รูปภาพ:https://thumbs.gfycat.com/SpicyFaithfulAsianporcupine-size_restricted.gif

สวัสดีค่า สาวๆSistaCafeที่อยากไปตั้งรกรากที่' สวิตเซอร์แลนด์ 'ทุกคนหากพูดถึงสวิตเซอร์แลนด์ เชื่อว่าสาวไทยจะนึกถึงดินแดนแห่งความฝัน วิวทิวทัศน์ที่สวยสะอาดเหมือนเทพนิยาย สวยเหมือนไม่มีอยู่จริงบนโลกใบนี้ ท้องฟ้าสีสดใส หญ้าเขียวชอุ่ม บ้านสีเดียวกันแบบคุมโทน สวัสดิการก็เยี่ยม การคมนาคมเริ่ด โจรขโมยแทบไม่มี อยู่ได้อย่างปลอดภัยไร้กังวลแต่ก็มากับภาษีที่จ่ายในอัตราสูงปรื๊ด! เช่นเดียวกัน ถึงอย่างนั้นก็ยังมีสาวๆ มากมายที่หาข้อมูล เผื่อมีลู่ทางจะได้ย้ายไปใช้ชีวิตที่นั่น เช่น ทำงาน หรือแม้แต่งงานกับชาวสวิต เป็นต้นหากเธอเริ่มวางแผนจริงจัง มีแนวโน้มสูงที่จะได้ย้ายถิ่นฐานแล้ว อาจจะมีช่วงนึงที่ไม่แน่ใจ ทบทวนกับตัวเองว่าจะอยู่รอดไหม? ภาษีจะจ่ายสูงจนไม่มีเงินเก็บเลยรึเปล่า? เมืองสวยแบบนี้จะมีกฎระเบียบเยอะจนอึดอัดไหม? ถ้าไปถามคนทั่วไปแบบสุ่มๆ ก็คงได้คำตอบต่างกันไป ลางเนื้อชอบลางยาเนอะ ในบทความนี้เราจึงรวบรวม' 7 สิ่งควรรู้ เมื่อคิดจะย้ายประเทศไปสวิตเซอร์แลนด์ 'ซึ่งเป็น Fact ที่ไม่ได้เข้าข้างใคร เป็นเรื่องที่ใครจะไปเป็นพลเมืองควรรู้ จะได้ใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างราบรื่น จะมีข้อดีข้อเสียยังไงในการเป็นพลเมืองของสวิตบ้าง ไปดูกันเลย!

1. ควรเรียน ' ภาษาเยอรมัน ' เป็นพื้นฐาน เพื่อใช้ชีวิตในสวิตได้ราบรื่น

รูปภาพ:https://www.i-pic.info/i/C4JM35457.jpg

ประเทศสวิตเซอร์แลนด์มีความหลากหลายทางภาษาสูงมากๆ เพราะมีชายแดนติดขอบกับหลายๆ ประเทศ จึงทำให้

มีภาษาราชการถึง 4 ภาษา ( ฝรั่งเศส, เยอรมัน, อิตาเลียนและโรแมนซ์ ) ไม่นับภาษาอังกฤษที่ใช้แบบไม่เป็นทางการด้วย แต่ที่ใช้กันมากที่สุดจะเป็น ' Swiss German ' หรือภาษาเยอรมันท้องถิ่นของสวิต


ที่จะมีการพูดและสำเนียงต่างจากภาษาเยอรมันโดยทั่วไป และถ้าเธอมีแพลนจะไปอยู่ที่กรุงเจนีวา ถ้าพูดภาษาฝรั่งเศสได้ด้วยก็จะยิ่งได้เปรียบ

ชาวสวิตส่วนใหญ่ตามธรรมชาติ เมื่อเกิดมาก็จะพูดได้หลายภาษาอยู่แล้ว อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาเลียน และแต่ละภาษาก็นำไปพูดกับคนประเทศอื่นๆ ได้อีก เรียกว่าได้เปรียบประเทศที่พูดแค่ภาษาตัวเองเพียงภาษาเดียว

ที่จริงถึงไม่รู้ภาษาเยอรมันกับฝรั่งเศสเธอก็ใช้ชีวิตรอดได้ในชีวิตประจำวัน แต่ถ้าถึงขั้นสมัครงาน ติดต่อเรื่องที่เป็นทางการ เธอก็หนีสองภาษานี้ไม่พ้นอยู่ดี

