บทที่ 8

เสียงเพลงในผับและหญิงสาวหน้าตาดีกำลังเต้นยั่วยวน หลายวันมานี้ณัฏฐ์เปลี่ยวเหงาใจอยากจะหาเพื่อนคุยด้วยสักคน จึงออกมาเที่ยวเปลี่ยนบรรยากาศข้างนอก กระทั่งหันไปเห็นเป้าหมายที่กำลังเดินเข้ามา นัยน์ตาจับจ้องร่างอรชรในชุดเดรสสีดำ

เขาเฝ้ารอจังหวะที่เธอนั่งลงที่เก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์จึงถือโอกาสย้ายที่ไปนั่งข้าง ๆ

“ขอเหมือนเธอหนึ่งที่ด้วยครับ” เขาสั่งและยิ้มโปรยเสน่ห์ให้

“ผมขอนั่งเป็นเพื่อนด้วยได้ไหมครับ ถ้าคุณไม่รังเกียจ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มชวนฟัง

อรวรรยาหันมายิ้มหวานให้ พลางส่งสายตาสำรวจชายหนุ่มหน้าตาดี

“ก็...เอาสิคะ”

“ผมชื่อณัฏฐ์นะครับ แล้วคุณชื่อ...”

“อิงอรค่ะ เรียกฉันว่าอิงก็ได้ค่ะ” หญิงสาวยิ้มสวยยั่วชายหนุ่ม สายตาบ่งบอกถึงความพอใจทางหน้าตาของเขาเป็นอย่างมาก “คุณมาคนเดียวเหรอคะ”

“ใช่ครับ” ณัฏฐ์ยกเครื่องดื่มในมือขึ้นดื่ม พลางเหลือบสายตามองสัดส่วนของหญิงสาวตรงหน้า “เออ...แล้วคุณมาคนเดียวเหรอครับ”

“ค่ะ ฉันแค่อยากมานั่งเฉย ๆ แก้เบื่อน่ะค่ะ” อรวรรยาตอบก่อนขยับตัวโน้มเข้าไปใกล้ชายหนุ่มกระซิบเสียงหวานว่า “คุณอยากจะมาเป็นเพื่อนแก้เหงาของฉันไหมล่ะคะ”

ณัฏฐ์ยิ้มอย่างไม่ปฏิเสธคำเชิญชวนของอีกฝ่าย

“ถ้างั้นเราไปเปลี่ยนบรรยากาศที่อื่นดีไหมคะ” หญิงสาวเชิญชวนอย่างไม่อาย ส่งสายตายั่วชายหนุ่มที่ตอบรับท่าทีของเธอ

“ได้สิครับ”

ณัฏฐ์ลุกขึ้นเดินโอบอรวรรยาออกไป โดยที่ไม่ปฏิเสธคำชวนแสนหวานแต่อย่างใด ในเวลานี้จิตใต้สำนึก ความคิดถูกครอบงำไปเรียบร้อย พลันนึกถึงเรื่องของมิราวดีก็ไม่ได้ย้ำเตือนความรู้สึกผิด ซ้ำยังคิดอีกว่าแฟนเขาไม่ว่างจะมารับรู้เรื่องนี้ได้อยู่แล้ว

รูปภาพ:

อรวรรยาเดินควงชายหนุ่มออกมาจนถึงหน้าประตู ก่อนส่งสัญญาณมือให้คนติดตามถอยออกห่าง เพราะต้องการความเป็นส่วนตัว

ส่วนณัฏฐ์ก็ไม่ได้สังเกตเพราะเอาแต่จ้องหน้าอกอวบอิ่มของหญิงสาวไม่วางตา กระทั่งทั้งสองคนเดินออกมายังลานจอดรถก็มีผู้ชายสองคนใส่ชุด สีดำเดินเข้ามาดักข้างหน้า

“พวกแกเป็นใคร” เสียงแหลมของหญิงสาวเอ่ยขึ้นไม่พอใจ

“เฮ้ย จับตัวมันไป” คนที่อยู่ทางด้านหลังเดินเข้ามา ณัฏฐ์จำหน้า คนนี้ได้ว่าเป็นคนของเฮียโชคชัย

