บทที่ 20
หญิงสาวเดินออกมารอรถเมล์ที่ป้ายตามเดิม รู้สึกคาดเดาไม่ออกเวลาอยู่กับเขาทั้งที่ปกติแล้วเป็นคนเข้ากับคนอื่นได้ง่ายแท้ ๆ
ปี๊น—ปี๊น เสียงแตรดังขึ้นทำให้ลฎาภาหันไปมองรถที่จอดแนบข้างทางกับกระจกค่อย ๆ เลื่อนลง
“ขึ้นรถมาสิ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
เธอกะพริบตามองงุนงง แต่ก็ต้องสะดุ้งขึ้นเพราะเสียงแตรไล่จากคันหลังทำให้รู้สึกลนลาน อับอายจึงเปิดประตูแล้วขึ้นนั่งทันทีกว่าจะรู้ก็นั่งอยู่ข้างคนขับแล้ว
นี่แกบ้าไปแล้วแน่ ๆ แทนที่จะเดินหนีแต่กลับเปิดประตูขึ้นรถมาซะงั้น ลฎาภาคาดโทษตัวเองในใจ
อวิ่นเยว่เหลือบมองหญิงสาวที่นั่งก้มหน้าอยู่ แล้วเผลอยิ้มออกมาที่มุมปากขณะขับรถออกไปตามถนนใหญ่
ลฎาภานั่งตั้งสติได้สักพัก เงยหน้าขึ้นพอดีเห็นว่าเขาอาจจะขับผ่าน สีแยกด้านหน้า ซึ่งมีป้ายรถเมล์ที่จะนั่งต่อกลับไปยังอะพาร์ตเมนต์พอดี
“เออ..คือว่าจอดรถทางสีแยกหน้านี้ที่คุณจะขับผ่านได้ไหมคะ ?”
เธอหันมองเขาที่ยังเงียบพอดีกับที่รถหยุดจอดเพราะติดไฟแดง แต่ก็สะดุ้งนิด ๆ เมื่อรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองผ่านทางด้านหลัง ลฎาภาหันไปเห็นเด็กชายจ้องมองเขม็งด้วยความขุ่นเคือง แล้วรีบหันกลับมาทันที
“คุณเผิงคะ” เธอเรียกเขาอีกครั้ง
อวิ่นเยว่หรี่ตามองด้วยแววตานิ่งเฉย แล้วหันกลับไปครั้นหญิงสาวจะปริปากพูดอีกครั้งก็โดนเขาขัดขึ้นมาเสียก่อน
“ผมขับผ่าน...” อวิ่นเยว่พูดขึ้นในขณะที่สัญญาณไฟเปลี่ยนสี เขาออกรถแล้วพูดต่อไปว่า “แต่ไม่ได้จอด”
ลฎาภากะพริบตามองอย่างอึ้งกับคำตอบที่ได้รับ กว่าที่จะรู้ตัวรถก็ขับผ่านเลยป้ายมาแล้ว
เขาจงใจ...!
อวิ่นเยว่ยังคงนิ่งเงียบไม่พูดแต่ก็แอบเหลือบมองหญิงสาวที่นั่งอยู่เป็นระยะ ไม่รู้เหตุผลเหมือนกันว่าทำไมถึงให้เธอติดรถขึ้นมาด้วย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเปิดใจให้ให้ล้ำเส้นเข้ามา
ลฎาภานั่งเกร็งอยู่ในรถโดยที่ไม่กล้าปริปากพูดอีกเลย เพราะดูท่าแล้วเขาจะไม่สนใจที่เธอพูดสักนิด จนกระทั่งรถเลี้ยงเข้ามาจอดที่ลานจอดของห้างสรรพสินค้า หญิงสาวจึงได้แต่จำใจเปิดประตูลงจากรถและรีบพูดขึ้นทันที
“เออ..คือว่า...” เธออ้ำอึ้งพูดไม่ออก ทว่าเมื่อมือน้อยดึงที่ชายเสื้อจึงหันมองเมื่อเห็นสายตาของเด็กชายที่ส่งอ้อนมองมา
“ไปด้วยกันนะ คุณป้า”
ลฎาภากะพริบตามองเมื่อเห็นท่าทีของเด็กชายเปลี่ยนไปทั้งที่ก่อนหน้านั้นยังมองเธอด้วยความไม่พอใจอยู่เลย แต่จะปฏิเสธอาหยูได้อย่างไรกัน...
หญิงสาวพยักหน้าตอบรับขณะที่เด็กชายเดินไปหาอวิ่นเยว่ด้วยใบหน้าที่ร่าเริง เขาเดินนำไปได้ระยะหนึ่งเธอจึงเดินตามไปอย่างห่าง ๆ ทั้งที่คิดว่าพยายามหลีกตัวออกแล้ว แต่ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้กันเหล่า !
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารในตอนนี้ชวนอึดอัดเสียจริง ลฎาภานั่งเกร็งตลอดเวลาที่รับประทานอาหารมื้อเย็นกับอวิ่นเยว่ ทั้งที่ปฏิเสธแล้วแต่เป็นเพราะเจ้าตัวกลมส่งสายตาน่ารักอ้อน สุดท้ายก็ใจอ่อนตามมาด้วยจนได้
อวิ่นเยว่ลุกขึ้นจากโต๊ะไปเงียบ ๆ โดยที่ไม่พูดอะไร ในขณะที่เด็กชายมองแล้วก้มหน้ารับประทานอาหารต่อ
“ไม่อยากให้มาด้วยหรอก” เสียงของอาหยูพูดพึมพำในปากขณะที่เคี้ยวอาหารเต็มปาก
ลฎาภามองด้วยความไม่เข้าใจทั้งที่เด็กคนนี้เป็นฝ่ายลากเธอมาด้วย
“เพราะป๊ะป๋ามีความสุข…”
ลฎาภากะพริบตามมองด้วยสีหน้าที่ลำบากใจปนสับสน เธอไม่เข้าใจสักเท่าไหร่กับคำพูดโดยนัยของเด็กชาย พอเห็นว่าอาหยูเงยหน้าขึ้นหันมองด้วยแววตาที่ขุ่นเคือง
ลฎาภายิ้มเจื่อน ๆ ทั้งที่อยากจะพูดออกไปว่า
‘อยากจะเข้าใกล้ที่ไหนกันละ !’
ว่าแล้วอาหยูก็ก้มกินอาหารในจานต่อ เคี้ยวแก้มทั้งสองข้างป่องเพราะการตักที่คำใหญ่เกินไป แต่ก็ยังเหล่มองเธอทุกครั้งที่ตักอาหารเข้าปาก
นี่มันบ้าอะไรกันล่ะเนี่ย !โปรดติดตามตอนต่อไป....จะบอกว่าขอบคุณมากกกก ไม่คิดว่าคุณเผิงจะมีคนเข้ามาดูเยอะขนาดนี้ หากชอบฝากกดหัวใจ กดเเชร์บทความนี้ได้นะคะ เพื่อเป็นการส่งกำลังใจให้นักเขียนค่าสำหรับเรื่องนี้มีฉบับอีบุ๊กเเล้ว หากใครต้องการอ่านล่วงหน้าจนจบเเนะนำให้เปย์เพื่อสะสมในวันที่ 15 สิงหาคม เดือนหน้านี้นะคะ ดูรายละเอียดหรือสอบถามช่องทางนักเขียนมาได้น้าา จะส่งช่องทางราคา 2X บาท ให้เด้ออออออ หรือติดตามเพจนักเขียนเอาไว้ได้นะคะ