ฮัลโหลเพื่อน ๆ
มาเมาท์มอยกันหน่อยค่าา สำหรับบทความนี้จะชวนเพื่อน ๆ สายบิวตี้มาเมาท์มอยเรื่องของสกินแคร์กันหน่อย
สกินแคร์หลายตัวมีสารสกัดที่ใช้แตกต่างกันไป ทำให้สกินแคร์ทำหน้าที่แตกต่างกันไปด้วย
บทความนี้เราจะชวนเพื่อน ๆ ไปพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องสารสกัดในสกินแคร์กัน
สำหรับสกินแคร์ที่ช่วยรักษาสิว ผลัดเซลล์ผิว ถ้าตามไปดูส่วนผสมน่าจะได้เห็นสารสกัดตระกูล HA อย่าง AHA BHA และ PHA กันบ่อย ๆ
บทความนี้เลยจะมาไขข้อสงสัยและชวนเพื่อน ๆ ไปทำความเข้าใจว่
า AHA BHA และ PHA แตกต่างกันยังไง คุณสมบัติเป็นแบบไหน และเหมาะกับผิวแบบไหนกันด้วย
ไขข้อสงสัย! AHA BHA และ PHA บำรุงผิวยังไง? เหมาะกับสภาพผิวแบบไหน?
ความแตกต่างระหว่าง AHA BHA และ PHA
ทั้ง AHA BHA และ PHA เป็นสารสกัดที่มีหน้าที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว และป้องกันการเกิดสิวได้เหมือนกันทั้ง 3 ตัว แต่จะแตกต่างกันที่การใช้ เพราะ
สารสกัดทั้ง 3 ตัวเหมาะกับสภาพผิวต่างกัน และยังมีคุณสมบัติต่างกันเล็กน้อยอีกด้วย
สารสกัด
AHA BHA และ PHA มีคุณสมบัติช่วยบำรุงผิวยังไง?
และแต่ละตัวเหมาะกับสภาพผิวแบบไหน? ลองตามไปทำความรู้จักกับสารสกัดทั้ง AHA BHA และ PHA กันต่อเลย
AHA คืออะไร มีหน้าที่ยังไง?
AHA ( Alpha Hydroxy Acids ) คือกรดผลไม้สกัดมาจากผลไม้ตามธรรมชาติที่มีฤทธิ์เป็นกรด มีหน้าที่ทำให้ผิวหนังชั้นนอกหรือชั้นขี้ไคลหลุดออกไป แล
ะทำให้เซลล์ผิวหนังเกิดการกระตุ้นให้สร้างเซลล์ใหม่ที่แข็งแรง ช่วยให้ผิวเต่งตึง เนียนนุ่ม กระจ่างใส และ AHA ยังสามารถลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ด้วย เพราะ AHA จะเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนัง
ซึ่ง AHA ไม่สามารถละลายในน้ำมันได้ เลย
ทำงานได้ดีแค่กับผิวชั้นบน อีกหนึ่งข้อควรระวังคือการใช้ AHA อาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวได้ด้วย
สภาพผิวที่เหมาะใช้ AHA
✔ เหมาะกับคนธรรมดา หรือคนผิวแห้ง
✔ เหมาะกับคนที่มีปัญหาผิวคล้ำเสียจากแดด
✔ เหมาะกับคนที่มีปัญหาจุดด่างดำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ
✔ เหมาะกับคนที่มีปัญหาเรื่องริ้วรอย
✘ ไม่แนะนำสำหรับคนผิวบอบบางแพ้ง่าย หรือคนที่เป็นสิวง่าย
BHA คืออะไร มีหน้าที่ยังไง?
BHA ( Beta hydroxy acids ) หรือกรดซาลิไซลิก ( salicylic acid ) คือสารที่สังเคราะห์มาจากธรรมชาติ
มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ ทนต่อความร้อน ไม่เสื่อมง่าย มีหน้าที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดออก ทำให้ผิวกระจ่างใส และสามารถละลายได้ดีในน้ำมัน BHA เลยสามารถทำความสะอาดผิวที่มีความมันได้ดีกว่า ช่วยทำความสิ่งสกปรก
สิ่งอุดตันรูขุมขนอย่างล้ำลึก ช่วยลดการอักเสบและอุดตันของสิว ปรับสภาพรูขุมขนให้เล็กลง และยังช่วยลดความมันได้ดี
ส่วนข้อควรระวังของการใช้ BHA คืออาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวได้ด้วย
สภาพผิวที่เหมาะใช้ BHA
✔ เหมาะกับคนผิวธรรมดา หรือผิวมัน
✔ เหมาะกับคนที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง
✔ เหมาะกับคนที่เป็นสิว มีปัญหาสิวเสี้ยน
✔ เหมาะกับคนที่มีปัญหาโรคผิวหนัง เป็นเนื้อนูน แข็ง หนา อย่างหูด ตาปลา ส้นเท้าแตก
✘ ไม่แนะนำสำหรับคนผิวบอบบางแพ้ง่าย
PHA คืออะไร มีหน้าที่ยังไง?
PHA ( Poly Hydroxy Acid ) คือกรดผลไม้ชนิดหนึ่งที่มีการปรับโมเลกุลใหม่ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น
ทำหน้าที่ผลัดเซลล์ผิวคล้าย ๆ กับ AHA และ BHA แต่ด้วยโมเลกุลที่ใหญ่กว่าเลยซึมลงสู่ผิวได้น้อยกว่า AHA และ BHA อาจทำให้ประสิทธิภาพการผลัดเซลล์ผิวลดลง เห็นผลข้า แต่ข้อดีก็คือจะก่อความระคายเคืองได้น้อยกว่า
สารสกัดตัวอื่น ๆ และยัง
มีส่วนช่วยปรับสภาพผิวให้เนียน โทนสีผิวเสมอกัน และยังคงความชุ่มชื้นให้ผิวในขณะที่ผลัลเซลล์ผิวเก่าไปด้วย
สภาพผิวที่เหมาะใช้ PHA
✔ เหมาะกับทุกสภาพผิว โดยเฉพาะผิวบอบบางแพ้ง่าย และผิวแห้ง
✔ เหมาะกับคนที่มีปัญหาผิวคล้ำจากแดด สีผิวไม่สม่ำเสมอ มีรอยด่าง
✔ เหมาะกับคนที่มีปัญหาจุดด่างดำ ฝ้า รอยแผลเป็น
✔ เหมาะกับคนที่มีปัญหาผิวหนังอักเสบ หยาบกร้าน มีริ้วรอย
ทำความเข้าใจ AHA BHA และ PHA
มาแล้ว
พอจะรู้แล้วว่าสารสกัดแต่ละตัวคืออะไร แตกต่างกันยัง และเหมาะกับสภาพผิวแบบไหน
คราวนี้เวลาจะเลือกสกินแคร์เราคงไม่หยิบมั่ว ๆ ซั่ว ๆ มาใช้แล้วแน่นอน และสารสกัดตระกูล HA เหล่านี้เป็นสารสกัดที่มีฤทธิ์
เลยมีข้อควรระวังในการใช้อยู่ด้วย นอกจากระวังเรื่องอาการระคายเคือง สารสกัด AHA BHA และ PHA ไม่ควรใช้ร่วมกับวิตามินซี
ที่เป็นกรดเหมือนกัน เพราะจะทำให้ผิวอาจจะลอกและบางลงได้ด้วยค่า ใครจะเลือกใช้สกินแคร์ตัวไหนลองดูส่วนผสมกันให้ละเอียดกันอีกทีน้า