บทที่ 17
“เอ่อ ฉันขอจับไก่ตัวนี้หน่อยได้มั้ยคะ” หญิงสาวมองด้วยเเววตาเป็นประกาย เพราะอยากรู้มาตลอด ตั้งเเต่ครั้งเเรกที่เจอเเต่ไม่มีโอกาสได้จับสักที
“ดูเหมือนอาหารจะไม่พอ เธอจับไก่ตัวนี้ไปเชือดย่างเป็นมื้อเย็นได้เลย” รชตพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งพลางเเสยะยิ้มให้อาโป
“กินได้เเน่นอน”
มิราวดีมองหน้ารชตพลางยิ้มเจื่อน ๆ ให้
“คุณกำลังพูดเรื่องตลกอยู่ใช่ไหมคะ จะให้ฉันใช้ไก่ปลอมตัวนี้ทำอาหารเหรอคะ”
รชตหลุดขำออกมาพลางเหลือบมองไก่ตัวสีขาวที่มีสีหน้าไม่สบอารมณ์
“ปลอม”
“ค่ะ ก็เป็นหุ่นยนต์ไม่ใช่เหรอคะ ฉันคิดว่าคุณคงเหงามากก็เลยอยากมีเพื่อนที่คุยได้ ไม่ใช่เหรอคะ” มิราวดีพูดเสียงเเผ่วลงเรื่อย ๆ ดวงตากลมกะพริบมองใบหน้าคมเข้มที่เงียบลงชั่วขณะ จึงรู้ว่าได้เผลอพูดอะไรไม่เข้าหูอีกฝ่ายไปเสียแล้ว
“เอ่อ สรุปเเล้วไก่คุณกินมื้อเย็นด้วยไหมคะ”
“กินสิ ฉันไม่ใช่หุ่นยนต์หรอกนะ”
อาโปรีบพูดขึ้นทันทีทั้งยังขยับตัวโชว์ความสง่าในร่างไก่
รชตกระเเอมพลางถอดชุดสูทวางไว้ที่โซฟาก่อนเดินเข้ามาล้างมือเเล้วเอ่ยขึ้น
“มีอะไรให้ผมช่วยไหม”
“งั้นคุณช่วยจัดโต๊ะได้ไหมคะ” หญิงสาวพูดขึ้นขณะยกอาหารที่ตักเสร็จออกมาวางที่โต๊ะ
อาโปที่ได้กลิ่นหอมก็รีบกระพือปีกบินขึ้นมาอยู่บนโต๊ะอาหาร เตรียมตัวกินมื้อเย็นอย่างรวดเร็ว
มิราวดีมองโต๊ะอาหารที่ถูกจัดเตรียมไว้เสร็จแล้ว ในใจก็เกิดรู้สึกประหม่าขึ้นมา นั่นเพราะเรื่องเมื่อตอนบ่าย หากว่าไม่ต้องใกล้ชิดกันตอนนี้คงนั่งกินข้าวเเบบไม่รู้สึกอะไร แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ไม่อยากหลงเชื่อคำพูดหวานแบบนั้นอีก
“เอ่อ คุณรชตคะ ฉันมีเรื่องที่อยากจะขอหน่อยค่ะ” หญิงสาวพูดเปิดเรื่องพลางนั่งลงประจำที่ เธอเหลือบมองไก่สีขาวที่ก้มหน้าจิกอาหารอย่างไม่สนใจ จึงหันมามองชายหนุ่มเเล้วพูดต่อไป
“ถ้าฉันจำเป็นต้องแต่งงานกับคุณจริง ๆ เราเเค่จดทะเบียนสมรส หรือจัดงานเล็ก ๆ ได้ไหมคะ”
“ทำไม คุณไม่มีความสุขกับการเเต่งงานกับผมเหรอ” รชตมอง
ถึงจะถามออกไป ทว่าความจริงแล้วเขาเองก็ยังไม่คิดเรื่องเตรียมงานแต่งเลยเหมือนกัน
“เปล่าค่ะ” มิราวดีตอบตามความจริง ไม่ใช่ไม่มีความสุข เเต่ไม่รู้สึกอะไรเลย จะให้ดีใจเหมือนผู้หญิงที่มีความรักต่อผู้ชายคนหนึ่งยิ่งไม่ใกล้เคียง
“ฉันไม่อยากตอบคำถามเพื่อนร่วมงานค่ะ ถ้าเกิดคุณไม่ใช่…เจ้านาย ฉันคงไม่พูดเรื่องนี้ออกมา อีกอย่างฉันยังอยากทำงานอย่างสงบสุขค่ะ”
“เเล้วทุกวันไม่สงบสุขเหรอ”
“สงบสุขค่ะ แต่ถ้าฉันมีข่าวแต่งงานกับคุณ คุณคิดว่าเเฟนคลับในบริษัทที่ปลื้มคุณจะมองฉันเป็นอะไรคะ ฉันไม่อยากถูกมองเป็นศัตรูค่ะ คุณก็รู้ว่าแผนกขายต้องประสานงานหลายฝ่าย” มิราวดีพล่ามยาว ก็เเน่ละตั้งเเต่ที่เขาเข้ามาทำงานดูเเลเเทนหัวหน้าคนเก่า แถมยังเป็นผู้ถือหุ้นด้วย มีสาว ๆ ในบริษัทไม่น้อยยกเจ้านายหนุ่มคนหล่อ มาดขรึม มาเป็นหัวข้อสนทนาในช่วงพัก เเละเธอก็ไม่อยากตอบคำถามที่ไม่มีความจำเป็นพวกนั้นด้วย
ชายหนุ่มมองอย่างเข้าใจ ดูภายนอกเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ใส่ใจคนรอบตัว เเต่คิดไม่ถึงว่าจะสนใจคำนินทาของคนอื่นด้วยเหมือนกัน
“ถ้างั้นก็แล้วเเต่คุณ ผมตามใจคุณทุกอย่าง”
“ขอบคุณค่ะ” มิราวดียิ้มหวานให้ พอพูดจบก็นึกขึ้นได้ว่ามีอีกเรื่องที่ต้องคุยกับอีกฝ่าย “เอ่อ...เรื่องสินสอด ฉันขอไม่รับไว้นะคะ”
“ทำไม หรือว่า”
“ไม่ใช่แบบที่คุณคิดหรอกค่ะ” เธอยิ้ม “การแต่งงานนี้ฉันไม่ควรได้รับสินสอดค่ะ แค่นี้ก็รบกวนคุณเยอะแล้ว”
เขาถอนหายใจ “ผมจะมอบให้ไว้เป็นชื่อของคุณ หากคุณอยากนำไปใช้เมื่อไหร่ก็นำไปใช้ได้เลย”
“แต่ว่า”
“ผมตัดสินใจแล้ว”
รชตตักอาหารเข้าปากโดยไม่สนใจสีหน้าลำบากใจของเธออีก ทว่ารสชาติอาหารถูกปากมากกว่าที่คิด จึงเผลอกินจนหมดจานอย่างรวดเร็ว
หลังจากรับประทานอาหารมื้อเย็นเสร็จ ชายหนุ่มเป็นฝ่ายอาสาเก็บโต๊ะให้ ทำให้มิราวดีรู้สึกเเปลกใจที่เขาดูทะมัดทะเเมงจนน่าตกใจ
“ถ้าไม่มีอะไรเเล้ว ฉันขอเข้าห้องก่อนนะคะ”
รชตเอี้ยวตัวมองพลางพยักหน้าก่อนพูดขึ้น
“ผมชอบอาหารที่คุณทำวันนี้ ทำให้ผมมีความสุข”
มิราวดีได้ยินก็ยิ้มเขิน เเละรีบเดินกลับเข้ามาในห้อง พลางถอนหายใจออกมาขณะเดินมานั่งที่เตียง ต้องยอมรับว่าเผลอหลงคารมเขาโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าหลังเเต่งงานเเล้วจะเป็นอย่างไร จะใจแข็งไม่เผลอใจให้ได้นานเเค่ไหนกัน
“บ้าบอที่สุด ไหนว่าจะไม่รักใครเเล้วไง แค่ผู้ชายปากหวาน หน้าตาดีพูดหน่อยเเกเป็นขนาดนี้เลยเหรอ ไม่ ๆ ไม่ ตั้งสติกลับมา”
หญิงสาวพึมพำกับตัวเองนึกถึงก็พลอยเขินหน้าแดง ก็เเน่ละ เเม้เเต่เเฟนเก่าที่คบมาหลายปี กินอาหารที่ทำให้หลายครั้งยังไม่เคยพูดเเบบเขาเลย
จบบทที่ 5 ในฉบับเล่มนิยายเเละอีบุ๊ก
โปรดติดตามตอนต่อไป...
Note
อัปเดตเเจ้งข่าวสักนิด เผื่อสาว ๆ ท่านใดอยากจะเปย์คุณเทียดไว้บนชั้นหนังสือที่บ้านนะคะ เรื่องนี้มีเปิดให้สะสมเล่มกระดาษ ( โดยหาได้จากนักเขียนเท่านั้น ) หากท่านใดสนใจสามารถติดต่อสอบถามผ่านช่องทางติดต่อของนักเขียนได้เลยนะคะ
หากชอบกดหัวใจ กดไลก์ กดแชร์ให้กำลังใจกันได้นะคะ