*~บทที่ 23~*

หลังจากที่ศัลยแพทย์หนุ่มเดินตามงอนง้ออาจารย์สาวอดีตคนรักของเขาอยู่พักใหญ่ จนเธอเดินเลี่ยงเขาออกไปถึงด้านนอกของตัวอาคาร ซึ่งบริเวณนี้เป็นชั้นลอยที่ถูกออกแบบให้ยื่นออกไปทางด้านนอกเพื่อตกแต่งเป็นสวนหย่อมไว้ใช้สำหรับพักผ่อน โดยทางโรงพยาบาลได้จัดไว้เพื่อรองรับคนไข้ และญาติผู้ป่วย

หญิงสาวออกมายืนรับลมอยู่ที่ริมระเบียงของชั้นลอยแห่งนี้ โดยมีคุณหมอหนุ่มเดินตามออกมาติดๆ

“ คุณพิมพ์...คุณเลิกงอนผมเสียทีเถอะ!! บอกผมหน่อยได้ไหมว่า คุณเป็นอะไร...ทำไมถึงต้องมาเหวี่ยงใส่ผมอย่างนี้ ?!! ” คุณหมอตั้งคำถาม

“ คุณหมอ!! คุณรู้ไหมว่า วันนี้ฉันเจออะไรมาบ้าง ?!!... ” เธอถามเขากลับด้วยน้ำเสียงที่ขอความเห็นใจ เพราะเธอเองก็ทนไม่ไหวที่จะต้องเป็นฝ่ายนิ่งเงียบ และก็ทนไม่ได้ที่เห็นเขาตามเซ้าซี้อยู่อย่างนั้น

“ ...เมื่อเช้า!! พี่สาวของคุณบุกมาหาฉันถึงคอนโดฯ เขารู้เรื่องที่เราสองคนกลับมาคืนดีกัน เขาเลยยื่นเงินให้ฉันสามล้านเพื่อเป็นข้อเสนอให้ฉันเลิกยุ่งกับคุณ แต่เพราะฉันปฏิเสธ...เขาถึงเข้ามาทำร้าย ทุบตีฉัน และทำลายข้าวของในห้อง แถมขู่ฉันด้วยว่า ถ้าหากฉันยังคบหากับคุณอีก เขาก็จะตามมาราวีฉันให้ถึงที่สุด!!... ” หญิงสาวอธิบายด้วยท่าทีที่โมโห

ศัลยแพทย์หนุ่มมองหน้าเธอ เขาแทบไม่เชื่อว่า จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

“ ...ทีนี้คุณบอกฉันมาสิคะคุณหมอ!! คุณจะทำยังไง ?!! คุณจะช่วยฉันจากพี่สาวของคุณมั้ย ?!! หรือคุณจะไม่เชื่ออีกว่า เป็นฝีมือของเขา!! บอกฉันมาสิ...บอกฉันมา!!! ” พิมพ์ประภัสร์ร้องถามเขาด้วยความอัดอั้น น้ำตาของเธอไหลออกมาด้วยความปวดใจ

หมอหนุ่มมองคนรัก และรู้สึกสงสารเธอขึ้นมา หากเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะฝีมือของพี่สาวเขาจริงๆ เขาก็คงทำใจลำบากอยู่เหมือนกัน…

++++++++++++++++++++++++++++++

เสียงลิฟท์ที่บรรทุกผู้โดยสารดังขึ้นที่ชั้นสิบห้าของโรงพยาบาล นักร้องสาวดาวร่วงเดินออกมาจากลิฟท์ด้วยท่าทีที่ยังคงไว้ลายดุจนางพญา กระโปรงจากชุดหนังสีดำที่เธอสวมลากยาวไปกับพื้นของตัวอาคารในขณะที่ก้าวเดิน หมวกไหมพรมสีดำประกายสีบานเย็นใบใหญ่ที่ประดับด้วยขนปลายหางของนกแซงแซวละไปกับฝาผนัง อีกทั้งถุงมือหนังสีดำยาวที่ดูเข้ากันกับชุด ทำให้เธอดูเหมือนอีกายักษ์ที่มาร่วมงานราตรีจิบน้ำชา ต่างกันแค่ว่า ที่นี่เป็นโรงพยาบาล ไม่ใช่โรงแรม หรือคฤหาสน์หรูหรา แถมยังเป็นช่วงเวลาบ่ายเสียด้วยซ้ำ