“เดี๋ยวก่อน !” อรวรรยาเอ่ยขึ้นพลางส่งสายตามอง “พวกแกถอยออกไปถ้าไม่อยากเจอดี”

ณัฏฐ์มองหญิงสาวข้างตัวก็รีบเดินเข้ามาโอบและพูดเสียงหวาน

“คุณอิงใจเย็น ๆ นะ”

คนตัวใหญ่ไม่ได้สนใจผู้หญิงกลับใช้กำลังลากณัฏฐ์ออกมา อรวรรยารู้สึกหงุดหงิดที่ผู้ชายคนนี้กำลังจะถูกแย่งไปจึงลงสัญญาณเรียกคนติดตามที่ยืนห่างออกไปเข้ามาจัดการซ้อมคนทั้งสามทันที

แน่นอนว่าสามคนไม่สามารถสู้คนติดตามที่มีเกือบสิบคนได้ คนหนึ่งหมอบลงกับพื้น อีกสองคนถูกบังคับให้ยืนขึ้นและซ้อมจนใบหน้า ลำตัวฟกช้ำไปหมด ณัฏฐ์เห็นแล้วได้แต่กลืนน้ำลายไม่กล้ามีปากเสียงหรือเอ่ยห้ามอะไร

“อย่ามาให้เห็นหน้าอีก และอย่ามายุ่งกับคนของฉัน เข้าใจไหม !” อรวรรยาพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองก่อนจะเดินมาหาณัฏฐ์ที่ยืนอึ้งอยู่ “ขอโทษนะคะ ที่ทำให้คุณตกใจ พอดีคุณพ่อชอบให้มีคนติดตามเพื่อความปลอดภัย คุณคงไม่กลัวฉันใช่ไหมคะ”

ณัฏฐ์พูดไม่ออกแต่ก็ยิ้มอ่อยให้หญิงสาว นี่อาจจะเป็นโชคดีที่โชคชัยไม่ต้องมาตามราวีอีกก็ได้ หนี้ก็ได้ใช้หมดไปแล้ว เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าพวกมันจะตามมาอีกทำไม “ไม่เลยครับ คุณเท่และก็สวยมากเลย”

“จริงเหรอคะ” เธอทำสีหน้าดีใจ แล้วเอ่ยถามชายหนุ่มว่า “พวกมันตามคุณทำไมคะ หรือว่าคุณ...”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ พวกมันแค่ตามหาเพื่อนผมไม่เจอ เลยจะมาทำร้ายผม...ผมโชคดีมากที่มีนางฟ้าอย่างคุณมาปกป้อง”

“งั้นเหรอคะ”

หญิงสาวขานรับมองสามคนในสภาพที่ดูไม่ได้อย่างสมเพช

ชายหนุ่มพยักหน้าพลางขยับตัวโน้มเข้าไปใกล้

“ถ้ายังไงเราไปเปลี่ยนบรรยากาศกันเถอะครับ”

“ไปสิคะ”

อรวรรยาตอบกลับก่อนส่งสัญญาณให้ลูกน้องปล่อยสามคนนั้นไป

ณัฏฐ์ควงหญิงสาวขึ้นไปอย่างมีความสุข ช่างโชคดีจริง ๆ หากได้มาเป็นคู่ควงคงไม่มีอะไรต้องกลัว สำหรับคืนนี้เขาจะมอบความพึงใจให้เธอไม่ไปสนใจใครได้อีก...

หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป

มิราวดีไปทำงานตามปกติ ก่อนหน้าที่ลาหยุดก็เขียนจดหมายลาส่งให้เจ้านายโดยบอกว่าเพื่อนสนิทที่รู้จักกันป่วยต้องเดินทางไปต่างจังหวัด แม้จะขาดงานไปนานหลายวันแต่ก็ไม่ได้ทำให้เสียเรื่องงาน เมื่อกลับมาจึงจำเป็นต้องตั้งสติและทำงานตามเดิม

หญิงสาวพนักงานขายที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานทั้งที่อายุงานน้อย ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้ากลุ่ม และเป็นพนักงานขายดีเด่นประจำแผนกด้วย เธอทำงานให้กับบริษัทจำหน่ายสินค้าที่ใช้ในอุตสาหกรรมนำเข้าจากต่างประเทศ และยังมีแบรนด์ที่ผลิตขึ้นเองเพื่อใช้ในประเทศและส่งออกด้วยเช่นกัน ในส่วนของเธอรับผิดชอบสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศ

“พี่คะ ลูกค้าขอเราลดราคาค่ะ”

มิราวดีที่กำลังติดสายอยู่ยกมือขึ้นและคุยกับลูกค้าให้เสร็จก่อนจะหัน

มาคุยด้วย “ว่าไงจ๊ะ”

“ลูกค้าขอลดราคาสินค้าที่จะนำเข้ามาค่ะ คือมินเองก็ต่อราคาไปที่ต่างประเทศแล้ว แต่เขาบอกว่าลดไม่ได้แล้ว เอ่อ...ถ้าไม่ลดงานนี้อาจจะโดนคู่แข่งแย่งไปก็ได้ค่ะ” ศิตราพูดบอกรายละเอียดที่ได้คุยให้กับหัวหน้าฟัง

“คู่แข่งที่ลูกค้านำมาเทียบราคากับเราทุกปีใช่ไหม”

“ใช่ค่ะ แต่ดูเหมือนปีนี้ทางคู่แข่งกดราคามาต่ำมาก ถ้าเราทำตามที่ลูกค้าบอกจะไม่เหลือกำไรเลยค่ะ”

หญิงสาวพยักหน้ารับถอนหายใจออกมา “งั้นเอาเบอร์โทร.ลูกค้าที่เราคุยด้วยมา เดี๋ยวพี่จัดการคุยต่อเอง”

“ค่ะ” ศิตรายื่นเอกสารให้และเดินออกไปทันที

มิราวดีค่อนข้างหัวหมุนกับงานที่ประดังเข้ามาหลายงานจนเยอะเพราะหายไปหลายวันนั่นเอง หญิงสาวสูดลมหายใจตั้งสติ นอกจากงานแล้วก็ไม่มีเวลาให้คิดเรื่องอื่นอีกเลย

หลายชั่วโมงผ่านไปจนกระทั่งได้เวลาพักรับประทานอาหารกลางวันก็ยังนั่งทำงานอยู่ ครั้นเวลาใกล้หมดพักเที่ยงแล้ว หญิงสาวจึงลุกขึ้นเก็บของจากโต๊ะทำงาน พอดีกับที่ศิตราเดินเข้ามา

“พี่ไม่เข้างานช่วงบ่ายใช่ไหมคะ”

มิราวดีพยักหน้ารับ “ใช่จ้ะ พี่มีออกไปพบลูกค้าน่ะ”

เธอยิ้มให้ลูกน้องเดินออกจากห้องมายังลิฟต์และตรงมาที่ลานจอดรถ หญิงสาวเก็บของที่เบาะหลังแล้วขับรถเพื่อไปรับประทานอาหารกลางวันก่อนจะไปพบลูกค้าตามนัดหมาย


ในช่วงบ่ายมิราวดีเข้าพบลูกค้าที่บริษัทแห่งหนึ่งเพื่อคุยรายละเอียดงานและเซ็นสัญญาว่าจ้างงาน เกี่ยวกับการติดตั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบใหม่ที่ต่างประเทศเพิ่งเปิดตัวมาไม่นาน รวมถึงระยะเวลาการซ่องบำรุง และการอบรมการใช้งานของผู้ที่ควบคุมด้วย หลังจากนั้นก็ใช้เวลาที่เหลือออกหาห้องพักที่จะอาศัยอยู่ต่อ แน่นอนว่ายังไม่หมดเวลาเลิกงาน แต่สำหรับบริษัทขอเพียงยอดขายและกำไรถึงตามที่เจ้านายต้องการก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง และเธอเองก็ทำได้ดีทุกครั้งด้วย

หญิงสาวขับรถไปตามทางเพื่อแวะหาดูห้องพัก ในสมัยนี้ห้องพักเปลี่ยนไป เทคโนโลยีถูกนำมาแทนที่มากขึ้น ต่างจากสมัยก่อนตามคำบอกเล่าของคนแก่คนเฒ่ามากมาย

