บทที่ 20

เวลาผ่านไปหลายวันที่ได้เข้ามาใช้ชีวิตอยู่ที่คฤหาสน์หลังนี้ แม้จะดูใหญ่โตและสวยงามแต่ก็เงียบเหงา ทีแรกตกใจเพราะไม่มีเสียงสนทนาของคนใช้เลยสักคน แต่มารู้ตอนหลังว่าเขาจ้างพ่อบ้านคนเดียวที่มีหน้าที่ดูแลที่นี่ ส่วนเรื่องความสะอาดและตกแต่งสวนนั้นจะจ้างบริษัทเข้ามาทำตามเวลาที่จัดเตรียมเอาไว้

มงคลที่เป็นพ่อบ้านอายุราวเกือบหกสิบปีที่ยังดูแข็งแรง ทำหน้าที่ทุกอย่างภายในคฤหาสน์ รวมถึงเรื่องอื่น ๆ ที่ชายหนุ่มมอบหมายด้วย เหมือนกับเลขาส่วนตัวที่ไว้ใจที่สุดถ้าไม่นับ “อาโป” ไก่ตัวสีขาวที่ชายหนุ่มเลี้ยงไว้ และยังหาคำตอบคลายสงสัยไม่ได้

มิราวดีถอนหายใจออกมาขณะนั่งอยู่ที่ศาลาในสวน วันนี้เป็นวันหยุดเทศกาลตามปฏิทิน เธอจึงใช้เวลานั่งอ่านหนังสือ ฟังเพลง เเละพักผ่อน กระทั่งถึงช่วงรับประทานอาหารกลางวัน พ่อบ้านมาเรียกจึงเดินเข้ามาที่ห้องอาหาร โดยที่ชายหนุ่มมานั่งก่อนแล้ว

“เอ่อ สรุปเเล้วห้องส่วนตัวฉัน…” มิราวดีเอ่ยถามเพราะคืนนั้นเขาบอกว่าจะแยกห้องแต่นี่ผ่านมาหลายวันเเล้ว ของทุกอย่างกลับถูกขนไปรวมในห้องนอนเขา

รชตหันมองด้วยสายตาเรียบนิ่ง ไม่ใช่ว่าลืมจัดห้องให้แต่คิดว่านอนด้วยกันก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไร หรือว่าเธอรังเกียจเขา

“คุณไม่อยากนอนใกล้ผมเหรอ”น้ำเสียงที่พูดออกมาดูผิดหวังต่างจากสีหน้านิ่ง ๆ ยิ่งทำให้มิราวดีไปต่อไม่ถูก

“ก็คุณบอกว่าอยากจะให้ฉันเเยกห้อง ฉันก็เลย...คิดว่าคุณต้องการความเป็นส่วนตัว” หญิงสาวพูดเสียงแผ่วลงพลางทำท่าไม่สนใจ เอื้อมช้อนตักอาหารลงจานเเละเริ่มกิน

ตอนเเรกแค่คิดว่าต่างคนต่างอยู่ก็ดีเเต่พออยู่กับอีกฝ่ายแล้วกลับรู้สึกสนุกขึ้นมา โลกที่เคยเป็นสีเทามาหลายร้อยปี ตอนนี้เริ่มจะเห็นสีสันขึ้นมาบ้าง

“ไม่ ตอนเเรกผมคิดว่าคุณต้องการความเป็นส่วนตัว แต่ถ้าคุณไม่รังเกียจผม เรานอนด้วยกันเหมือนเดิมก็ดีอยู่แล้ว คุณว่าไหม”

หญิงสาวมองเขา ภรรยาจะรังเกียจสามีได้ยังไงกัน ก็เเน่ละเธอทำใจเรื่องนี้มาสักพักแล้ว อีกอย่างเเค่นอนข้างกันเฉย ๆ

“ค่ะ ฉันยังไงก็ได้ค่ะ”

“แล้วมีอะไรที่คุณอยากได้เพิ่มอีกไหม”