เหล่าแพทย์ และพยาบาลที่ทำงานในชั้นนั้นต่างคุ้นชินกับภาพลักษณ์ที่ดูเกินจริงของเธออยู่แล้ว ก็คงมีแต่ผู้ป่วย และบรรดาญาติคนไข้ หรือผู้ที่ไม่ได้ประจำการอยู่ที่ชั้นนี้เท่านั้นที่อาจจะต้องหันกลับมามองดูเธอจนเหลียวหลัง ยามที่เห็นนักร้องสาวปรากฏกายในชุดที่ดูประหลาดๆ จากหน้านิตยสาร หรือไม่ก็บนแคทวอล์ค

รสรินทร์เดินผ่านห้องประชาสัมพันธ์เพื่อเข้าไปยังห้องทำงานของศัลยแพทย์หนุ่มอย่างที่เธอคุ้นเคย ทิพย์อำพันเงยหน้าขึ้นมาจากโต๊ะขณะที่กำลังเก็บรวบรวมของใช้ส่วนตัวจากในห้องประชาสัมพันธ์ หลังจากที่ไปยื่นใบลาออกกับทางฝ่ายบุคคลแล้ว เธอเห็นหลังของนักร้องสาวไวๆ และเข้าใจว่า เจ้าหล่อนคงต้องการที่จะมาฉีดหน้า หรือทำอะไรที่เกี่ยวกับการเสริมความงามเป็นแน่

“ ฉันก็บอกไปแล้วนะว่า คุณหมอไม่อยู่ เจ๊แกก็ยังมาหงุดหงิดใส่ฉันอีก…คนอะไรเจ้าอารมณ์จริงๆ!! ” พยาบาลนางหนึ่งพูดขึ้นกับเพื่อนพยาบาลอีกคนขณะที่เดินเข้ามาในห้องประชาสัมพันธ์ หลังจากที่โดนรสรินทร์ตอกหน้าออกมา เนื่องจากเจ้าหล่อนถามหาน้องชาย แล้วไม่เจอ

ทิพย์อำพันแอบฟังอยู่ที่โต๊ะ โชคดีที่เธอไม่ได้เสนอหน้าเข้าไปในห้องนั้นเหมือนอย่างเคยๆ จึงไม่ต้องประสบพบเจอกับสาวใหญ่เข้า

“ แล้วนี่เขาใช้ให้เธอทำอะไร ?? ” เพื่อนพยาบาลที่อยู่ในห้องร้องถาม

“ เจ๊แกบอกอยากฉีดเซรั่มเข้าหน้า...แกคงจะเห็นว่า ที่นี่เป็นร้านเสริมสวยล่ะมั้งถึงมาชี้นิ้วสั่งเอานั่นเอานี่มาประโคมตนเองได้ตามใจชอบ!! ” พยาบาลสาวคนนั้นบ่นกระปอดกระแปด พลางหยิบเซรั่มออกมาจากตู้แช่ แล้วใช้เข็มฉีดยาดูดมันออกมาจากหลอดแก้ว

ทิพย์อำพันเห็นดังนั้นจึงคิดแผนการบางอย่างขึ้นมาได้ เธอสังเกตเห็นว่า พยาบาลสาววางเข็มฉีดยาที่ใส่เซรั่มทิ้งไว้ในถาดบนโต๊ะ แล้วเดินออกไปหยิบถุงมือ เธอจึงรีบทำการฉีดเซรั่มจากหลอดทิ้งไป และฉีดสารใหม่เข้าไปในเข็มฉีดยานั้นแทน เธอเชื่อว่า สิ่งนี้จะทำให้รสรินทร์เข็ดขยาดกับที่นี่ไปอีกนาน ก่อนที่จะทิ้งท้ายด้วยเศษกระดาษที่เธอหยิบขึ้นมาจากกระเป๋า แล้วเขียนข้อความบางอย่างลงไปในนั้นเป็นของฝากสุดท้าย จากนั้นจึงซ่อนเอาไว้ใต้เข็มฉีดยาที่วางอยู่ในถาด

ทันทีที่เธอคล้อยหลังออกมาจากตรงนั้น พยาบาลสาวก็เดินกลับเข้ามาพร้อมด้วยถุงมือที่สวมมือของเธอไว้พอดี ทิพย์อำพันแอบยิ้มออกมาอย่างสะใจขณะที่เห็นพยาบาลสาวถือถาดยาออกไปเพื่อฉีดหน้าให้รสรินทร์

หญิงสาวลุกขึ้นจากโต๊ะ แล้วหิ้วลังกระดาษสีน้ำตาลที่ใส่ของๆ เธอเอาไว้ พลางสะพายกระเป๋า แล้วก้าวเดินออกไปจากห้องนั้น เธอปิดประตูทิ้งท้ายโดยไม่ได้กล่าวลาเพื่อนๆ ร่วมอาชีพสักคำ จนเหล่าพยาบาลสาวต่างสบตา และลงความเห็นร่วมกันว่า สมควรที่จะยกรางวัลไร้มารยาทดีเด่นให้แก่เธอเป็นของขวัญวันอำลา

พยาบาลสาวไม่ได้ใส่ใจในท่าทีเหล่านั้น เธอถือลังกระดาษสีน้ำตาลเข้าไปในลิฟท์ที่เปิดอยู่ หญิงสาวเข้าไปในนั้น แล้วกดปุ่มปิดมัน เพื่อเป็นการส่งท้ายให้กับอาชีพที่ครั้งหนึ่งเธอเคยได้เป็น…

++++++++++++++++++++++++++++++

พิมพ์ประภัสร์มองดูศัลยแพทย์หนุ่มด้วยสายตาที่ปวดร้าว ใบหน้าของเธอนองไปด้วยน้ำตา เธอทวงถามคำตอบที่เคยถามเขาไว้ก่อนหน้าอีกครั้ง

“ ตอบฉันสิคะคุณหมอ...ในเมื่อพี่สาวของคุณรังเกียจฉันอย่างนี้ คุณจะทำยังไง ?!! ” อาจารย์สาวถามเสียงเอื่อย เพราะเหนื่อยกับการร้องไห้

“ คุณพิมพ์...จะให้ผมทำยังไง!! นั่น...พี่สาวผมนะ เขาเลี้ยงผมมา!! ” คุณหมอกล่าว

“ แล้วฉันล่ะ ?!!...ฉันไม่มีความสำคัญอะไรสำหรับคุณเลยใช่ไหม...ที่คุณจะปล่อยให้พี่สาวของคุณมาทำร้ายฉันอย่างนี้ ?? ” เธอถามซ้ำ

“ มีสิ!! คุณมีความสำคัญกับผมมาก...ผมรักคุณนะพิมพ์...ผมขาดคุณไม่ได้!! ” คุณหมอเอ่ยออกมา

หญิงสาวสะอื้นไห้...คำว่า รัก ที่เขาชอบพร่ำบอกแก่เธอทุกวัน เขากล่าวออกมาอีกครั้ง หลังจากที่เธอไม่ได้ยินคำนั้นมานาน เธอเองก็อยากจะตอบกลับเขาไปเหมือนกันว่าเธอเองก็รักเขา รักมากกว่าอะไรทั้งหมด...แต่สิ่งหนึ่งที่พยายามรั้งเธอไว้ให้กลับไปไม่ได้ มันก็ผุดแทรกขึ้นมาในความคิดของเธออีกครั้ง เพื่อเตือนสติให้เธอเข้มแข็ง

“ ถ้าฉันกลับไปคบกับคุณ พี่สาวของคุณ...คงไม่ปล่อยฉันไว้แน่!!... ” เธอพูดย้ำความคิดตนเอง

“ ....ถ้าอย่างนั้น คุณบอกฉันทีสิคะ ระหว่างฉันกับพี่สาวของคุณคุณจะเลือกใคร ?!! ” เธอถาม

นายแพทย์หนุ่มมองหน้าเธอ สีหน้าของเขาแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด มันเป็นคำถามที่ทำให้เขาตัดสินใจได้ยากเป็นอย่างยิ่ง

“ พิมพ์...คุณอย่าให้ผมเลือกเลย!!! ” เขาขอร้อง

“ คุณต้องเลือก!! เพราะฉันไม่สามารถที่จะทนอยู่ร่วมกับพี่สาวของคุณได้!! ” หญิงสาวตะโกน พลางปฏิเสธสิ่งที่เธอจะต้องได้รับหากต้องคบหาอยู่กับเขา

ชายหนุ่มกลืนน้ำลาย นัยน์ตาของเขาเริ่มเศร้า และคิดหนักอย่างเห็นได้ชัด เขาก้มหน้า รู้สึกได้ถึงอาการปวดร้าวที่กำลังเข้ามากัดกินสมอง…

++++++++++++++++++++++++++++++

พยาบาลสาวถือถาดยาเข้ามาในห้องทำงานของศัลยแพทย์หนุ่มตามที่รสรินทร์สั่ง ถ้าเธอไม่เห็นแก่เงินเล็กๆ น้อยๆ ที่สาวใหญ่จ่ายให้เป็นค่าจ้างในขณะที่น้องชายของเจ้าหล่อนไม่อยู่ เธอก็คงไม่มารับใช้คนเจ้าอารมณ์อย่างนักร้องสาวคนนี้เด็ดขาด

รสรินทร์นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของคุณหมอ เธอยกขาขึ้นไขว่ห้าง ขณะที่กำลังนั่งอ่านนิตยสารเกี่ยวกับความงาม และศัลยกรรมอย่างเบิกบานใจ

“ เซรั่มมาแล้วค่ะ!! ” พยาบาลบอกแก่นักร้องสาว

“ ฉีดเบาๆ นะยะ หน้าของฉันอย่างเดียวแพงกว่าเงินเดือนของหล่อนทั้งปีรวมกันเสียอีก!! ” รสรินทร์ค่อนขอด

พยาบาลสาวฝืนยิ้มอยู่อย่างนั้น ทั้งๆ ที่รู้ว่า ไม่พอใจแค่ไหนที่โดนนักร้องสาวดูถูก

เธอเอาสำลีที่ชุบแอลกอฮอล์เช็ดเบาๆ เข้าที่หน้าของนักร้องสาวบริเวณที่เธอต้องการจะฉีด เพื่อเป็นการฆ่าเชื้อ

จากนั้นจึงหยิบเข็มฉีดยาที่บรรจุสารที่เธอเข้าใจว่า เป็นเซรั่มขึ้นมา แล้วใช้ปลายเข็มที่แหลมคมจิ้มเข้าไปที่หน้าของรสรินทร์อย่างเบามือ จากนั้นจึงใช้นิ้วหัวแม่มือกดเข้าไปที่หัวฉีดตรงด้านท้าย…

++++++++++++++++++++++++++++++

“ กริ๊งงงงง.... ” เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือของศัลยแพทย์หนุ่มดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของเขา

พิมพ์ประภัสร์รู้สึกใจหายวาบ เธอตกใจเสียงเรียกเข้านั่น หญิงสาวหวนนึกถึงเสียงโทรศัพท์เสียงนั้นที่เธอเป็นคนเลือกให้เขาสมัยที่ยังคบกัน เพราะเธอรู้ว่า คนรักของเธอเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบฟังเพลงเท่าไหร่ และไม่ค่อยทันสมัยนักเกี่ยวกับเรื่องของดนตรี

“ อะไรนะครับ...พี่โรส!!! ได้ครับ...ไปเดี๋ยวนี้แหละ!! ” หมอหนุ่มคุยกับคนในสายด้วยท่าทีที่ตกใจก่อนที่จะวาง

“ พิมพ์...ผมขอตัวก่อนนะ เรื่องพี่สาวของผม!! ” ชายหนุ่มดูเร่งรีบ เขาบอกแก่เธอ แล้วรีบวิ่งเข้าอาคารเพื่อไปดูพี่สาวของเขา

พิมพ์ประภัสร์ไม่ค่อยพอใจที่ศัลยแพทย์หนุ่มทิ้งเธอไปแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นเรื่องพี่สาวของเขา ชายหนุ่มก็จะยิ่งกระตือรือร้นมากเป็นพิเศษเหมือนกับว่า เขากลัว หรือไม่ก็ให้ความสำคัญกับเจ้าหล่อนมากกว่าเธอ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน..คงจะไม่พ้นเรื่องที่ว่า พี่สาวของเขามาหาที่โรงพยาบาล เพื่อที่จะเรียกให้เขาไปฉีดหน้าเหมือนอย่างที่ผ่านๆ มา หญิงสาวทอดถอนใจ และคิดว่า ท้ายที่สุดแล้ว หมอหนุ่มก็ต้องเลือกพี่สาวของเขาอยู่ดี เธอเองก็เป็นแค่คนนอก เลือดย่อมข้นกว่าน้ำอยู่วันยังค่ำ คงยากที่จะให้เลือกเธอ มากกว่าพี่สาวของตนเอง

อาจารย์สาวเช็ดคราบน้ำตาที่แก้ม แล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะเดินกลับเข้ามายังตัวอาคารเหมือนเดิม ทว่าเธอกลับเห็นนางพยาบาล และพนักงานเข็นเตียง รีบวิ่งมาจากอีกฝั่งหนึ่งของทางเดินอย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะรีบไปขึ้นลิฟท์ราวกับจะไปรับคนไข้ที่ประสบอุบัติเหตุ

“ จะให้ไปรับชั้นไหนนะครับ!! ” พนักงานเข็นเตียงถามพยาบาลที่วิ่งนำเขามา

“ ชั้นสิบห้า...ชั้นสิบห้า เห็นเขาบอกว่า เป็นนักร้อง!! ” นางพยาบาลร้องบอก แล้วกดปุ่มรีบขึ้นลิฟท์ไป

พิมพ์ประภัสร์ตกใจในท่าทีที่ดูวุ่นวาย และสิ่งที่ได้ยินจากคนทั้งคู่ เธอเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น

“ ชั้นสิบห้า...แผนกศัลยกรรม นักร้อง...รสรินทร์...คุณหมอ!! ” หญิงสาวใคร่ครวญด้วยความแปลกใจ และรู้สึกได้ว่า อาจจะมีเรื่องไม่ดีอะไรเกิดขึ้นกับรสรินทร์ก็เป็นได้ เธอจึงรีบขึ้นลิฟท์ และตามไปดูเหตุการณ์ที่แผนกนั้น....

