บทที่ 24

อวิ่นเยว่เดินมาด้วยสีหน้าที่อารมณ์ดีแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้แต่เจตนิพัทธ์เองก็สัมผัสได้ว่าเจ้านายดูอารมณ์ดีขึ้นมากกว่าเมื่อวานเสียอีก

“คุณเผิงครับ คุณหวังมารอพบคุณเมื่อครู่นี้ครับ” เจตนิพัทธ์เอ่ยขึ้นขณะที่เดินตามเจ้านายหนุ่มเข้าไปในห้องทำงาน

อวิ่นเยว่เลิกคิ้วอย่างสงสัยขณะที่เดินเข้ามา พลางส่งสายตามองจิ่นอวี่ที่นั่งอยู่บนโซฟารับรอง หากไม่ใช่เพราะรู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลายแล้วล่ะก็เขาคงไม่ยอมให้เข้ามานั่งรอในห้องทำงานแน่น ๆ

“ไงเพื่อน” จิ่นอวี่ลุกขึ้นโบกมือทักทายพลางส่งยิ้มให้ “ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ นาน ๆ ฉันจะมาหา”

อวิ่นเยว่มองพลางถอนหายใจออกมาก่อนจะหันไปพูดกับเลขาหนุ่มว่า “เอกสารที่เซ็นแล้วอยูบนโต๊ะ นายเอาไปได้เลย”

เจตนิพัทธ์พยักหน้ารับก่อนเดินไปหยิบแฟ้มบนโต๊ะและออกจากห้องไปทันที ทางด้านอวิ่นเยว่หยิบแท็บเล็ตบนโต๊ะทำงานแล้วเดินเข้ามานั่งยังโซฟาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอีกฝ่าย

จิ่นอวี่เหลือบมองคนตรงหน้าพลางโน้มตัวเอื้อมมือหยิบแก้วกาแฟขึ้นดื่ม “โทษที วันนี้นายยุ่งสินะ”

“ยุ่งทุกวันอยู่แล้ว” ชายหนุ่มตอบขณะที่อ่านข้อมูลเอกสารผ่าน แท็บเล็ตก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองจิ่นอวี่ “นายมีอะไรถึงมาหาฉัน”

“ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร”

อวิ่นเยว่หรี่ตามอง “ก็ดี ฉันจะได้ทำงานต่อ ช่วงสายมีประชุม”

“ให้ตายสิ นายนี่เย็นชาชะมัด” จิ่นอวี่พูดเสียงติดตลกขณะเอื้อมมือล้วงในเสื้อสูทหยิบซองจดหมายแล้วส่งยื่นให้กับอวิ่นเยว่ “การ์ดเชิญร่วมงานเลี้ยงรุ่นที่มหาวิทยาลัย X น่ะ มีคนฝากฉันมาให้นาย”

ชายหนุ่มส่งสายตามองซองสีครีมตรงหน้าก่อนเอื้อมมือหยิบขึ้นมาเปิดดูและวางลงตรงโต๊ะเช่นเดิม

“ฉันไม่รับปากว่าจะได้หรือเปล่า” อวิ่นเยว่พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ไม่สนใจมากนัก

“นั่นสินะ” จิ่นอวี่รู้ดีว่าถ้าไม่สำคัญอวิ่นเยว่คงใช้เวลาทำงานดีกว่า “เอาเป็นว่า ถ้านายว่างก็มาแล้วกัน”

อวิ่นเยว่ไม่ได้ตอบรับ ส่งสายตามองการ์ดด้วยสายตาที่เรียบนิ่ง

“เดือนหน้าฉันไม่ค่อยว่าง”

จิ่นอวี่รู้ดีกว่าต่อให้พูดโน้มน้าวมากแค่ไหนอวิ่นเยว่คงไม่ยอมมางานนี้อย่างแน่นอน

“แล้วเย็นนี้นายว่างไหม ? ฉันอยากจะชวนนายไปกินมื้อเย็น”

คนฟังได้แต่ทำหน้านิ่งก่อนหยักหน้าตอบตกลง “ว่าง”

“งั้นก็ตกลงตามนี้ เจอกันที่ร้านเดิมนะ นาน ๆ ทีจะมาฉันชอบอาหารร้านนี้” จิ่นอวี่พูดขณะลุกขึ้น

“แล้วเจอกัน” อวิ่นเยว่ตอบขณะที่ขยับตัวลุกขึ้นหยิบแท็บเล็ตเดินไปยังโต๊ะทำงาน

ลฎาภาเพิ่งมีเวลาอ่านข้อความในกลุ่มย้อยหลังที่คุยกันเกือบพันข้อความ จึงรู้ได้ว่าเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยได้นัดกันจัดงานเลี้ยงรุ่นขึ้นมาเพื่อพบปะสังสรรค์ซึ่งก็เป็นวันนี้ช่วงเย็น ความจริงแล้วไม่ได้สนใจและไม่คิดว่าจำเป็นที่จะต้องไป ทว่าในกลุ่มอีกกลุ่มเพื่อนสี่คนคุยกันว่า ‘เขา’ มาด้วย ซึ่งทำให้หญิงสาวอ่านและลังเลใจที่จะพิมพ์ไปว่า...ไปอยู่แล้วละ