มิราวดีส่ายหน้าเป็นคำตอบพลางตักอาหารเข้าปาก จะมีอะไรที่ต้องการได้มากกว่าชีวิตที่ไม่ต้องหนีตายจากการตามล่าทุกวันได้ล่ะ เพียงแค่ความสงบสุขกลับมาเหมือนเดิมก็พอใจแล้ว

ชายหนุ่มเหลือบมองฟังความต้องการของหญิงสาวตรงหน้า ทั้งที่เธอเรียกร้องได้มากกว่านี้แท้ ๆ แต่กลับไม่ทำ

“จริงสิ คุณอยากไปฮันนีมูนที่ไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า”

พอได้ยินเขาพูด มิราวดีถึงกับอ้าปากค้างทันที ไม่เคยคิดคาดฝันถึงเรื่องนี้เลยเพราะการแต่งงานนี้ไม่มีความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้องจึงไม่จำเป็นต้องเรียกร้องเรื่องที่คู่รักอื่น ๆ ทำกัน

“คะ”

รชตมองสีหน้าของอีกฝ่ายพอจะเดาออก อันที่จริงไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มาก่อนแต่พอเห็นหญิงสาวไม่เรียกร้องอะไร ทั้งยังทำท่าทีห่างเหิน จึงคิดว่าควรจะมีเวลากระชับความสัมพันธ์เพิ่มขึ้น

รูปภาพ:

“ทำไมคุณต้องตกใจขนาดนั้น”

หญิงสาวปรับสีหน้าเป็นปกติมองชายหนุ่มแล้วยิ้มออกมาเจื่อน ๆ เพราะไม่ได้คาดหวังแต่แรกพอได้ยินก็ต้องรู้สึกตกใจเป็นธรรมดา

“เปล่าค่ะ ฉันแค่คิดว่าคุณอาจจะไม่สนใจเรื่องแบบนี้”

รชตวางช้อนส้อมลงลุกขึ้นจากโต๊ะเดินอ้อมเข้ามาหาหญิงสาวทางด้านหลังก่อนโน้มตัวลงมา มือข้างหนึ่งโอบกอดอีกฝ่ายเอาไว้พลางกระซิบบอก

“สนสิ ทุกเรื่องที่ทำให้คุณรักผม เพราะผมรอคุณมานานขนาดนั้น”

รอมานาน รอเธอตอบตกลงแต่งงานเหรอ

มิราวดีไม่เข้าใจความหมายในสิ่งที่ชายหนุ่มพูด พอจะหันไปถามเขาก็คลายอ้อมกอดและเดินจากไปซะแล้ว ลมหายใจอุ่นที่รดต้นคอและความอบอุ่นยังคงอยู่ไม่จางหาย เสียงหัวใจที่ไม่เคยเต้นดังขนาดนี้กลับเต้นจนไม่เป็นจังหวะ รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าด้วยความเขินอาย เธอมองไปทางประตูและปลายทางที่ไม่มีเงาของอีกฝ่าย

อีกฟากของกำแพงไม่ไกลจากห้องอาหาร รชตยืนพิงที่ผนังกำแพงด้วยความสับสน มือที่โอบกอดเอาไว้นั่นไม่ใช่การจงใจแสดงให้อีกฝ่ายรู้สึกดี แต่กลับเป็นเขาเองที่อยากทำแบบนั้น

ชายหนุ่มหัวเราะให้กับความพ่ายแพ้ของหัวใจตัวเอง ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนที่จะแก้คำสาปได้ ถ้านานกว่านี้คงไม่ดีแน่ ๆ ไม่ดีหากต้อง