เสียงกรีดร้องดังระงมขึ้นเป็นระยะๆ จากชั้นสิบห้า เสียงนั้นดังมาจากห้องทำงานของศัลยแพทย์หนุ่มที่มีชื่อเสียง เสียงนั้นดังมาก และดังลั่นไปทั่วทั้งชั้น เหล่าพยาบาลสาวจากห้องประชาสัมพันธ์พยายามรั้งตัวแหล่งกำเนิดของเสียงเอาไว้ รสรินทร์ด้นทุรนทุราย และร้องลั่นอย่างทุกข์ทรมาน หลังจากที่พยาบาลฉีดสารบางอย่างที่เข้าใจว่า เป็นเซรั่มเข้าไป

“ ช่วยด้วย!! ฉันแสบ...แสบหน้าไปหมด!!! ” นักร้องสาวกรีดร้องอยู่อย่างนั้น สลับกับเสียงของเหล่าพยาบาลที่ช่วยกันร้องบอกให้เธอมีสติ เพื่อที่จะได้ไม่อาละวาด และทำลายข้าวของมากไปกว่านี้

คุณหมอหนุ่มเข้ามาในห้อง เขาตกใจที่เห็นสภาพห้องกระจัดกระจาย จากพายุลูกใหญ่ที่เกิดขึ้น

เขารีบวิ่งหน้าตาตื่นไปหาพี่สาวของตนเอง แล้วพบว่า บริเวณแก้มข้างหนึ่งของเธอมีอาการแพ้สารอะไรบางอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งพอดีกับที่พนักงานเข็นเตียงเข้ามารับเธอพอดี

หญิงสาวถูกนำตัวขึ้นเตียง จากนั้นพนักงาน และพยาบาลต่างก็ช่วยกันใช้เชือกตรึงรัดเธอไว้แน่นเพื่อกันเธอดิ้น

พิมพ์ประภัสร์ขึ้นลิฟท์มาถึงชั้นสิบห้า แล้วพบว่า เหล่าแพทย์ และพยาบาลต่างมุงดูอะไรบางอย่างกันอยู่เต็มชั้น สักพักศัลยแพทย์หนุ่มก็ออกมาจากห้องทำงานของเขา แล้วเลี้ยวมาทางเธอ พร้อมด้วยหญิงสาวชุดดำที่นอนดิ้นทุรนทุรายอยู่บนเตียงด้วยท่าทีที่ทรมาน โดยมีเหล่านางพยาบาลอีกสามคน และพนักงานเข็นเตียงที่ช่วยกันพาหญิงสาวคนนั้นเข้าไปยังห้องผ่าตัดที่อยู่ชั้นเดียวกัน

คุณหมอหนุ่มวิ่งผ่านหน้าพิมพ์ประภัสร์ไป เขาไม่ได้สังเกตเห็นเธอด้วยซ้ำว่า เธอยืนอยู่ตรงนั้น จากนั้นเธอก็เห็นพนักงานเข็นร่างหญิงสาวชุดดำที่นอนอยู่บนเตียงอย่างถนัดตา เธอรู้แล้วว่า ผู้หญิงคนนั้นคือ รสรินทร์

พิมพ์ประภัสร์วิ่งตามพวกเขาไปถึงหน้าห้องผ่าตัด จากนั้นพยาบาลก็วิ่งมาปิดประตูหน้าห้อง เธอจึงได้ยินแต่เสียงของนักร้องสาวที่กรีดร้องออกมาจากข้างในด้วยความทรมาน เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่า ศัลยแพทย์หนุ่มกำลังทำอะไรบางอย่างกับพี่สาวของเขาเอง และไม่ทันไรก็ค่อยๆ แผ่วเบาลง เหมือนกับมีใครบางคนได้หรี่สวิทช์ เพื่อปิดเสียง

อาจารย์สาวขวัญเสียเล็กน้อยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เธอไม่รู้ว่า เธอควรรู้สึกอย่างไรเมื่อเห็นรสรินทร์ดิ้นทุรนทุรายอยู่อย่างนั้น ณ ตอนนี้ เธอควรจะสาแก่ใจ หรือสังเวชใจดี เพราะทั้งสองความรู้สึกนี้ต่างขัดแย้งกันอยู่ภายในจิตใจ เธอรุดออกมาจากหน้าห้องนั้นก่อนที่จะตัดสินใจลงลิฟท์ไป เพราะไม่อยากได้ยิน หรือเห็นเหตุการณ์ที่ทำให้ลำบากใจ ดังเช่นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้อีกเลย…

หลังจากการช่วยเหลือรสรินทร์เสร็จสิ้นลง สาวใหญ่หลับใหลไปอย่างไม่ได้สติอยู่ในห้องพักฟื้นคนไข้ คุณหมอหนุ่มปล่อยให้พี่สาวของเขาพักผ่อนอยู่อย่างนั้น ส่วนตัวเขาก็เดินกลับมายังห้องทำงาน เพื่อเก็บข้าวของที่กระจัดกระจาย ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่า สารบางอย่างในหลอดฉีดยานั้น ไม่ใช่เซรั่มอย่างที่พี่สาวของเขาต้องการในตอนแรก แต่มันคือแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อธรรมดาที่อาจถูกสับเปลี่ยนกันก็เป็นได้ และที่พื้นด้านข้างโต๊ะทำงานของเขา ชายหนุ่มก็พบเศษกระดาษแผ่นหนึ่งตกอยู่ ที่จริงแล้วมันเป็นเช็คเงินสดที่พี่สาวของเขาสั่งจ่ายให้กับใครบางคนเป็นเงินหนึ่งแสนบาท ทว่าที่ด้านหลังกลับมีข้อความบางอย่างเขียนเอาไว้ด้วยปากกาสีแดง ใจความว่าเราไม่มีอะไรติดค้างกันอีกแล้วชายหนุ่มครุ่นคิด และพอที่จะนึกออกว่า เป็นฝีมือของใคร และเพราะเหตุใดเธอถึงลงมือทำเช่นนั้น

ศัลยแพทย์หนุ่มทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้ แล้วนึกย้อนไปถึงเรื่องราวที่ผ่านมา เขารู้อยู่แล้วว่า สิ่งที่พิมพ์ประภัสร์พยายามบอกแก่เขามาตลอดนั้นล้วนเป็นเรื่องจริง รสรินทร์ และทิพย์อำพันต่างร่วมมือกันที่จะพังชีวิตคู่ของเขา และก็ทำได้สำเร็จ ทั้งๆ ที่ผ่านมาเขาต้องแกล้งทำทีเป็นไม่ใส่ใจก็เพราะว่า รสรินทร์เป็นญาติเพียงคนเดียวที่เขาเหลืออยู่ อีกทั้งยังมีบุญคุณกับเขามาก เขาคงทำไม่ได้หากที่จะต้องทิ้งพี่สาวของตนไปเพื่อไปอยู่กับคนรัก ชายหนุ่มนึกไม่ออกเลยว่า เขาจะให้คำตอบแก่พิมพ์ประภัสร์อย่างไรกับคำถามในวันนี้ เพราะเขาเองก็ไม่สามารถเสียคนที่เขารักอีกคนไปได้เช่นกัน และสำหรับทิพย์อำพัน หมอหนุ่มไม่รู้สึกโกรธเธอเลยด้วยซ้ำ ถึงแม้เธอจะเป็นต้นเหตุของเรื่องที้เกิดขึ้นในวันนี้ เขาจะไม่ตามหา หรือเอาเรื่องกับเธอ เพราะเขาทำใจ และยอมรับได้อยู่แล้วว่า สักวันหนึ่งเรื่องทำนองนี้จะต้องเกิดขึ้น สาเหตุเป็นเพราะผลกรรมที่คอยตามลงทัณฑ์พี่สาวของตน…

++++++++++++++++++++++++++++++

ความมืดครอบคลุมท้องฟ้าในยามราตรี หลายพื้นที่ในท้องถนนต่างบางตาด้วยจำนวนผู้คนตามช่วงเวลาที่เริ่มดึกสงัด นันทวดีขับรถกลับเข้ามายังบ้านของเธอหลังจากที่หลบไปสงบจิตสงบใจยังอพาร์ทเม้นท์ของเพื่อนสนิทพร้อมกับลูกน้อย เธอสังเกตเห็นไฟในบ้านที่ยังเปิดอยู่ และมองดูเวลาที่หน้าปัดนาฬิกาจากในรถ

“ จะสี่ทุ่มแล้ว...คุณโชติคงใกล้จะนอน ” เธอกล่าวขึ้น พร้อมกับค่อยๆ เคลื่อนรถที่เธอจอดทิ้งไว้ที่ร้านคัพเค้กตั้งแต่เมื่อวานเข้าไปในโรงจอดรถ

หญิงสาวอุ้มลูกน้อยที่กำลังหลับปุ๋ยขึ้นมาจากเปลจากที่นั่งด้านหลัง และไม่ลืมที่จะหยิบคัพเค้กรสใหม่จากร้านมาเป็นของฝากเอาใจสามีหลังจากที่หายไปหนึ่งคืน

เธอเปิดประตูเข้าบ้าน และเดินผ่านสามีที่ห้องนั่งเล่น หญิงสาวทักทายเขาตามมารยาท ทั้งๆ ที่รู้สึกตะขิดตะขวงใจในเรื่องที่เกิดขึ้น

“ ฉันเอาคัพเค้กรสใหม่มาฝากคุณด้วย...ลองชิมดูหน่อยสิ ” หญิงสาวเอ่ยเป็นเชิงเชิญชวน

“ ผมยังไม่อยากกินตอนนี้ เอาไปแช่เย็นก่อนได้มั้ย ?!!! ” เขาร้องอย่างรำคาญ สายตาของเขามัวแต่จับจ้องอยู่ที่โทรทัศน์ โดยไม่ได้ใส่ใจในภรรยาเลย

นันทวดีพยักหน้ารับคำ พลางบรรจงจัดชิ้นคัพเค้กทั้งสี่ใส่ถาด แล้วแช่ไว้ในตู้เย็น

จากนั้นตัวเธอ และลูกน้อยก็ขึ้นไปอาบน้ำเพื่อผลัดเปลี่ยนชุดยังชั้นบน

โชติวุฒิเหลือบมองดูภรรยาสาวขณะที่กำลังเดินขึ้นบันได ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่า ที่ผ่านมาเขาเป็นทั้งพ่อ และสามีที่แย่มากแค่ไหน นักธุรกิจหนุ่มเริ่มตระหนักคิดได้ว่า เขามีภรรยาที่ทั้งสวย แสนดี และเก่ง แถมยังมีลูกน้อยที่น่ารักอยู่แล้วกับตัว แล้วเหตุใดเขาถึงต้องทิ้งอาหารเลิศรสในบ้าน เพื่อไปแวะชิมอาหารจากข้างทาง แล้วปล่อยให้มันเน่าเสีย ซ้ำยังบั่นทอนชีวิต และครอบครัวของเขาอีก ชายหนุ่มคิดใคร่ครวญอยู่ที่ห้องนั่งเล่นสักพัก ก่อนที่จะปิดโทรทัศน์ แล้วลุกขึ้นจากที่นั่งเพื่อไปขึ้นนอน

เขาเปิดประตูขึ้นมาบนห้อง แล้วเห็นภรรยาสาวนั่งอยู่ที่เก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้งโดยนุ่งห่มเพียงแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวหลังจากที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ ผิวจากแผ่นหลังที่ขาวเหมือนนุ่น อีกทั้งกลิ่นหอมอ่อนๆ จากครีมอาบน้ำ และยาสระผมที่เจ้าหล่อนใช้ ช่างชวนให้เขารู้สึกมีอารมณ์วาบหวาบขึ้นมาทันที ที่ผ่านมาเขาไม่ทันได้สังเกตเลยว่า ภรรยาของเขากลับมามีรูปร่างที่ดูดีอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่หลังจากที่คลอดเจ้าตัวเล็กออกมา

ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้ๆ และยกมือขึ้นมาสัมผัสกับหัวไหล่ของเธอ และบรรจงลูบไล้ไปบนผิวที่เนียนละเอียด และหอมไปด้วยกลิ่นที่หวานละมุนจากครีมอาบน้ำ

“ ผิวคุณยังนุ่มเหมือนเดิมเลยนะ ” เขาร้องทัก แล้วมองดูเธอจากเงาในสะท้อนที่กระจก

หญิงสาวมองดูเขา แล้วฉีกยิ้มเล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณ เธอแปลกใจในท่าทีที่เปลี่ยนไปของเขา

“ ม..มีอะไรหรือเปล่าคะคุณโชติ ?? ” เธอร้องถาม

“ เปล่า...ผมแค่อยากมีเวลาที่จะอยู่กับคุณบ้าง...ก็เท่านั้น ” ชายหนุ่มพูดกับเธอ สายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่ผิวกายที่ขาวละไม และมองดูใบหน้าที่เป็นรูปไข่ของเธอผ่านกระจก

“ ผมขอโทษนะครับที่รัก ที่ผ่านมา...ผมไม่มีเวลาที่ได้ใส่ใจคุณเลย ” ชายหนุ่มกล่าวขอให้เธออภัย

“ คุณคงเครียดกับงานมั้งคะ ?!! ” เธอบอกเขา ทั้งๆ ที่รู้ความจริง แต่เธอก็ไม่คิดที่จะรื้อฟื้นมันขึ้นมา

ชายหนุ่มโน้มตัวเข้าหาเธอ แก้มของคนทั้งคู่แนบชิดกัน หญิงสาวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เธอไม่ได้รู้สึกวูบวาบอย่างนี้มานานแล้ว และก็จำไม่ได้ด้วยว่า เขาจุดไฟราคะในตัวเธอครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่

“ คืนนี้ผมอยากมีความสุขกับคุณ ผมคิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้น ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาเข้าที่ข้างหูของเธอ

หญิงสาวรู้สึกเสียวซ่านไปทั้งตัว ราวกับมีใครเอาน้ำแข็งมาลูบไล้ที่หลังคอ

เธอเหลือบหันหน้ามามองหน้าเขา สายตาของคนทั้งคู่ประสานกัน หญิงสาวรู้สึกได้ถึงเปลวไฟที่ดูเหมือนใกล้จะมอดดับกำลังจะถูกจุดติดขึ้นใหม่ เพราะเชื้อเพลิงที่ทรงพลัง และมีประสิทธิภาพของเขา ทำให้ค่ำคืนอันเร่าร้อนของคนทั้งคู่ยากที่จะดับลง

นันทวดีนอนหลับสนิทอย่างหมดแรง เธอรู้สึกชื้นแฉะอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ค่ำคืนที่อิ่มเอมใจนี้ทำให้เธอฝันหวาน และนอนหลับสบาย ต่างกับโชติวุฒิที่นอนไม่หลับ และรู้สึกกระสับกระส่าย เพราะในใจของเขาเอาแต่ครุ่นคิดถึงอยู่กับวาดลัดดา เขากลัวว่า สาวน้อยจะย้อนกลับมาทำลายความสุขในครอบครัวของเขาสักวันหนึ่ง ชายหนุ่มพลิกตัวไปมา แม้ว่า เขาจะรู้สึกหมดแรง เพราะใช้พลังงานที่เหลืออยู่ไปกับกิจกรรมเมื่อครู่จนหมด แต่ทว่าเขากลับไม่รู้สึกง่วงหงาวหาวนอนแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับรู้สึกหิว และต้องการหาอะไรใส่ท้อง

ชายหนุ่มลุกขึ้นแต่งตัว และลงไปยังห้องครัวที่อยู่ด้านล่าง เขาจำได้ว่า ภรรยาของเขาเอาคัพเค้กรสใหม่จากที่ร้านมาให้ เขาเปิดตู้เย็น และหยิบชิ้นคัพเค้กที่น่าทานที่สุดออกมา แล้วกัดเอาเนื้อครีมที่อยู่บนหน้าเค้กนั้นลงไป กลิ่นหอมของมะพร้าวที่ผสมกับช็อคโกแลตในเนื้อครีมอย่างที่เขาชอบ ช่วยดับกลิ่นถั่วที่ผสมอยู่ในเนื้อเค้กได้เป็นอย่างดี ชายหนุ่มรับประทานคัพเค้กชิ้นนั้นจนหมด และรู้สึกได้ว่า มันช่วยให้เขาอยู่ท้อง แต่ก็ไม่คิดว่า มันจะทำให้เขารู้สึกอึดอัด และจุกได้ถึงขนาดนี้

โชติวุฒิเริ่มไอ และคันตามเนื้อตัว เขานั่งลง และเกาบริเวณที่คันอย่างรุนแรง เหงื่อกาฬของเขาแตก และเริ่มหายใจไม่ออก ตาของเขาก็เริ่มพร่า และลิ้นของเขาก็บวมเป่ง ชายหนุ่มเริ่มรู้ตัวแล้วว่า อาการแพ้ถั่วของเขากำลังกำเริบ และมันก็รุนแรงขึ้นทุกทีๆ ที่ผ่านมาเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่า นันทวดีกำลังจะจัดโปรโมชั่นเทศกาลคัพเค้กรสถั่วขึ้นที่ร้าน เพื่อสนับสนุนเกษตรกรที่ไร่ของเธอในต่างจังหวัด เธอจึงพยายามดัดแปลงรสชาติจากวัตถุดิบนานาชนิดเพื่อดับกลิ่น และรสชาติของถั่วเพื่อเอาใจคนที่ไม่ชอบถั่วอย่างสามีของเธอ โดยที่เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่า โชติวุฒิเกลียดถั่วเข้าไส้เพราะอะไร และทำไมเขาถึงต้องนอนดิ้นทุรนทุราย และขาดอากาศหายใจจนเสียชีวิตอยู่ที่พื้นอย่างนี้...