“ป้าผ่องคะ หนูต้องโทร. ไปลาคุณเผิงไหมคะ ?” เธอเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

“ไม่ต้องหรอกจ้ะ แค่ทำงานเสร็จตามที่คุณเผิงสั่งก็พอแล้ว”

สุดท้ายก็ขอลางานกลับมาในช่วงบ่ายสามเพื่อเลือกเสื้อผ้าที่จะต้องใส่ไปงาน  ดีนะที่ยังมีที่ว่างสำหรับให้เธอนั่งเพราะเพื่อนได้จองให้ยกกลุ่มไปในตัว ไม่น่าเชื่อว่าเธอไม่ลังเลสักนิดเพียงแค่อยากพบเขาอีกครั้ง

เกือบหกโมงแล้วกว่าจะใช้เวลาแต่งตัวและเดินทางมาที่ร้านอาหารอีก ลฎาภากำลังยืนอยู่หน้าร้านอาหารที่คิดว่าใช่หรือไม่ตามพิกัดที่เพื่อนส่งมาให้

หญิงสาวสะดุ้งขึ้นเมื่อมีโทรศัพท์เข้ามา จึงรีบกดรับในทันที

[ยัยจอมแกหลงหรือไง]

“คิดว่าไม่มั้งนะ ร้านที่มีป้ายใหญ่ ๆ สีน้ำตาลใช่ไหม”

[เออใช่มั้ง จำหน้าร้านไม่ได้เหมือนกัน ถ่ายรูปส่งมาให้ฉันดูหน่อย]

“ได้ ๆ” ลฎาภาวางสายและถ่ายภาพหน้าร้านส่งไปให้ทันที จึงได้รับคำตอบมาว่า

ใช่แล้ว ๆ ร้านนี้แหละรีบมา ๆ เดินมาข้างในเลี้ยวขวามา

หญิงสาวเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋าก่อนเดินผลักประตูร้านเข้าไป สองเท้าตรงไปยังจุดหมายที่เพื่อนสาวนั้นพิมพ์มาบอกจนกระทั่งหยุดเกือบถึงแล้ว เสียงที่ดังมาจากมุมด้านในนั้นทำให้รู้ว่ามีเพื่อนมาเยอะเหมือนกัน ลฎาภาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะก้าวเดินเข้าไป

“นั่นไง จอมมาพอดีเลย !” เสียงหนึ่งดังขึ้นขณะที่คนส่วนหนึ่งก็หันไปมอง หญิงสาวเดินแล้วยิ้มเจื่อน ๆ ตรงไปหาเพื่อนสาวที่ยกมือขึ้นโบกอยู่

“นั่งตรงนี้เลยแก” มุกดาหนึ่งในเพื่อนที่สนิทมากที่สุดสมัยเรียน มหา’ลัยเอ่ยขึ้น

ลฎาภานั่งลงขณะที่พูดกล่าวทักทาย เธอเหมือนดูหายไปเพราะไม่ค่อยอัปเดตความเคลื่อนไหวชีวิตลงในทางโซเชียลเท่าไหร่ หลังเรียนจบแม้จะมีเข้าไปอ่านหรือตอบบ้างเป็นครั้งคราว แต่พอนาน ๆ วันไม่วางรวมทั้งย้ายที่ทำงาน มีงานและหน้าที่หนักขึ้นจึงอ่านน้อยลง

“นึกว่าแกหายไปไหน แช็ตไปก็ไม่ค่อยจะตอบ”

หญิงสาวยิ้มก่อนตอบ “ก็ทำงานน่ะ”

“โอ๊ย แกจะทำงานแต่ก็ต้องออกมาสังสรรค์กับเพื่อนบ้าง ดูฉันนี่ชวนไปผับตั้งหลายรอบมีแต่แกคนเดียวที่ไม่ตอบอะไรเลย” เชียร์เอ่ยขึ้น

“อันนั้นยังไงถึงฉันไม่ตอบก็ไม่ไป” ลฎาภาพูดขณะที่ยกน้ำขึ้นดื่ม เธอหันมองไปยังกลุ่มเพื่อนร่วมสามสิบคน ซึ่งในห้องนี้มีทั้งโต๊ะนั่งและอาหารบุฟเฟต์แบบยืนกิน เรียกว่าเป็นร้านที่หรูและส่วนตัวสุด ๆ

“เออ..จ่ายเงินฉันมาด้วยนะย่ะ ออกให้ไปก่อนแล้ว” เชียร์พูดขึ้นขณะที่เอื้อมมือหยิบขวดเบียร์เทลงในแก้ว

“ไว้โอนให้ละกันนะ”

โปรดติดตามตอนต่อไป...