บทที่ 24

ภายในห้องประชุมบริษัทแห่งหนึ่ง การนำเสนองานกับราคาเป็นไปอย่างเคร่งเครียดตั้งแต่วินาทีที่ก้าวเข้ามาในห้องนี้ มิราวดีคิดว่าคราวนี้อาจจะมีคู่แข่งเพียงบริษัทเดียวเหมือนเดิม แต่นึกไม่ถึงว่าจะมีเพิ่มมาอีกสามบริษัท ซึ่งทำให้เริ่มหนักใจและลังเลมากกับงานนี้ พอยิ่งได้ฟังการนำเสนอและราคาของอีกฝ่ายแล้ว กลับรู้สึกเลยว่าอาจจะสู้ไม่ได้ แน่นอนเพราะไม่ใช่มาตราฐานเพียงอย่างเดียวที่ทำให้ลูกค้านั้นตัดสินใจซื้อของนำเข้ากับตัวแทนอย่างบริษัทของเธอ แต่ก็เป็นเรื่องราคาด้วยเช่นกัน

ทั้งที่คู่แข่งใหม่อีกสองบริษัทนั้นไม่ได้มีผลิตภัณฑ์ที่ดีกว่าเลย ทว่ากลับมีราคาถูกและบางรุ่นที่นำเข้ามาด้วยแล้วกลับเป็นของเลียนแบบจากบริษัทต่างประเทศ แม่แบบเดียวกันกับบริษัทแม่ที่ทางบริษัทของเธอนำเข้าอยู่ ถึงรูปแบบจะเหมือนกันแต่วัสดุในการผลิตก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

“คุณกำลังกังวลเรื่องนี้อยู่เหรอ” ชายหนุ่มโน้มตัวกระซิบที่ข้างหู

“นิดหน่อยค่ะ” เธอพูดพลางถอนหายใจออกมา ขณะที่สายตาจับจ้องการนำเสนอและราคาสินค้าของบริษัทคู่แข่งเจ้าสุดท้าย

“ฉันลดราคามากกว่านี้ไม่ได้แล้ว และคุณก็รู้ว่าพวกเขาต่างก็ต้องการสิ่งนั้นด้วย”

ชายหนุ่มพยักหน้าและเข้าใจความหมายสิ่งที่หญิงสาวพูด สิ่งนั้นที่หมายถึงก็คือเงินใต้โต๊ะที่ใช้ยัดเพื่อให้ได้งานนี้นั่นเอง หากจำนวนเงินน้อยและราคาที่นำเสนอมาแพงก็ย่อมพลาดเป็นธรรมดา

ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่า การประชุมและการถกเถียงกันได้เสร็จสิ้นลง ผู้รับผิดชอบในโครงการต่างคุยปรึกษาหารือกัน แต่ผลก็ยังไม่สรุปออกมาว่าจะเลือกบริษัทไหน ทุกบริษัทที่เข้ามาเสนอราคาวันนี้ได้ถูกกำหนดให้เข้ามาคุยส่วนตัวอีกครั้งตามวันที่นัดหมาย มิราวดีเดินเข้าไปทักทายผู้รับผิดชอบโครงการแต่ทว่าดูเหมือนจะถูกเมิน เพราะมีบริษัทใหม่ไฟแรงของปีนี้เข้ามาทักทาย อีกทั้งดูท่าทางแล้วน่าจะได้งานนี้ด้วยซ้ำ ทั้งที่บริษัทของเธอนำเข้าของแท้

ท้ายสุดแล้วการประชุมช่วงเช้าเรื่องเสนอราคาก็เสร็จสิ้นลงโดยที่ไม่สามารถเข้าไปร่วมสนทนากับผู้รับผิดชอบได้อีกครั้ง เห็นทีงานนี้เธอคงต้องพลาดเป็นแน่ ระหว่างที่มองกลุ่มสนทนา ดวงตากลมมองเจ้านายหนุ่มเดินเข้าไปทักทายระหว่างการสนทนาของพวกนั้น เขาทำให้ทุกคนหันมาสนใจได้และคุยกันอย่างสนุกสนาน

หญิงสาวเห็นทีจึงรีบเดินเข้าไปยืนอยู่ข้างเจ้านายหนุ่มทันที

“คุณรชต ผมไม่คิดเลยว่าคุณจะมาด้วย...”