ยังไม่มีที่ถูกใจและราคาเหมาะสม มิราวดีไม่อยากจ่ายห้องพักราคาแพง แม้ว่าจะมีเงินจ่ายไหวแต่ส่วนตัวก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายไปกับตรงนี้ให้มาก

หญิงสาวถอนหายใจปลงตกกับชีวิต “จะกลับไปคุยกับคนนั้นก็ไม่ไว้ใจเท่าไหร่ ห้องเช่าที่ถูกใจก็แพงเกินจำเป็น เฮ้อ”

บ่นพึมพำกับตัวเองก่อนที่จะขับรถกลับมายังโรงแรมอีกครั้งหนึ่ง     มิราวดีหยิบเอกสารที่จำเป็นต้องทำงานต่อติดตัวไปด้วย สองเท้าก้าวยาวตรงหมายจะไปที่ลิฟต์เพื่อเข้าไปข้างใน ทว่าหยุดชะงักลงเมื่อชายร่างใหญ่มาดักหน้า หญิงสาวมีสีหน้าตกใจ และคิดว่าคงเป็นพวกนั้นแน่นอน เธอรีบกลับตัวหมายจะวิ่งหนี แต่ก็มีคนดักล้อมรอบอยู่เช่นกัน

“พวกแก ! ช่วยด้วย !”

เธอส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือหวังว่าจะมีคนผ่านมา

“อย่าคิดหนีอีกเลย ถึงหนียังไงก็หนีไม่พ้น” น้ำเสียงและรอยยิ้มนั้นทำให้มิราวดีกลัว พวกนี้มันเข้ามาในที่จอดรถสำหรับแขกโรงแรมได้ แสดงว่าไอ้บ้าค้ามนุษย์นั่นต้องมีเส้นสายแน่นอน

แฟ้มเอกสารที่อยู่ในมือยกขึ้นเพื่อหมายจะใช้เป็นโล่ป้องกัน

แต่ผู้ชายห้าคนต่อผู้หญิงเพียงคนเดียวดูก็รู้ว่าไม่มีทางรอดไปได้ มิราวดีพยายามมองหาโอกาสหลบหนี พอได้จังหวะก็รีบวิ่งผ่านพวกมันออกไปทันที สิ่งที่ปลอดภัยและหลบได้ตอนนี้คือรถของเธอนั่นเอง

สองเท้าวิ่งเร็วไปยังรถ แต่ก็ไม่ทันเมื่อถูกรั้งตัวกระชากกลับมาจนเซ

ล้มไปที่พื้น กระเป๋าและแฟ้มเอกสารกระจัดกระจายไปทั่ว นาทีนี้ความหวาดกลัวเข้าครอบงำจนร่างกายเริ่มไม่ตอบสนอง เธอไม่อยากกลับไปที่ที่สกปรกแบบนั้นอีกแล้ว หากจะต้องกลับไปสู้ขอตายตอนนี้ยังจะดีกว่า

มิราวดีขยับมือเอื้อมหยิบกระเป๋าใบใหญ่แล้วยืนขึ้นหวังจะฟาดไปที่หัวของคนที่อยู่ใกล้สุดฟึ่บ !

เมื่ออีกฝ่ายหลบ เธอจึงได้จังหวะวิ่งหนีออกมา แต่...

“จะหนีไปไหน” แขนทั้งสองข้างถูกกระชากและรั้งไว้ทางด้านหลัง หญิงสาวดิ้นสุดกำลังเพื่อให้หลุดจากพันธนาการของคนเลว

“ปล่อยฉันนะ ! พวกแกมันเลว !” เธอส่งสายตามองอย่างขยะแขยงและรีบส่งเสียงดังเผื่อมีคนจะเข้ามาเห็นเหตุการณ์ “ใครก็ได้ช่วยด้วย คนพวกนี้จะจับตัวฉันไป พวกมันจะพาฉัน ปะ อื้อ”

มิราวดีไม่มีแรงต่อต้านกำลังที่มากกว่า อีกทั้งพวกมันใช้ผ้าปิดปากไว้ไม่ให้ร้องเสียงดังไม่ใช่หญิงสาวรู้ดีว่านั่นคือยาสลบ ร่างกายที่พยายามดิ้นต่อต้านจนถึงนาทีสุดท้ายก็หยุดลง

“ไปเว้ย รีบไปเร็ว” ร่างที่หมดสติของหญิงสาวถูกแบกขึ้นพาดไว้ที่บ่าของคนหนึ่ง และตรงไปยังรถที่จอดอยู่แต่ทว่าก็หยุดชะงักลงเมื่อเห็นชายรูปร่างหน้าตาดีมายืนขวางไว้

“ผมคงให้เธอไปกับพวกคุณไม่ได้” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพเยือกเย็น นัยน์ตานิ่งมองคนที่อยู่ตรงหน้าไม่สะทกสะท้านหรือรู้สึกเกรงกลัว รอยยิ้มเปรยออกมาบนใบหน้า “ผมให้เวลาคุณปล่อยเธอไว้แล้วหนีไปซะ”

“เห้ย มึงเป็นใครวะ ถอยไปซะดี ๆ ถ้าไม่อยากตาย”

รชตมองด้วยสายตานิ่ง ๆ แล้วยิ้มออกมา

“มึงพาสินค้าไปส่งก่อนเดี๋ยวกูตามไป” ชายอีกคนพูดขึ้นแล้วสกัดรชตเอาไว้โดยให้คนอื่นรีบพาหญิงสาวขึ้นรถ

ชายหนุ่มมองหญิงสาวที่ถูกอุ้มขึ้นรถไป เขาไม่รีรอที่จะจัดการคนที่ยืนขวางอยู่ทันที คนที่ตัวใหญ่กว่าไหนจะสู้กำลังจากเขาได้กัน มือของรชตบีบเข้าที่คอของอีกฝ่ายอย่างไร้ปรานี แต่ก็ไม่ได้หมายจะเอาชีวิต ดวงตาที่เยือกเย็นมองคนที่กำลังดิ้นกลัวความตายอย่างสมเพช

“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ฆ่าคนหรอก”

เป็นไปตามคำพูดแต่ก็ทำให้อีกฝ่ายเกือบถึงแก่ความตาย รชตใช้แรงเหวี่ยงชายร่างใหญ่ออกไปกระแทกกำแพงก่อนที่จะรีบเข้าไปหยุดรถที่ขับอยู่ เขาเปิดประตูและจัดการตัวเกะกะที่ขวางอยู่ก่อนจะอุ้มตัวของหญิงสาวลงจากรถมาโดยไม่ลืมทิ้งท้ายไว้ว่า

“แล้วก็ฝากไปบอกเจ้านายพวกคุณด้วยนะ ถ้ายังไม่อยากตายก็อย่ามายุ่งกับเธอ คราวหน้าเจอผมอีก อาจจะไม่ใช่แค่เจ็บตัว”

รูปภาพ:

กลิ่นหอมคล้ายเครื่องสมุนไพรในสปาลอยคุ้งไปทั่ว หญิงสาวที่นอนหลับอยู่บนเตียงเริ่มรู้สึกตัวขยับตอบสนอง ความผ่อนคลายและสบายใจจนไม่อยากจะลุกลืมตาตื่นขึ้นมา กระทั่งสติดึงให้กลับเข้ามาสู่ความจริงจึงลืมตาโพล่งขึ้นด้วยความตื่นตระหนก แม้จะรู้สึกเวียนหัวอยู่บ้างแต่ก็พยุงร่างกายให้ลุกขึ้นนั่ง มองภายในห้องและที่เตียงใหญ่ซึ่งเธอนั่งอยู่

“ถ้าวันนี้คุณไม่ตื่นผมคงต้องส่งคุณที่โรงพยาบาลแล้วละ”

เสียงของชายหนุ่มที่นั่งอยู่บริเวณโซฟาริมระเบียงเอ่ยขึ้นทำให้มิราวดีรีบหันไปมองด้วยความตกใจ

“คุณเข้าห้องฉันมาได้ยังไงคะ”

รชตปิดหนังสือแล้วเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวด้วยสายตาเรียบนิ่ง

“ห้องคุณ”

“ก็...ใช่ ไม่ใช่หรือคะ” เธอตอบเสียงแผ่วอย่างไม่มั่นใจมากนักแม้ภายในจะไม่ต่างกันแต่ก็มีความรู้สึกว่าอาจไม่ใช่ห้องที่เธอจองไว้ และในใจก็มีคำถามเกิดขึ้นว่าทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ จำได้ว่าตอนนั้นถูกจับตัวไปแล้ว หรือว่า... “คุณช่วยฉันไว้ใช่ไหมคะ”

“คุณควรพูดขอบคุณผมก่อนนะ”

เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งพลางขยับตัวลุกขึ้นเดินเข้ามาหาหญิงสาวที่นั่งอยู่บนเตียง “คำขอบคุณล่ะ”

มิราวดีมองชายหนุ่มที่ทวงคำขอบคุณ

“เอ่อ...ขอบคุณค่ะ”

รชตยิ้มที่มุมปากพลางถอนหายใจและพูดขึ้นต่อไปว่า

“คุณกำลังโดนพวกค้ามนุษย์ตามล่าเหรอ หรือว่าคุณเป็น...”

หญิงสาวเข้าใจถึงความหมายที่เขาต้องการจะสื่อออกมาจึงรีบยกมือปิดปากอีกฝ่ายอย่างลืมตัว

“ไม่ใช่ค่ะ !”

ชายหนุ่มสะดุ้งพลางเหล่สายตามองมือที่ปิดปากอยู่เป็นเชิงบอกให้เอามือออก

“ขอโทษค่ะ” มิราวดีเผลอตัวจึงรีบดึงมือกลับและขยับตัวออกห่าง

“ที่นี่ห้องของคุณเหรอคะ”

“ใช่ และไม่ใช่” รชตตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง เพราะโรงแรมนี้เขาเป็นหุ้นส่วนอยู่ แต่ก็ไม่คิดว่าคนพวกนั้นจะใช้เส้นสายของหุ้นส่วนคนอื่นเข้ามา และเขาเองก็ไม่อยากจะเข้าไปยุ่งยากเรื่องพวกนี้ด้วย

“คุณไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องนี้หรอก”

หญิงสาวพยักหน้าก่อนก้มหลบสายตาของเขา แม้ในใจจะมีคำถามอยู่แต่ก็ไม่กล้าที่จะถามออกไปว่า บังเอิญมาช่วยเธออีกแล้วใช่หรือไม่ แล้วจัดการกับพวกนั้นอย่างไรกัน หรือว่าเขาก็เป็นพวกค้ามนุษย์ที่มีอิทธิพลเช่นกัน

“คุณกำลังคิดว่าผมก็รู้จักพวกนั้น เลยยอมปล่อยตัว” รชตพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งพลางหัวเราะในลำคอ

มิราวดีนิ่งเงียบ ราวกับว่าชายหนุ่มอ่านใจของเธอได้

“ฉันแค่ไม่ไว้ใจค่ะ แต่ก็ขอบคุณมากนะคะ ที่ช่วยฉันอีกครั้ง”

“ยังไงคุณก็ต้องโดนตามล่าเรื่อย ๆ จนกว่าพวกมันจะได้ตัว”

ใช่ตราบใดที่ยังไม่ได้ตัวเธอพวกมันไม่มีทางเลิกลาแน่นอน...

มิราวดีรู้สึกหวั่นหาทางออกไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรดี

“ถ้าคุณอยากหาทางหนีคนพวกนั้นผมมีวิธี”

ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นขณะขยับตัวเตรียมลุกจากเตียง

“วิธีอะไรคะ หรือว่าคุณจะทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย”

รชตยิ้มหัวเราะลุกขึ้นจากเตียงหันมามองหญิงสาวแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “แต่งงานกับผมสิ แล้วผมจะปกป้องคุณเอง”

มิราวดีที่กำลังอึ้ง สมองต้องใช้เวลาในการประมวลผลกว่าที่จะรู้ถึงความหมายก็เกือบพูดโต้ออกไปไม่ถูก

“คะ...คุณ...พะ...พูดว่าอะไรนะคะ !”

ชายหนุ่มไม่ตอบ เดินตรงออกไปที่ประตูห้องแล้วหันมามองหญิงสาว

“จริงสิ คุณอยากกินอะไรหน่อยไหม”

“เออ...ฉะ...”

โครก~

ยังไม่ทันได้พูดปฏิเสธร่างกายก็ส่งเสียงร้องออกมาจนแทบอยากจะหนีไปให้ไกล มิราวดีก้มหน้าหลบแล้วพูดเสียงแผ่ว “กินค่ะ”

เขายิ้มที่มุมปากเดินออกไปกดสั่งอาหารจากโรงแรมทันที รอเพียงไม่ถึงสิบห้านาทีอาหารก็ถูกนำเข้ามาเสิร์ฟ มิราวดีเดินออกจากห้องนอนมาเห็นโต๊ะอาหารที่ถูกจัดไว้อย่างเรียบร้อย

“เอ่อคือ...ค่าอาหารเท่าไหร่คะ เดี๋ยวฉันจะนำมาจ่ายคุณ” หญิงสาวเอ่ยถามขึ้นอย่างเกรงใจ ความช่วยเหลือของเขามากเกินกว่าความบังเอิญแล้วหรือไม่ มากจนเธอเริ่มรับน้ำใจของเขาไว้ไม่ได้

“ไม่ต้องหรอก” รชตนั่งลงที่เก้าอี้

เธอนั่งลงแล้วพูดว่า “ฉันเกรงใจค่ะ คุณช่วยฉันไว้หลายครั้งแล้ว”

“เงินน่ะ ผมมีเยอะแล้ว” เขาตอบ

หญิงสาวได้แต่นิ่งไม่พูด แต่ก็เป็นความจริงที่เขาดูรวยมาก ๆ เงินจำนวนน้อยแค่นี้ไม่แปลกที่ไม่สนใจ

“แล้วคุณต้องการให้ฉันตอบแทนอะไรคะ”

“แต่งงานกับผมสิ” รชตเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งพลางหยิบช้อนส้อมตักอาหารเข้าปาก “ผมยังไม่มีภรรยา”

ไม่ดีแน่ ๆมิราวดีคิดในใจ หากว่าต้องแต่งงานกับผู้ชายคนนี้เพียงเพราะช่วยชีวิตไว้สองครั้ง ในโลกนี้ยังมีวิธีอื่นที่ทดแทนบุญคุณของผู้มีพระคุณได้อยู่อีก การแต่งงานไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด !

“ไม่มีอย่างอื่นที่ฉันพอจะตอบแทนคุณได้เหรอคะ” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาพลางมองอาหารตรงหน้าที่กินไม่ลง

“ฉันคิดว่า...แต่งงานนี่เกินไปค่ะ”

“งั้นเหรอ” เขาทำหน้าตายราวกับว่าแล้วไงล่ะ ผมสนที่ไหน

มิราวดียิ้มเจื่อน ๆ ก้มหน้ากินข้าวโดยไม่พูดอะไรอีก

รชตมองก่อนจะเอ่ยขึ้น “ผมไม่รีบ”

อ่า...เขาไม่ได้ฟังเธอเลยสินะ ว่าไม่ต้องการ

“เอ่อ...ขอบคุณนะคะ ที่ช่วยฉันไว้” มิราวดีพูดขึ้นพลางวางช้อนส้อมลง “ถ้าในอนาคตฉันช่วยคุณได้ เรื่องอื่น ๆ ฉันยินดีช่วยค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ”

ชายหนุ่มไม่เดินไปส่ง ไม่ปริปากพูด มองหญิงสาวเดินออกจากห้องไป เขาเพียงแค่ไหวไหล่แล้วนั่งกินอาหารที่เหลืออยู่ต่อ ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนอะไรมากมาย เขาเชื่อว่าอีกไม่นานเธอต้องยอมตกลงแต่งงานกับเขาอย่างแน่นอน และถึงตอนนั้นชีวิตอมตะที่น่าเบื่อนี้จะได้หยุดลงเสียที

ตอนนี้ยาวหน่อยนะคะ พอดีลงอัปใหม่เลยไม่อยากลบตอนเก่า ๆ ทางผู้เขียนเลยรวบ 3 ตอนย่อยเป็น 1 ตอนค่ะ ตอนหน้าจะกลับมากระชับไม่ยาวเเล้วนะคะ

ฝากติดตามผู้เขียนด้วยนะคะ

ติดตามนักเขียนได้นะคะ

ขอบพระคุณทุกกำลังใจค่ะ

Mamaya Writer