าระบบเผาผลาญต่ำก็จะทำให้สภาพเล็บเปลี่ยนแปลงเช่นกัน!

เพราะเล็บก็คือโปรตีนเคราตินชนิดแข็งที่แสดงให้เห็นสุขภาพร่างกายในขณะนั้น ถ้าสุขภาพดี เล็บก็จะเงางาม เป็นชั้นสวย

ถ้าร่างกายไม่ได้ดูดซึมสารอาหารอย่างเพียงพอ เพราะระบบเผาผลาญไม่ยอมทำงานเป็นปกติ เล็บจะบาง เปราะง่าย เจอแรงกระแทกนิดเดียวก็เกิดรอยร้าว หรือหักครึ่งได้ง่ายๆ หากยังไม่หนักมากก็อาจจะขึ้นเป็นดอกขาวๆ ที่จมูกเล็บ เป็นต้น

นี่คือสัญญาณชัดว่าระบบภายในกำลังมีปัญหา ถ้ากินสารอาหารดีๆ เน้นโปรตีนแล้ว ดอกเล็บก็ยังไม่หายไปสักที ก็อาจถึงเวลาต้องไปหาหมอแล้วละค่ะ

5. รู้สึกหนาวสั่น อุณหภูมิในร่างกายต่ำ ทั้งที่อากาศไม่เย็น

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/1f10aaf9c357586d369ea3a9d44aede2.jpg

อย่างที่บอกไปในข้อต้นๆ ว่า เมื่อระบบเผาผลาญในร่างกายเข้าสู่โหมด ' ขี้เกียจ ' หรือประหยัดพลังงาน จะไม่ค่อยเบิร์นเชื้อเพลิงหรือแคลอรี่จากอาหารมาใช้ แต่เน้นกักเก็บ

ส่งผลให้อุณหภูมิร่างกายลดต่ำลง ทำให้รู้สึกหนาวสั่น ตัวเย็นอยู่ตลอดเวลา และนี่คือสัญญาณที่ค่อนข้างชัดว่าเธอเป็นโรค ' ไฮโปไทรอยด์ '

หากอยู่ในสถานที่ปกติ กึ่งไปทางร้อนด้วยซ้ำ แต่เธอกลับรู้สึกหนาวยะเยือกแบบไม่มีเหตุผลอยู่บ่อยๆ ต้องใส่เสื้อผ้าหลายชั้น แค่ดื่มน้ำเย็นเข้าไปก็เหมือนจะตายซะให้ได้ ไม่ต้องพูดถึงอยู่ในห้องแอร์เลย

ถ้าไม่ได้เป็นไข้ ก็อาจเป็นไปได้ว่าเธอเป็นโรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ค่ะ

6. ชีพจรต่ำ ความดันต่ำ

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/da0cd10d684314b7192a0475a1f1ecb3.jpg

ตรวจวัดความดันแล้วชีพจรต่ำมีหลายสาเหตุ เช่น


น้ำหนักน้อยเกินเกณฑ์, อายุมากขึ้น, ภาวะขาดน้ำในร่างกาย, เป็นเองโดยพันธุกรรมจากพ่อแม่, โรคโลหิตจาง, หัวใจ-ระบบประสาทผิดปกติ หรือ ' ต่อมไร้ท่อมีปัญหา '


หรือต่อมไทรอยด์จากโรคไฮโปไทรอยด์ ที่ทำให้เมตาบอลิซึ่มเฉื่อยชา เผาผลาญได้น้อยกว่าปกตินั่นเอง

การที่ความดันต่ำ เพราะหัวใจของสาวๆ เต้นช้าลง ซึ่งระบบเผาผลาญสัมพันธ์กับการทำงานในระบบต่างๆ ของร่างกายรวมถึงหัวใจด้วย ถ้าหัวใจเต้นช้า แปลว่าการเผาผลาญน้อย และอาจส่งผลถึงการที่เผาผลาญพลังงานขั้นต่ำต่อวัน ( BMR ) ผิดปกติด้วย


ทางที่ดีควรไปเช็กให้ชัวร์ที่โรงพยาบาล ว่าความดันต่ำแบบนี้เกิดจากสาเหตุ ( หรือเป็นโรค ) อะไรกันแน่จะดีที่สุดค่ะ

7. อยากกิน ' แป้งและน้ำตาล ' ตลอดเวลา ทำยังไงก็ไม่อิ่มสักที

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/416289bfa394e929ce7dd2905fe45991.jpg

อาจจะดูไม่ค่อยเกี่ยวข้องกัน แต่การที่สาวๆ มีระบบเผาผลาญต่ำ จะเชื่อมโยงโดยตรงกับภาวะต้านทานหรือดื้ออินซูลิน ( insulin resistance ) อย่างมีนัยสำคัญ!


ตามหลักแล้ว ภาวะนี้จะหมายถึงว่าเซลล์ในร่างกายของเราต้านทานต่อการหลั่งของอินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนจากตับอ่อนที่ควบคุมการเผาผลาญพลังงานของเซลล์ ถ้าร่างกายต้านทานอินซูลิน ก็จะทำให้ระบบเผาผลาญแย่ลงอย่างรุนแรงค่ะ

หนึ่งในสัญญาณที่บอกว่าเธอ ' ดื้ออินซูลินเข้าซะแล้ว ' คือมีอาการโหย อยากกินแป้งและน้ำตาลอยู่ตลอดเวลา เพราะร่างกายไม่ได้ใช้อินซูลินอย่างเต็มที่ เซลล์จึงไม่ได้ดูดซึมกลูโคสเข้าไป ทำให้รู้สึกอยากกินอาหารสองอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ ไม่จบไม่สิ้น


ปัญหาคือถ้าห้ามปากตัวเองไม่ได้ ยิ่งกินเยอะ ร่างกายก็ยิ่งเผาผลาญออกไม่หมด ยิ่งกักเก็บไขมัน พลังงานเกิน และเหนื่อยล้ากว่าปกติ ซึ่งปกติจะแก้ได้ด้วยการคุมอาหาร ออกกำลังกาย แต่ถ้าทำทั้งหมดแล้วยังไม่หาย ก็ควรปรึกษาหมออย่างจริงจังค่ะ

--------------------------------------

และนี่ก็คือ 7 สัญญาณอันตรายที่ชี้ชัดว่าระบบในร่างกายของเธอ คือผู้ร้ายตัวจริงของเรื่องนี้ ไม่ได้ผิดที่เธอไม่พยายามมากพอแต่อย่างใด! ไม่ว่าจะตรงกับเธอกี่ข้อก็ตาม อย่าเพิ่งตื่นตระหนก รีบไปพบหมอผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจอย่างละเอียดโดยด่วนที่สุด ถ้าโชคดีก็อาจเป็นเพราะเธอคุมอาหารหนักเกินไป ร่างกายเลยเข้าสู่โหมดจำศีล ( starvation mode ) เฉยๆ แต่ถ้าโชคร้ายก็อาจมีพันธุกรรมของโรคไฮโปไทรอยด์ ที่ส่งผลกับเมตาบอลิซึ่มโดยตรงทั้งนี้ ไม่ว่ายังไงก็ควรไปโรงพยาบาล หากป่วยจะได้เตรียมแผนรักษาตัวได้ทันค่ะ ไม่ว่าจะระบบเผาผลาญช้าเพราะกินน้อย หรือป่วย หากตั้งใจจริงก็สามารถลดน้ำหนักได้ แต่ใช้ความพยายามเพิ่มหลายเท่าตัว เป็นกำลังใจให้สาวซิสที่ต้องเดินผ่านเส้นทางนี้ เป็นกำลังใจให้นะคะ ขอให้มีหุ่นที่วาดฝันไว้ทุกคนเลย วันนี้ก็ต้องขอตัวลาไปก่อน บ๊ายบาย´・ᴗ・`♡