เราแนะนำว่า ถ้าเธอมีแพลนจะอยู่ที่สวิตนานกว่า 1 ปีขึ้นไป ควรจะเรียนภาษาเยอรมันกับฝรั่งเศสไว้จะดีกว่า หรือถ้ามีพื้นเยอรมันอยู่แล้ว ก็ควรเรียนสำเนียงและคำท้องถิ่นของคนสวิตเพิ่มเติม


นอกจากรู้คำศัพท์เวลาช้อปปิ้ง เข้าร้านอาหารได้มากขึ้นแล้ว หากเราทักทายคนท้องถิ่นด้วยภาษาของเขา เขาก็จะเป็นมิตรกับเรามากขึ้น เหมือนที่ฝรั่งพูดสวัสดีค่ะ แล้วเราเอ็นดูเขามากขึ้น คนสวิตก็เช่นกันค่ะ

2. การหาบ้านเช่าเพื่ออยู่อาศัยในสวิต ' ยากมากถึงมากที่สุด ' เหมือนเกม survival

รูปภาพ:https://www.i-pic.info/i/ZdfT35433.jpg

ถ้าเธอเคยไปเรียนต่อ หรือใช้ชีวิตที่ประเทศอื่นๆ มาก่อน คงรู้ว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้ปวดหัว วุ่นวาย หัวหมุนไปหลายเดือนก็คือ ' การหาที่พักในต่างแดน ' ซึ่งสวิตเซอร์แลนด์ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ยากระดับงานหินเช่นกัน!


โดยเฉพาะถ้าหาในเมืองใหญ่ๆ เช่น ซูริค เจนีวาและลูเซิร์น จำนวนห้องว่างก็จะยิ่งน้อยลง ใครมาทำงานที่นี่ ต้องวางแผนให้ดีว่าจะต้องติดต่อใคร เลือกบ้านอย่างไร ต้องมีค่ามัดจำ ค่าประกันอะไรบ้าง ถ้าแต่งงานกับคนท้องถิ่นก็ตัดความกังวลตรงนี้ทิ้งไปได้ค่ะ

หากเธอเพิ่งมาใช้ชีวิตที่นี่ใหม่ๆ เราแนะนำให้มองหาอะพาร์ตเมนต์แถบชานเมือง แต่ขึ้นรถสาธารณะเข้าเมืองได้ง่ายและรวดเร็ว อย่าเพิ่งย้ายไปที่เมืองชนบทห่างไกลโดยที่ยังไม่คุ้นชิน ภาษาก็ยังไม่คล่อง เพราะเธอจะโฮมซิกและรู้สึกอ้างว้างได้ง่าย

อีกเรื่องหนึ่งที่ควรรู้คือ สัญญาเช่าของที่นี่ จะกำหนดวันแรกให้ใกล้เคียงหรือวันเดียวกับวันหมดสัญญา เพื่อจะได้ย้ายบ้านได้ในวันเดียวกัน ต้องกะเวลาย้ายเข้า ย้ายออกจากที่พักให้ดีๆ นะคะ

3. การหางานประจำในสวิต ' ค่อนข้างยาก ' ถ้าไม่ได้จบสายที่ขาดแคลน

รูปภาพ:https://www.i-pic.info/i/iYWF35456.jpg

นอกจากการหาที่พักจะยากเย็นแสนเข็ญแล้ว สาวๆ คนไหนที่คิดจะมาหางานในประเทศนี้ยิ่งยากกว่า ( ถ้ามาผจญภัยเองคนเดียว นับถือในความใจเด็ดเลย ) เพราะหายากมากถึงมากที่สุด! แน่นอนว่าจะมีบางสายอาชีพที่ขาดแคลน ใครๆ ก็ต้องการตัวโดยไม่จำเป็นต้องเก่งภาษาท้องถิ่นมากก็ได้ เช่น หมอ ไอที งานอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการผลิตชีส เป็นต้น


แต่ถ้าไม่ได้เรียนจบสายงานเหล่านี้มา ความสามารถก็กลางๆ ภาษาก็ไม่เก่ง ประสบการณ์น้อย ก็ยากมากที่นายจ้างจะรับและออกวีซ่าทำงานให้ค่ะ