หลงรักผู้หญิงคนนี้

เวลาในแต่ละวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชีวิตหลังแต่งงานก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม จนตอนนี้ก็ผ่านมาครึ่งเดือนแล้ว หญิงสาวแยกตัวไปทำงานกับชายหนุ่มเพราะต้องการปกปิดเรื่องนี้เอาไว้อย่างเงียบ ๆ และดูเหมือนว่าช่วงหลังรชตจะไม่ค่อยได้เข้าบริษัทมาบริหารงานเท่าไรแล้วด้วย ซึ่งลดความประหม่าในใจตอนทำงานลงได้มากทีเดียว มิราวดีตั้งใจทำงานคุยกับลูกค้า เข้าหน้าไซต์งาน และสัมมนากับลูกค้า

ตกเย็นของวันหลังจากที่เข้าไปคุยงานในโรงงานกับลูกค้าเสร็จเรียบร้อย ก่อนกลับมิราวดีขับรถแวะที่ห้างสรรพสินค้า ขณะที่เดินเลือกซื้อของใช้ส่วนตัวอยู่นั้นสายตาก็เหลือบเห็นคนเดินผ่าน ดวงตากลมจ้องมองสั่นระริกด้วยความรู้สึกเจ็บปวด

‘ณัฏฐ์’ อดีตคู่หมั้นกำลังควงผู้หญิงคนอื่นเดินเลือกซื้อของอย่างมีความสุข นิ้วเรียวจิกกำแน่น ไม่ใช่รู้สึกเศร้าที่ถูกนอกใจ แต่เพราะเจ็บใจที่โง่ไปรักคนเห็นแก่ตัวได้ เขาไม่รู้สึกสะทกสะท้านที่หลอกเธอไปขายใช้หนี้เลยอย่างนั้นเหรอ !

“ไอ้คนสารเลว” มิราวดีกัดฟันด่าอีกฝ่ายก่อนจะรีบเบือนหน้าหนีเดินออกมา ทั้งที่ใจอยากจะเดินเข้าไปแล้วต่อว่าความเลวของเขาด้วยซ้ำ ในเวลานี้ความรักที่มีมาหลายปีได้จืดจางลงจนไม่เหลือ เหลือแค่เพียงความเจ็บปวดที่ถูกทรยศหักหลังเท่านั้น

มิราวดีรีบหยิบของและเดินไปชำระเงินก่อนจะสาวเท้าไวเพื่อเดินออกห่างให้พ้นมากที่สุด

“ที่รัก !” น้ำเสียงคุ้นเคยเอ่ยเรียกชื่อเล่นอย่างสนิทสนม มิราวดีทำทีว่าไม่ได้ยินรีบสาวเท้าเดินหนีไปให้ไกล แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทันเพราะถูกอีกฝ่ายคว้าข้อมือเอาไว้ เธอหยุดเดินและแทบไม่อยากหันไปมอง

ณัฏฐ์รั้งข้อมือเธอไว้ก่อนเดินมาอยู่ตรงหน้า เขารู้สึกตกใจและดีใจมากที่ได้มาเจอกันอีกครั้ง แต่ก็หาเหตุผลได้แล้วว่าทำไมพวกเสี่ยโชคถึงมาตามล่าทั้งที่ยกหญิงสาวให้เเทนหนี้ไปหมดแล้ว

“ผมคิดถึงคุณ...มาก”

มิราวดีมองพลางหัวเราะเเสยะยิ้มให้ หากเป็นเธอคนเดิมก่อนที่จะเสียทุกอย่างไปเหลือเพียงตัวคนเดียว คงจะให้อภัยเเละกลับมารักกันแบบคนโง่ เเต่ตอนนี้มันไม่ใช่ เจ็บทรมานครั้งเดียวก็มากพอเเล้ว คำว่ารัก หรือคิดถึงเป็นแค่ลมปากของผู้ชายเห็นแก่ตัวเท่านั้น

ตอแหลหน้าด้าน ๆ !

โปรดติดตามตอนต่อไป...

ก่อนอื่นขอบคุณที่ติดตามนักเขียนนะคะขอบพระคุณที่ติดตามและสนับสนุนนะคะ

รูปภาพ: