หนีสิว หนีผิวคล้ำหมอง อาจจะหนีได้แต่ไม่ว่าใครก็หนีความแก่ไม่พ้นนะคะซิส!พออายุเรามากขึ้นผิวเราก็จะเหี่ยวย่นไม่ตึงเปรี๊ยะเหมือนเคย อย่างที่เขาว่ากันไว้ว่าสังขารไม่เที่ยง มีเกิดและดับไปเป็นธรรมดา อนิจจา... หยุดค่ะอย่าพึ่งปลงกับชีวิต!!! เพราะก่อนที่วันนั้นจะมาถึงวันนี้ทางเรามีสิ่งนี้มาเสนอ กับเรตินอลส่วมผสมสุดล้ำที่ช่วยปกป้องผิวเราให้ยังอ่อนเยาว์เหมือนเด็ก รับรองว่าจะถึงอายุจะเข้าเลขสามก็ยังเชิ่ด ผิวสวยแบบไม่แคร์สื่อ มาดูกันเลยว่าเรตินอลเค้าเริ่ดยังไง

Retinoid  แต่ข้อเสียคือ Retinoid ระคายเคืองผิวมากหลายๆคนที่ใช้ก็จะเจออาการแสบ แดง ร้อนดังนั้นเค้าจึงมีการพัฒนาสารในกลุ่มนี้ให้มีผลดีต่อผิวเหมือนเดิม แต่อาการข้างเคียงต่อผิวลดน้อยลงดังนั้นจึงเกิด Retinol, Retinoldehyde, Retinyl ester ขึ้นมาแต่สุดท้ายการออกฤทธิ์หลักที่ผิวต้องเป็น Retinoic acid เพราะฟอร์มนี้จะไปจับกับ Receptor ในผิว

การเปลี่ยนฟอร์มจะเปลี่ยนจาก Retinyl Palmitate > Retinol > Retinaldehyde > Retinoic acid จำว่า ยิ่งใกล้ Retinoic Acid เท่าไหร่ = ขั้นตอนเปลี่ยนฟอร์มน้อย = ออกฤทธิ์ได้เร็ว และดี เราจึงเห็นว่า สกินแคร์ใช้ Retinol ได้รับความนิยม ว่าทำให้ผิวสวยได้ใน 3-6 เดือน แต่ทุกคนสงสัยไหมคะว่า ทำไมไม่ใช้ Retinaldehyde (Retinal)แทนทั้งๆที่อยู่ใกล้ Retinoic Acid ที่สุด เปลี่ยนแค่รอบเดียวก็แอคทีฟแล้ว ตอบ .. เพราะการทำให้ Retinal เสถียรนั้น ยาก ความเสถียรสำคัญยังไง ? ความเสถียรของตัวสาร จะทำให้เราสามารถหวังผลได้ ว่าเมื่อเราทาลงบนผิวไปแล้ว จะมีรูปแบบของสารที่พร้อมทำงานอยู่ในปริมาณ ทำให้เราสามารถหวังผลลัพธ์ได้

ความแตกต่างกันในสารอนุพันธ์แต่ละตัวคือความสามารถในการออกฤทธิ์ ในสามตัวแรกทางอย. บ้านเราจัดให้มีสถานะเป็นเครื่องสำอาง ไม่สามารถออกฤทธิ์ได้ทันที ต้องทาบนผิวของเราเสียก่อนต้องอาศัยเอนไซม์ในชั้นผิวเปลี่ยนให้เป็นกรดวิตามินเอเสียก่อน แล้วจึงออกฤทธิ์ได้

ความแรงต่างกันจดทะเบียนได้ต่างกัน

อย่างที่เล่ามาแล้ว Retinol esters, Retinol, Retinaldehyde จัดเป็นสารตั้งต้น ไม่มีฤทธิ์ใดๆในขวด คสอ. เมื่อทาไปบนผิวเราต้องอาศัยเอนไซม์ในชั้นผิวเปลี่ยนให้ จะว่าไปผลของการใช้สารเหล่านี้มีประสิทธิภาพน้อยกว่าการใช้กรดวิตามินเอทาลงบนผิวโดยตรงก็จริงแต่ผลการระคายเคืองก็น้อยลงตามไปด้วย ทาง อย. บ้านเราจึงอนุญาตให้ผสมได้ในเครื่องสำอางนั่นเอง

เนื่องจาก Retinoid ระคายเคืองผิวมากจึงต้องมีการพัฒนาสารในกลุ่มนี้ให้อาการข้างเคียงต่อผิวน้อยลงซึ่งนั่นก็คือการเปลี่ยนฟอร์มจะเปลี่ยนจาก Retinyl Palmitate > Retinol > Retinaldehyde > Retinoic acid แต่สุดท้ายการออกฤทธิ์หลักที่ผิวต้องเป็น Retinoic acid เพราะฟอร์มนี้จะไปจับกับ Receptor ในผิวเพราะฉะนั้นฟอร์มที่ใกล้ Retinoic Acid เท่าไหร่ = ขั้นตอนเปลี่ยนฟอร์มน้อย = ออกฤทธิ์ได้เร็วและดี แต่ส่วนใหญ่เราจะสังเกตุเห็นว่าสกินแคร์ส่วนใหญ่จะใช้ในฟอร์ม Retinol มากกว่า หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมไม่ใช้ Retinaldehyde (Retinal)แทนทั้งๆที่เป็นฟอร์มที่อยู่ใกล้ Retinoic Acid ที่สุด นั่นก็เป็นเพราะการทำให้ Retinal เสถียรนั้นยาก ความเสถียรสำคัญยังไง ? ความเสถียรของตัวสาร จะทำให้เราสามารถหวังผลได้ว่าเมื่อเราทาลงบนผิวไปแล้วจะมีรูปแบบของสารที่พร้อมทำงานอยู่ในปริมาณทำให้เราสามารถหวังผลลัพธ์ได้

ในสามตัวแรกทางอย. จัดให้มีสถานะเป็นเครื่องสำอาง ซึ่งหมายความว่าไม่สามารถออกฤทธิ์ได้ทันที ต้องทาบนผิวของเราเสียก่อนต้องอาศัยกลไกในผิวเปลี่ยนให้เป็นกรดวิตามินเอจึงจะออกฤทธิ์ได้ แต่ข้อดีก็คือการระคายเคืองก็น้อยลงตามไปด้วย จึงอนุญาตให้ผสมในเครื่องสำอางได้นั่นเอง

รูปภาพ:

✨ Retinol คืออะไร? ✨

เรตินอลเป็นสารในกลุ่มเรตินอยด์ และเรตินอยด์ก็เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอ อะๆ มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะเริ่มงง เอาเป็นว่าอย่างแรกเราควรมาทำความรู้จักกับเรตินอยด์กันก่อนดีกว่าเรตินอยด์เนี่ยเป็นที่รู้จักในเรื่องการช่วยรักษาริ้วรอยได้ดี ซึ่งจากงานวิจัยกับหนูทดลองและการศึกษาทางคลินิกในช่วงกลางทศวรรษ 1980 ชี้ให้เห็นว่าเรตินอยด์มีผลทำให้การสังเคราะห์คอลลาเจนเพิ่มขึ้น และมีบทบาทสำคัญในการยับยั้งเอนไซม์ที่ทำลายคอลลาเจนในชั้นผิว ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดริ้วรอยนั่นเอง ถ้าถามว่าแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรตินอลล่ะ? บอกเลยว่าเกี่ยวเต็มๆ มาค่ะจะเล่าให้ฟัง

เรตินอลเป็นส่วนผสมในการดูแลผิวเพราะจะเปลี่ยนเซลล์ที่มีอายุมากขึ้นเพื่อให้ทำงานในลักษณะที่อ่อนเยาว์ยิ่งขึ้น ช่วยให้ผิวเรียบเนียนและปรับแต่งผิว เพิ่มความกระจ่างใสของผิวและรักษาริ้วรอย" เมื่อเรตินอลรวมอยู่ในขั้นตอนการดูแลผิวที่ป้องกันวัยช่วยเร่งการผลัดผิวเพิ่มการผลิตคอลลาเจน และลดการปรากฏตัวของริ้วรอยทำให้ผิวเรียบเนียน

รูปภาพ:

เพราะถึงแม้เรตินอยด์จะดียังไงแต่ก็มีอาการข้างเคียงต่อผิวค่อนข้างมาก เช่นทำให้ผิวแดง ผิวลอกหรืออักเสบ จึงทำให้ต้องมีการพัฒนาสารในกลุ่มนี้ให้มีอาการข้างเคียงลดน้อยลง ซึ่งก็คือพัฒนาการเปลี่ยนฟอร์มโดยจะเปลี่ยนจาก Retinyl Esters >Retinol> Retinaldehyde > Retinoic acid ตามลำดับRetinoic acid ถูกจัดให้มีสถานะเป็นยา ในขณะที่อีกสามตัวแรกตามกฎหมายถูกจัดให้มีสถานะเป็นเครื่องสำอาง ซึ่งหมายความว่าจะไม่สามารถออกฤทธิ์กับผิวได้ทันที ต้องอาศัยกลไกในผิวเปลี่ยนสภาพให้เป็นกรดวิตามินเอ จึงจะได้ผลลัพธ์ที่ส่งผลต่อโครงสร้างเซลล์ โดยการกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนหรือเซลล์ใหม่ ช่วยฟื้นฟูริ้วรอย แต่ส่วนใหญ่เราจะสังเกตเห็นว่าสกินแคร์ส่วนใหญ่จะใช้ในฟอร์ม Retinol มากกว่า เนื่องจากข้อดีก็คือการอยู่ในฟอร์ม Retinol จะทำให้การระคายเคืองน้อยลงตามไปด้วย เราจึงสามารถใช้เป็นส่วนผสมในสกินแคร์ได้ และข้อดีของสกินแคร์ก็คือสามารถใส่สารบำรุงด้านอื่นๆ จัดเต็มควบคู่ไปได้ด้วย

✨ Retinol ดียังไง? ✨

รูปภาพ:

เรตินอลมีส่วนกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน พร้อมทั้งช่วยยับยั้งเอนไซม์ที่สลายคอลลาเจนใต้ชั้นผิว

เมื่อผิวมีคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ผิวที่เหี่ยวคล้อยก็จะกระชับขึ้น ดังนั้นเรตินอลจึงมีส่วนช่วยในการลดเลือนริ้วรอยด้วย

เร่งวงจรผลัดเซลล์ผิว คือทำให้เซลล์ผลัดจากล่างขึ้นบนเร็วขึ้น ช่วยให้เซลล์ใหม่ที่สุขภาพดีกว่าขึ้นมาแทนที่เซลล์เก่าๆ ด้านบน จึงช่วยเผยผิวใหม่ที่ดูกระจ่างใสและเรียบเนียนขึ้น

✨ วิธีใช้ Retinol ✨

เนื่องจากเรตินอลเป็นส่วนประกอบที่ค่อนข้างแรงจึงมีข้อควรระวังในการใช้ถ้าเราใช้ไม่ถูกวิธีหรือใช้ถี่เกินไป ก็อาจจะทำให้ผิวแห้ง ผิวแดงหรือลอกได้มาดูกันว่าเราควรเริ่มใช้เรตินอลยังไงกันเลย

แนะนำว่าควรเริ่มที่เปอร์เซ็นต์ต่ำๆ ใช้อย่างค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปเนื่องจากเมื่อเราเริ่มใช้เรตินอลครั้งแรกต้องใช้เวลาให้ผิวได้ปรับตัวไม่อย่างนั้นอาจเกิดอาการต่างๆ ตามมา และควรตามด้วยมอยส์เจอไรเซอร์เพื่อช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิวและลดอาการระคายเคืองควบคู่ไปด้วย

ถ้าหากใช้เปอร์เซ็นต์ต่ำๆ แล้วไม่ระคายเคือง สามารถค่อยๆ เพิ่มความเข้มข้นได้

เรตินอลสามารถทำให้ผิวไวต่อแสงแดด เพราะฉะนั้นต้องอย่าลืมทาครีมกันแดดกันน้า

หากมีอาการแพ้ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ทันที และคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการใช้เด็ดขาด

✨ ใช้ Retinol คู่กับ Benzoyl Peroxide ได้ไหม? ✨

รูปภาพ:

ก่อนที่เราจะใช้สกินแคร์ซักตัว สิ่งสำคัญคือ ต้องแน่ใจว่าสกินแคร์ตัวที่เราเอามารวมกันจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผิวมากกว่าที่จะเกิดผลดีตัวที่เราจะยกมาพูดถึงในวันนี้นั่นก็คือ Benzoyl Peroxide หรือที่เรารู้จักกันในนาม ยารักษาสิวนั่นเอง บ้างก็ว่าใช้ร่วมกันแล้วจะไปลดประสิทธิภาพของกันและกัน บ้างก็ว่า Benzoyl peroxide และ Retinol จะใช้ร่วมกันได้ก็ต่อเมื่อเรตินอลเป็นแบบ ( Encapsulated ) หรือมีสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นเพิ่มเติมอยู่ด้วยถ้าถามว่าใช้คู่กันได้ไหมคำตอบคือใช้ได้แต่ซิสว่าสิ่งที่ควรต้องระวังคือการระคายเคืองที่อาจเกิดขึ้นเพราะผิวเรารับไม่ไหวโดยเราอาจจะแบ่งใช้ Benzoyl peroxideในตอนเช้าและเรตินอลในตอนเย็นแทน หรืออาจจะสลับระหว่างสองตัวเลือกนี้ก็ได้ค่ะ แต่ไม่ว่าจะยังไงสิ่งสำคัญคืออย่าลืมทากันแดดด้วยนะคะ

เหมือนที่คนเขาพูดกันว่าเวลาผ่านไปไวยิ่งกว่าจรวด! เผลอแป๊บเดียวเลขสามเลขสี่ก็เตรียมจ่อคิวอยู่รอมร่อ ใครยังช้า ปล่อยสภาพผิวเลยตามเลยต้องคิดใหม่ด่วนๆ เพราะเวลามันไม่เคยคอยใคร และผิวเราก็พร้อมที่จะเหี่ยวตามไปด้วย ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง ลองมองหาสกินแคร์ซักตัวที่มีเรตินอลเป็นส่วนผสมไว้ให้อุ่นใจ เชื่อเถอะว่ายังไงกันไว้ก็ดีกว่าแก่แน่นอนนะจ้ะ

Designer :kidasindahouse

Writer :BabyPeachy