สิ่งที่เราจะแนะนำกับสาวๆ ก็คงไม่มีอะไรนอกจาก อย่าท้อ มุ่งมั่นหางานต่อไป ต้องมีสักวันที่เป็นของเรา! พยายามฝึกทักษะใหม่ๆ เพื่อเพิ่มลงไปในเรซูเม่ หากไปถึงรอบสัมภาษณ์แล้วไม่ผ่าน ลองถามดูว่าเป็นเพราะเรายังขาดในด้านไหน ( เขาจะตอบไหมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง )

เดี๋ยวนี้ก็มีคอร์สออนไลน์เพื่อเก็บความรู้มากมาย บางคอร์สเรียนเป็นจริงเป็นจัง เสียเงินเข้าคลาส มีสอบเหมือนไปเรียนที่มหาลัยจริงๆ สอบเสร็จแล้วได้ใบประกาศนียบัตรด้วย เลือกเรียนให้เกี่ยวข้องกับสายงานที่อยากสมัคร หรือถ้าพอมีเงินเก็บก้อนใหญ่ ก็ลองทำธุรกิจของตัวเองเพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ก็เป็นตัวเลือกที่ดีค่ะ

4. ค่าครองชีพในสวิตเซอร์แลนด์อาจ ' ไม่แพง ' อย่างที่คิด ( เทียบกับรายได้ที่นี่ )

รูปภาพ:https://www.i-pic.info/i/aqBF35453.jpg

หากพูดถึงหัวข้อค่าครองชีพของสวิตเซอร์แลนด์ แวบแรกในหัวของหลายๆ คนก็คือ ' แพง! ' ซึ่งถ้ามาในฐานะนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะกับประเทศที่ค่าแรงน้อย การใช้จ่ายทั้งค่าเดินทาง ค่าอาหารก็นับว่าราคาสูงจริง แต่ถ้าเทียบอัตราส่วนค่าครองชีพกับเงินเดือนในสวิต ก็ไม่ได้แพงขนาดนั้น!


ค่ารถรางเดินทางทั่วเมืองแพงก็จริง แต่ก็มีการวางโครงสร้างที่เป็นระเบียบ ดีเลย์น้อยมาก เชื่อมต่อการคมนาคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ราคาค่าโดยสารเที่ยวเดียวประมาณ 5 สวิสฟรังก์ ( 175 บาท ) ค่ะ

อย่างไรก็ตาม ถ้าเธอมาเป็นพลเมืองหรือผู้อยู่อาศัยระยะยาว ก็จะมีส่วนลดให้ครึ่งหนึ่ง หรือถ้าเดินทางในระยะทางสั้นๆ ก็จะซื้อตั๋วได้ถูกลง เป็นต้น อีกทั้งภาษีที่ต้องจ่ายจะขึ้นอยู่กับว่าอาศัยที่เมืองไหน

ถ้าเมืองใหญ่ เมืองหลวงภาษีก็แพงกว่าอยู่เมืองเล็ก หรือแม้แต่ในสเกลเมืองเดียวกัน แถบชานเมืองกับแถบชนบทก็เรทภาษีต่างกัน

ในเรื่องของค่าอาหาร เป็นความจริงที่ว่าราคาเนื้อสัตว์ต่างๆ แพงมาก แพงจนหูฉีก โดยเฉพาะเนื้อสวิสแท้ๆ ขนาดเนื้อนำเข้าจากประเทศอื่นยังถูกกว่า!


แต่เธอสามารถประหยัดได้ด้วยการกินวีแกน กินผักผลไม้ ธัญพืชแทน อีกทั้งราคาอาหารสดจะมีช่วงลดราคา 25% 50% ในวันเสาร์ช่วงบ่าย เพราะประเทศนี้ร้านซูเปอร์จะหยุดทำการวันอาทิตย์ จึงต้องเทขายไม่ให้มีของเหลือหมดอายุนั่นเอง, สมัครบัตรสมาชิกซุปเปอร์เพื่อส่วนลดต่างๆ และมีจักรยานของตัวเองเพื่อเดินทางในระยะใกล้ๆ ก็เซฟค่าเดินทางไปได้เยอะมากเช่นกันค่ะ

5. สวิตเองก็มี ' กฎและข้อระเบียบแปลกๆ ' ที่ต้องทำตาม ไม่งั้นก็อยู่ยาก!

รูปภาพ:https://www.i-pic.info/i/F8Ax35455.jpg

ไปประเทศไหน เราก็ต้องเคารพกฎและระเบียบที่เขายึดถือกันมาช้านานจริงไหมคะ มาอยู่สวิตเซอร์แลนด์ก็เช่นกัน ที่น่าตกใจคือ บางกฎก็ยิบย่อย จุกจิกแปลกๆ คนต่างชาติจะรู้สึกอิหยังวะสุดๆ เมื่อต้องทำตามในช่วงแรก แต่ถ้าอยู่ไปนานๆ จะรู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลแล้ว โดยเฉพาะด้าน ' สามัญสำนึก '

เช่นกฎข้อหนึ่งในสัญญาเช่าห้องบอกว่า ห้ามอาบน้ำและเข้าห้องส้วมหลัง 4 ทุ่ม ( ไม่ให้เสียงทำธุระรบกวนเพื่อนบ้าน ), ห้ามส่งเสียงดัง ซักผ้าในวันอาทิตย์ ( เป็นวันพักผ่อน ) เป็นต้น แต่มันก็ไม่ถึงกับเป็นกฎหมาย ถ้าต่อรองกับเพื่อนบ้านได้ก็ไม่มีปัญหา

กฎหมายหลายข้อก็เหมือนประเทศพัฒนาแล้วทั่วๆ ไป เช่น การแยกขยะ ทิ้งขยะ รีไซเคิล กฎการจอดรถให้เป็นที่เป็นทาง ไม่จอดเกินเวลา ถ้าฝ่าฝืนมีโทษรุนแรง แต่กฎบางอย่าง คนไทยอย่างเราก็ไม่ค่อยเข้าใจ


เช่น ต้องเลี้ยงสัตว์บางชนิดเป็นคู่ๆ เลี้ยงตัวเดียวไม่ได้ เป็นต้น

และกฎบางอย่างที่อนุโลมได้ก็แอบงงๆ ว่าได้เหรอ? เช่น สูบบุหรี่ที่ป้ายรถเมล์และสถานีรถไฟได้ ตำรวจไม่จับ, เวลาเดินทางไกล บางทีก็จะมีการแชร์ไวน์หรือเบียร์กันบนรถไฟ เป็นต้น ก็เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้กันไปค่ะ

6. ' วิวทิวทัศน์ ' ในสวิตสวยเหมือนเทพนิยาย เหมือนโฟโตช็อปทั้งประเทศ

รูปภาพ:https://www.i-pic.info/i/6nEZ35454.jpg

อันนี้ก็ต้องยกความดีความชอบให้ภูมิประเทศ และการรักษาสภาพแวดล้อมเดิมของสวิตเซอร์แลนด์อย่างเหนียวแน่นจริงๆ จึงทำให้ประเทศนี้มีทัศนียภาพที่สวย สะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อย เหมือนรีทัชด้วยโปรแกรม Photoshop ตลอดเวลา ( แนะนำให้ขึ้นรถไฟสาย Glacier Express และ Andermatt © Rhaetian Railway เพื่อพาทัวร์เส้นทางที่สวยที่สุดในโลก ฟินยันชาติหน้า )

หากเป็นสายเอาท์ดอร์ แนะนำให้เช่ารองเท้าบูท ไม้สกีไปเล่นสกี ทำกิจกรรมเอาท์ดอร์ เมื่อเล่นกีฬากับภูมิประเทศสวยๆ ก็ทำให้สนุกและประทับใจมากยิ่งขึ้นด้วยค่ะ

เนื่องจากสวิตเซอร์แลนด์มีช่วงหน้าร้อนค่อนข้างสั้น ส่วนใหญ่จะหนาวทั้งปี จึงไม่ต้องแปลกใจถ้าช่วงซัมเมอร์จะมีฝูงชนขนาดใหญ่ปิ้งย่างบาร์บีคิวกินกันชิลล์ๆ ที่ริมแม่น้ำหรือทะเลสาบ เธอสามารถหาสถานที่ปิ้งย่างหรือเผาฟืนได้แทบจะทุกที่ในประเทศนี้ จะไปปิ้งที่สนามเด็กเล่นก็ยังได้


หากเป็นช่วงหน้าหนาว กลุ่มคนที่เคยรวมตัวกันกินบาร์บีคิว ก็จะแห่ไปเล่นสกีและสกีเลื่อนกันแทน เรียกได้ว่าการพักผ่อนหลักๆ ของคนที่นี่ จะเปลี่ยนไปตามฤดูกาลเป็นหลักค่ะ

7. ทาสแมวต้องเลิฟ! เพราะค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงแมว ' ถูกกว่า ' เลี้ยงหมา

รูปภาพ:https://www.i-pic.info/i/Zk9d34818.jpg

ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ถือว่าเป็นมิตรสำหรับคนรักสัตว์ บรรดาทาสหมาทาสแมวอยู่พอสมควร แม้จะเป็นต่างชาติเข้ามาอาศัยอยู่ก็ตาม แต่กฎในการนำเข้าและการเลี้ยงดูก็จะค่อนข้างเข้มงวด โดยทั่วไปคนจะนิยมเลี้ยง ' แมว ' มากกว่าหมา

แทบจะมีจำนวนมากกว่าหมาถึง 3 เท่าเลยทีเดียว เพราะค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงหมาแพงกว่าค่อนข้างมาก เช่น ค่าฝึกให้ทำตามคำสั่ง ค่าประกัน หรือถ้าถ้าพาไปเที่ยวขึ้นรถไฟด้วย ก็ต้องซื้อตั๋วแยกให้ต่างหาก เป็นต้น

สำหรับสาวๆ ที่มีน้องหมาและอยากพามาอยู่ด้วยกันที่สวิต กฎจากทางการจะค่อนข้างเยอะแต่ก็ไม่ยากจนเกินไป ต้องฝังไมโครชิพติดตามตัว ลงทะเบียนมีตัวตน และหากมาถึงปลายทางแล้ว ต้องพาไปหาสัตวแพทย์ที่สวิตเซอร์แลนด์ภายใน 10 วัน แต่ละเมืองจะมีกฎต่างกัน ควรติดต่อสำนักงานสัตวแพทย์ประจำพื้นที่นั้นๆ เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม

กฎหลักๆ ที่จะเจอก็เช่น ใช้สายจูงตรงที่มีเครื่องหมาย, ทำประกันภัยสุนัข, ฉีดวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า, ทิ้งอึในภาชนะที่จัดเตรียมไว้ หากเธอจะไปอยู่ที่เจนีวา สุนัขทุกตัวจะต้องใส่ปลอกคอที่มีเครื่องหมายควบคุม ดังนั้นจะไปอยู่เมืองไหน ก็ต้องศึกษากฎเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงของเมืองนั้นให้ครบถ้วน จะได้ไม่ทำผิดกฎหมายโดยไม่รู้ตัวนะคะซิส

รูปภาพ:https://media1.giphy.com/media/kdicjggNCgM10dtqvO/giphy.gif

----------------------------------------------เมื่ออ่านจบถึงตรงนี้แล้ว จะเห็นได้ว่าประเทศสวิตเซอร์แลนด์ไม่ได้เป็นแดนสวรรค์ 100% อย่างที่คนไทยโดนไซโคมาขนาดนั้น มันก็มีทั้งข้อดีข้อเสียให้ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเช่นกัน แม้จะมีข้อดีเรื่องอากาศบริสุทธิ์ วิวทิวทัศน์ภูเขา แม่น้ำที่สวยงามเหมือนอยู่ในความฝันตลอดเวลา มีกิจกรรมเอาท์ดอร์อย่างปั่นจักรยานและเล่นสกีให้ได้ออกกำลังกาย มีพิซซ่า ชีส และไวน์รสเลิศ แต่ก็แลกมากับความเหนื่อยยากในการหางาน การทำงาน การทำตามกฎยิบย่อยของเมือง ( ซึ่งก็เพื่อความเป็นระเบียบนั่นแหละ ) จ่ายภาษีตามอัตราเงินเดือนที่ได้รับ อาหารที่ไม่ได้มีรสหลากหลาย จัดจ้านเท่าที่ไทย สายอาร์ตที่อยากหาไอเดียครีเอทใหม่ๆ หลุดโลกตลอดเวลา อยู่ที่นี่ก็อาจจะไม่ตอบโจทย์เหมือนกันไม่มีประเทศไหนที่เหมาะกับทุกคน ยังไงก็ลองไปชั่งน้ำหนักกันดูว่าจะยังมุ่งมั่นมาอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ต่อไป หรือจะเทความสนใจไปประเทศอื่นที่ตอบโจทย์เธอมากกว่า สุดท้ายแล้วอำนาจการตัดสินใจก็อยู่ที่ซิสค่ะ ^_^ สำหรับวันนี้ก็ต้องขอตัวลาไปก่อน พบกันใหม่คราวหน้านะคะ บ๊ายบายยย ~('▽^人)