“ผมเป็นหัวหน้าของเธอครับ” รชตตอบและแนะนำหญิงสาวตามมารยาท “ผมเข้ามาเป็นหุ้นส่วนของบริษัท และงานนี้ก็โครงการใหญ่ เลยอยากจะมาดูงานด้วยตัวเอง ยินดีที่ได้พบคุณอีกนะครับ”

มิราวดียิ้มตอบและยืนฟังบทสนทนาอย่างงุนงง แต่ก็พอเข้าใจบ้างเพราะชายหนุ่มค่อนข้างรวย เขาอาจจะมีชื่อเสียงในสังคมคนไฮโซบ้าง

“นี่ก็เกือบเที่ยงแล้ว เราไปรับประทานอาหารแล้วนั่งสนทนากันดีไหมครับ” รชตเอ่ยชวน

“ไว้โอกาสหน้าดีกว่าครับ วันนี้พวกผมมีประชุมกันต่อ”

“ได้ครับ แล้วผมจะรอโอกาสนะครับ” รชตยิ้มพลางเอื้อมมือไปจับมือกับอีกฝ่าย

“ครับ” เพียงตอบสั้น ๆ ก่อนที่จะเดินไปรวมกลุ่มกับผู้รับผิดชอบงานคนอื่น การปฏิเสธครั้งนี้เป็นเชิงบอกว่าอาจจะพลาดโครงการใหญ่ของบริษัทนี้ เพราะพวกเขาทั้งหมดเดินออกไปกับบริษัทหนึ่งที่เข้ามาเสนองานในวันนี้

“เราก็กลับกันดีกว่าค่ะ”

“ผมเริ่มหิวข้าวแล้ว งั้นเราแวะกินมื้อกลางวันก่อนแล้วกัน” ชายหนุ่มพูดขึ้นขณะที่เอื้อมมือมากุมมือของหญิงสาวเอาไว้

“คุณจริงจังกับงานเกินไปแล้ว”

“คะ” มิราวดีรู้ตัวว่ากำลังถูกจับมืออยู่ก็ทำสีหน้าไม่ถูก ครั้นจะดึงมือออกเขากลับไม่ยอมปล่อย

“ฉะ ฉันไม่ได้”

“เราไปกันเถอะ” เขาพูดและดึงมือของเธอให้เดินไปด้วยกัน หารู้ไม่ว่าคนที่เดินตามและมองแผ่นหลังแกร่งนั้นกลับรู้สึกเขินและตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก ฝ่ามือที่ใหญ่และเย็นกลับทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น

มิราวดีเผลอคิดเรื่องชวนสับสนใจมากมายโดยที่ไม่รู้เลยว่าตนเองเดินมาถึงลานจอดรถแล้ว เขาเปิดประตูให้อย่างที่ไม่เคยทำ แม้จะรู้สึกงุนงงบ้างแต่เธอก็ตอบรับน้ำใจของอีกฝ่าย รถที่ตอนเช้ามองก็ยังตกใจเพราะเป็นระบบคนขับออโต้ ซึ่งหมายความว่าจะขับเองก็ได้หรือจะเปิดระบบให้นำทางไปจนถึงจุดหมายปลายทาง

หลังจากที่รถออกตัวไปได้สักพักชายหนุ่มพูดขึ้น

“คุณจริงจังกับงานนี้ทั้งที่รู้ว่าอาจจะไม่ได้”

“กับงานฉันก็ต้องจริงจัง ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ค่ะ” เธอหันมองเขา

“แล้วผมล่ะ” เขาเอื้อมมือกดระบบขับรถอัตโนมัติ ก่อนหันมาฟังคำตอบจากปากของเธอ

“คะ”

“คุณจริงจังกับผมมากกว่างานไหม หรือว่าคุณจริงจังกับงานมากกว่าผม”

เขาเล่นถามอะไรออกมาล่ะเนี่ย !

มิราวดีตอบไม่ถูก เพราะไม่อาจชั่งน้ำหนักความสำคัญของทั้งสองอย่างได้

“ฉะ ฉันไม่รู้ค่ะ ฉัน”

รชตใช้นิ้วปิดปากของหญิงสาว เขาเองก็กลัวคำตอบจากใจของเธอ และก็สับสนมากว่าควรจะเดินทางต่อไปอย่างไรในหลุมดำที่มืดมิดนี้ดี ไม่ว่าจะได้ยินคำตอบหรือไม่ แต่จุดหมายเดียวคือการปลดปล่อยตัวเองจากความทรมานนี้

“ไม่ต้องบอกผมก็ได้” เขายิ้มและขยับตัวออกห่าง

มิราวดีได้แต่ทำอะไรไม่ถูก เพราะหัวใจสับสนขึ้นมา ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือมันเกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้กันแน่ ถ้าหากถามเขาออกไปว่า ‘ฉันรักคุณแบบที่ภรรยารักสามีได้ไหมคะ’

เขาจะตอบว่าอะไรนะ...

โปรดติดตามตอนต่อไป...

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ หากชอบฝากสนับสนุนผลงานของนักเขียนด้วยนะคะ

กดไลก์ กดติดตามนักเขียน อัปเดตข่าวสารผ่านทางช่องทางต่างๆ ของ Mamaya Writer ได้เลยค่า

รูปภาพ: