รูปแบบความรัก เอาจริงๆ แล้ว มันมีหลายรูปแบบมากๆ เพื่อนๆ เคยได้ยินทฤษฎีนี้มั้ย Invisible string theory เส้นใยความสัมพันธ์ที่แอบซ่อนไว้ อย่างรู้มั้ยว่ามันเป็นยังไง วันนี้เราจะพาเพื่อนๆ ไปทำความรู้จักกับทฤษฎีนี้กันค่ะ เอาจริง พอพูดถึงเรื่องทฤษฎีทีไร เรื่องวิทย์ๆ เข้าแทรกเข้ามาในหัวสมองทุกที แต่ไม่ใช่นะ เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ค่ะ เอาเป็นว่า เราไปทำความรู้จักกับเส้นใยความสัมพันธ์ที่ว่านี้กันเลยดีกว่า

Invisible string theory คืออะไร

คือถ้าอธิบายตามหลักของฟิสิกส์ มันอาจจะยากไป เพราะเราก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่ในหลักของความสัมพันธ์ Invisible string theory ถ้าจะให้แปลเป็นไทย ทฤษฎีนี้ ก็คงหมายถึง ทฤษฎีด้ายแดง นั่นเองค่ะ

ถ้าพูดถึง ด้ายแดงแห่งโชคชะตาแล้ว เราคงคิดถึงคำว่า พรหมลิขิต มาเป็นอย่างแรก และเรามักจะเห็นทฤษฎีด้ายแดงบ่อยๆ ตามซีรีส์ อนิเมะ ที่มักจะเป็นจุดเชื่อมโยงของตัวละครคู่พระนางให้มาบรรจบกัน พอรู้แล้วนี้แล้ว มันช่างโรแมนติกเหลือเกิน ว่ามั้ย!?

รูปภาพ:

Invisible string theory ทฤษฎีด้ายแดง จุดกำเนิดของโชคชะตา

ด้ายแดงแห่งโชคชะตา มีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน ส่วนตัวเคยอ่านนิยายจีนมาเยอะ เทพที่กำหนดให้คนสองคนรักกัน ก็คงจะเป็นผู้เฒ่าจันทรา การที่คนสองคนได้มาพบกัน เพราะมีผู้เฒ่าจันทราคอยหมุนกรงล้อแห่งโชคชะตาให้ทั้งคู่ได้มาประสบพบเจอ

แต่ในความเป็นจริงแล้ว ด้ายแดงแห่งโชคชะตา ในภาษาจีนเรียกว่า紅线 หรือ หงเชี่ยนซึ่งในตำนานกล่าวว่า หนุ่มสาวที่ถูกเทพเจ้าที่ชื่อว่า月下老 เยว่เชี่ยเหลาหรือผู้เฒ่าแห่งจันทราเป็นผู้กำหนดโชคชะตาให้คนมาคู่กัน โดยจะมีเชือกสีแดงที่มองไม่เห็นผูกอยู่ที่ข้อเท้าของแต่ละฝ่าย ไม่ว่าจะห่างกันไปไกลแค่ไหน แต่วันหนึ่งก็จะต้องกลับมาหากันแบบไม่มีอะไรกั้น !

นอกจากประเทศจีนแล้วที่ญี่ปุ่นก็มีความเชื่อเรื่องด้ายแดงเหมือนกันแต่ต่างกันตรงที่ที่ญี่ปุ่นจะผูกด้ายแดงไว้ที่นิ้วก้อย และความเชื่อเหล่านี้ ก็ถูกส่งต่อมาเป็นทอดๆ กลายเป็นความเชื่อ ที่หลายๆ คนพูดถึงมาจนถึงทุกวันนี้นั่นเอง


ตำนานเนื้อคู่กันตั้งแต่ชาติปางก่อน ที่เกี่ยวพันกับทฤษฎีด้ายแดง

ตำนานเรื่องด้ายแดงนั้น เป็นตำนานที่มีการเล่าต่อๆ กันมา ว่ากันว่า มีชาย หญิงคู่นึง รักกันมาก แต่ไม่สามารถครองคู่กันได้ ก่อนที่ทั้งคู่จะจากกันไป เลยขอพรต่อเทพ ขอให้ชาติหน้า ได้กลับมาคู่กันอีกครั้ง และจำกันได้ แม้จะเห็นกันเพียงแค่แวบเดียว โดยให้ทั้งคู่มีด้ายแดงผูกไว้ที่นิ้วก้อย โยงไปถึงนิ้วก้อยของอีกฝ่าย หลังจากที่มาเกิดใหม่ พอได้พบหน้ากันแล้ว เพียงเสี้ยววินาที ก็จะรู้สึกคุ้นเคย เหมือนรู้จักกันมานาน รู้สึกผูกพัน ราวกับความเป็นเนื้อคู่กันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน

รูปภาพ:

เปิด 5 ปัจจัยสำคัญของทฤษฎีด้ายแดง ที่เชื่อว่าเขาคนนั้นคือเนื้อคู่

1. แม้จะคุยกับแค่แป๊บเดียว แต่ก็รู้สึกเหมือนรู้จักกันมานาน

อย่าว่าแต่ต่างประเทศเลย เราเองที่เป็นคนไทยก็เคยมีความเชื่อเกี่ยวกับ ทฤษฎีด้ายแดง เหมือนกัน ความเชื่อที่ว่าคนเราทุกคนมีด้ายแดงที่ผูกติดอยู่กับใครอีกคนมาตั้งแต่ชาติปางก่อน ด้วยจิตวิญญาณที่เชื่อมไว้ด้วยกัน เพียงแค่ได้พบเจอและคุยกันแค่ครั้งแรก ก็รู้สึกเหมือนว่าเคยเจอกันมาก่อน เป็นความรู้สึกที่ว่าไม่เคยเป็นกับใครมาก่อนเลยนะ กับคนคนนี้เรากลับรู้สึกว่า คุ้นเคย ดูเข้ากันได้ดี แม้จะเจอกันครั้งแรกก็ตาม


รูปภาพ:

2. ถูกชะตาอย่างบอกไม่ถูก

ถ้าเป็นผู้ใหญ่ที่พูดว่าถูกชะตากับเด็ก อาจจะหมายถึงรู้สึกเอ็นดู แต่ถ้าเป็นผู้ชายกับผู้หญิงที่เจอกันแค่แวบแรกก็รู้สึกถูกชะตา มันจะเป็นอะไรไปได้ นี่เค้าเรียกว่า พรหมลิขิตชัดๆ คนบางคนอาจจะไม่ได้ตั้งใจ ที่จะเป็นมิตรและเข้ากันได้ดีกับอีกฝ่าย แต่ไม่รู้ทำไม หลังจากที่ได้เจอกันบ่อยเข้า ก็ทำให้รู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมกับเขาอย่างไม่รู้ตัว รู้ตัวอีกที ก็กลายเป็นความรักไปแล้วซะงั้น


3. คิดในสิ่งที่เหมือนกัน

ว่ากันว่า ความสัมพันธ์แบบด้ายแดง จะทำให้คนสองคนเข้าใจซึ่งกันและกัน ไม่ว่าอีกฝ่ายจะคิด หรือจะรู้สึกอะไร ก็จะเข้าใจไปซะหมด รู้มั้ยว่าคนญี่ปุ่น มีความเชื่อว่า ความสัมพันธ์แบบด้ายแดงนั่น มักจะทำให้คนสองคนมีความคิดในสิ่งที่คล้ายกัน พูด คิด หรือชอบอะไรที่เหมือนๆ กันซึ่งเป็นไปเองตามธรรมชาติ ไม่ใช่การฝืนใจทำ ซึ่งมันส่งผลให้ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่เติมเปี่ยมไปด้วยความสุข และสนุกที่ได้แลกเปลี่ยน พูดคุยกันด้วย


รูปภาพ:

4. มีภูมิหลังที่คล้ายคลึงกัน

ว่ากันว่าคนที่มีสายสัมพันธ์ได้แดงส่วนใหญ่ มักจะมีภูมิหลังวัยเด็กที่คล้ายกัน เพื่อนๆ อาจจะงงว่า อะไรที่คล้ายกัน ก็อย่างเช่น มีกิจกรรมและงานอดิเรกที่ชอบคล้ายกัน อาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมและมีโครงสร้างครอบครัวที่คล้ายกัน อะไรแบบนี้ และถึงแม้ไลฟสไตล์จะต่างกันในปัจจุบัน แต่ก็ให้ความรู้สึกที่เหมือนกันในบางมุม พูดไปอาจจะเข้าใจยาก ของแบบนี้มันเป็นสิ่งที่ ถ้าเกิดขึ้นกับเรา เราจะรู้สึกได้เอง โดยที่ไม่จำเป็นต้องมาฟังหรืออ่านคำอธิบายใดๆ


5. ความสัมพันธ์ด้ายแดง ส่งผลให้คนสองคนมีจิตสัมผัสที่สื่อถึงกันในเวลาเดียวกัน

เคยมั้ยที่ต้องอยู่ห่างกับเขา แต่พอรู้สึกคิดถึง เรากลับได้ยินข่าวคราวของเขาเสมอ เรียกว่า จังหวะมันพอดีเป๊ะ! เช่นคิดอยากเจอ ก็ได้เจอ คิดอยากโทรหา เขาก็โทรมาก่อน เป็นต้น ให้ฟีลแบบสองใจเชื่อมถึงกัน เป็นความรู้สึกที่ไม่ต้องพยายามทำเพื่อที่จะให้ได้มันมา แค่ปล่อยไปตามธรรมชาติ อยู่เฉยๆ สิ่งดีๆ ความรู้สึกดีๆ ก็วิ่งเข้ามาหาเราแล้ว


รูปภาพ:

ทำยังไงเราถึงจะได้เจอด้ายแดงของตัวเอง

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่อยู่เฉยๆ แล้วเนื้อคู่ก็มาปรากฏตรงหน้า ถึงว่าคุณเป็นคนที่โชคดีมาก เพราะในความเป็นจริงแล้วการไม่ขวนขวายหาใครสักคน อาจจะทำให้โอกาสที่เราจะได้เจอเนื้อคู่ลดลงไปด้วย สุดท้ายรู้ตัวอีกทีผมอาจจะหงอกแล้วนะ เพราะฉะนั้นแค่อยากเจอใครสักคน ที่เข้ากันได้ เพื่อนๆ ก็ต้องออกไปหาเอาเลยซิค่ะ!


วิธีการออกไปตามหาเนื้อคู่ของเราไม่ยากค่ะ

  • อย่าเอาตั้งหน้าตั้งตารอแต่คู่แห่งโชคชะตา จนปิดกั้นตัวเองจากคนอื่นๆ การเปิดใจให้ตัวเองได้ลองเรียนรู้และทำความรู้จักกับคนหลายหลายคน อาจจะช่วยเปิดโอกาสให้เราได้เจอคนที่ใช่มากกว่าก็ได้นะ
  • หาเองไม่ได้ ก็ผ่านเพื่อนสิคะ ลองออกไปสังสรรค์ ลองให้เพื่อนแนะนำใครสักคนให้รู้ลองทำอะไรใหม่ รู้จักกับคนใหม่ๆ วิธีนี้ก็จะช่วยเปิดโอกาสทำให้เราได้เจอกับคนที่ใช้มากขึ้นเช่นกัน
  • ไม่คบกับเขาเพียงเพราะผลประโยชน์การที่เราคบกับใครซักคนนึงเพียงเพราะผลประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่จะทำให้เรามีความสุขได้อย่างแท้จริง การหลอกตัวเองว่ามีความสุขไปกับวัตถุนิยมต่างๆ เหล่านั้น ท้ายที่สุดแล้วก็จะมีแต่ความเจ็บปวด จอมปลอมและสุดท้ายความสัมพันธ์นั้นก็อาจจะจบลงในที่สุด เพราะฉะนั้นการได้รักกับใครสักคนมันจะต้องเริ่มต้นจากความรักที่เป็นความรักจริงๆ ความรักที่ไม่มีเรื่องผลประโยชน์ การหลอกลวง ความเห็นแก่ตัวเข้ามาครอบงำ นี่แหละเค้าเรียกว่าความสัมพันธ์ในทฤษฎีด้ายแดงที่จะทำให้คุณรู้สึกได้ถึงความสุขอย่างแท้จริง

รูปภาพ:

สรุปInvisible string theory หรือ ทฤษฎีด้ายแดง

ในความรู้สึกของเราการที่ใครสักคนได้พบเจอกับคู่ที่เป็นคู่แข่งโชคชะตาจริงๆ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีนะ แต่ท้ายที่สุดแล้วเราก็ไม่สามารถประเมินได้เลยว่า ความสัมพันธ์ของคนสองคนจะดีหรือร้าย สุดท้ายแล้วมันก็ต้องใช้เวลา ต้องค่อยๆ เรียนรู้กันไปคนบางคน ต่อให้เป็นเนื้อคู่กัน แต่เมื่อวันหนึ่งที่เรามาอยู่ในจุดที่มันไม่ใช่ สุดท้ายความสัมพันธ์นั้นก็อาจจะจบลงก็ได้ ฉะนั้นเราไม่มีทางรู้เลยว่าความสัมพันธ์ของเรากับเขาตอนจบมันจะเป็นยังไง สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดก็คือ ปัจจุบันให้ดีที่สุด เพื่อนๆ ไม่จำเป็นที่จะต้องพยายามตามหาด้ายแดงของตัวเองหรอคะ แค่ได้เจอคนที่ใช่ อยู่ด้วยแล้วมีความสุข เข้าใจซึ่งกันและกัน เท่านี้ก็น่าจะพอแล้วล่ะ


รูปภาพ:

เป็นยังไงกันบ้างตอนนี้เข้าใจ Invisible string theory ทฤษฎีด้ายแดง กันแล้วรึยัง มันก็เป็นความสัมพันธ์ที่มองด้วยตาก็คงไม่เห็น แต่ถ้าวันนึงได้เจอกับตัวก็คงจะรู้สึกได้ ก็หวังว่าเพื่อนๆ ทุกคนจะตามหาด้ายแดงของตัวเองเจอเร็วๆ นะ หรือถ้าตามไม่เจอก็ไม่เป็น หาคนที่อยู่ด้วยแล้วแฮปปี้ ก็โอเคแล้ว ความรักที่ไม่ต้องพยายามมาก นั่นแหละความสุขค่ะ


สำหรับวันนี้ต้องลาไปก่อนแล้ว บ๊ายบาย

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