1. SistaCafe
  2. ความเชื่อหลอกเด็ก รวมเรื่องเล่าวัยเด็ก ที่โตมาแล้วรู้ว่าไม่ใช่อย่างที่คิด !
div-gpt-ad-1738652799410-173874485

เอ๊ะ บ่อยมาก เอาจริงๆ ตอนเด็กๆ เวลาแม่หลอกอะไร ถามว่า กลัวมั้ย ก็กลัวนะ แต่มันก็จะมีจังหวะเอ๊ะ จริงมั้ย แว๊บเข้ามาในหัวตลอด พอเราเริ่มโตขึ้น ก็อ่อเลย ว่าสิ่งที่ผู้ใหญ่พูดๆ หลอกเรา มันไม่ใช่ ! วันนี้เรารวม ความเชื่อหลอกเด็ก ที่คิดว่าจริง แต่พอโตขึ้นแล้ว กลับไม่ใช่ มาแชร์ให้เพื่อนได้ได้ดูกัน แล้วลองนึกตามดูว่า มีเรื่องไหนบ้าง ที่เพื่อนๆ เคยโดนหลอก งั้นเราลองไปเช็กลิสต์ดูกันเลยดีกว่าค่ะ


👻🖤👻🖤👻🖤👻🖤👻🖤👻🖤👻🖤👻


ความเชื่อ คืออะไร ?

ความเชื่อ คือ ความมั่นใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นข้อพิสูจน์ถึงสิ่งที่มองไม่เห็น ความเชื่อไม่ได้เกิดขึ้นกับแค่ประเทศไทยเท่านั้นนะ แต่ทุกๆ ประเทศล้วนมีความเชื่อเป็นของตนเองค่ะ ซึ่งถ้าเรามีความเชื่อเกิดขึ้น แม้ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องจริง หรือไม่เป็นจริง ก็ไม่เป็นไร เพราะการมีความเชื่อ ทำให้เราสามารถตระหนักรู้ได้ ในทางกลับกัน ก็อย่าหลงเชื่อ จนหลงลืมความจริงที่เป็นอยู่ด้วย



👻🖤👻🖤👻🖤👻🖤👻🖤👻🖤👻🖤👻


รวม 10 ความเชื่อหลอกเด็ก ที่โตมาแล้วรู้ว่าไม่ใช่อย่างที่คิด !


ความเชื่อหลอกเด็ก เรื่องที่ 1 แม่ซื้อ

ตำนานเกี่ยวกับแม่ซื้อ เป็นเรื่องที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า เป็นเรื่องจริง หรือเรื่องหลอก เพราะในอดีตจนถึงปัจจุบัน ก็ยังคงมีความเชื่อนี้อยู่ ตามตำนานความเชื่อดั้งเดิมของคนไทยโบราณ และได้รับการถ่ายทอดมาจนถึงปัจจุบันที่เกี่ยวกับเด็กทารก ก็คงจะหนีไม่พ้นกับคำว่า "แม่ซื้อ"





แม่ซื้อ หมายถึง เทวดา หรือผีที่คอยดูแลรักษาเด็กทารก เชื่อว่าเด็กทุกคนที่เกิดมาต้องมีแม่ซื้อประจำวันเกิดคอยดูแล เพื่อปกปักรักษาไม่ให้เด็กเจ็บไข้ได้ป่วย ซึ่งความเชื่อของแต่ละพื้นที่ ก็มีความเชื่อเกี่ยวกับแม่ซื้อแตกต่างกันออกไป ไม่ใช่แค่ปกปักรักษา แต่ก็มีบ้างที่เล่าลือกันว่า แม่ซื้อคือ ผีที่มีจิตใจริษยา และอาจทำให้เด็กไม่สบายได้ ซึ่งแต่ละภาคในประเทศไทย ก็มีความเชื่อเรื่องแม่ซื้อ ที่แตกต่างกันด้วย


ความเชื่อเกี่ยวกับแม่ซื้อ ของแต่ละภาคในประเทศไทย

อย่างที่เราบอกเลยค่ะว่า ในแต่ละภาคของประเทศไทยนั้น มีความเชื่อเรื่องแม่ซื้อเหมือนกัน แต่แตกต่างกัน แต่ละภาคมีความเชื่อเรื่องแม่ซื้อไม่เหมือนกัน ต่างกันที่มุมมอง ซึ่งวันนี้เรารวมมาให้เพื่อนๆ ได้ดูกันแล้ว จะมีความเชื่อแบบไหนบ้าง ลองไปดูกันค่ะ

🖤 ภาคกลางและภาคเหนือ มีความเชื่อคล้ายๆ กันว่า มีแม่ซื้อทั้งหมด 7 นาง ที่คอยดูแลทารกตามวันเกิด ดังนี้




  • วันอาทิตย์ ชื่อว่า “วิจิตรมาวรรณ” มีหัวเป็นสิงห์ มีผิวกายสีแดง
  • วันจันทร์ ชื่อว่า “วรรณนงคราญ” มีหัวเป็นม้า มีผิวสีขาวนวล
  • วันอังคาร ชื่อว่า “ยักษบริสุทธิ์ มีหัวเป็นมหิงสา (ควาย)" ผิวกายสีชมพู
  • วันพุธ ชื่อว่า "สามลทัศ” มีหัวเป็นช้าง ผิวกายสีเขียว
  • วันพฤหัสบดี ชื่อว่า “กาโลทุกข์” มีหัวเป็นกวาง มีผิวกายสีเหลืองอ่อน
  • วันศุกร์ ชื่อว่า “ยักษ์นงเยาว์” มีหัวเป็นโค ผิวกายสีฟ้าอ่อน
  • วันเสาร์ ชื่อว่า “เอกาไลย์” มีหัวเป็นเสือ ผิวกายสีดำ ทุกตนทรงอาภรณ์ (เสื้อผ้า) สีทอง

🖤 ภาคใต้ ชาวบ้านมีความเชื่อว่า "แม่ซื้อ" เป็นสิ่งเร้นลับ จะมีฐานะเป็นเทวดาหรือภูตผีก็ไม่ปรากฏชัด ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงของทารกตั้งแต่แรกเกิดจนอายุ 12 ขวบ มีด้วยกัน 4 ตนเป็นผู้หญิงชื่อ ผุด ผัด พัดและผล

🖤 ภาคอีสาน ได้รับอิทธิพลเกี่ยวกับแม่ซื้อจากเขมร จึงมีความเชื่อว่า แม่ซื้อคือ แม่คนเก่า ที่มีหน้าที่สร้างทารกในครรภ์ขึ้นมา และคอยเลี้ยงดูเด็กในครรภ์จนกระทั่งคลอด แล้วก็ยังตามมาดูแลด้วยความรัก เรียกว่า มนายเดิม หรือ มนายสะโนน ซึ่งแม่ที่กล่าวถึงนี้เป็นผีพราย แม่ผีพรายนี้เมื่อเห็นเด็กทารกมีแม่ใหม่ก็เกิดความหวงแหน อยากได้ลูกกลับไปอยู่เมืองผีกับตน จึงดลบันดาลให้เด็กเกิดอาการเจ็บป่วย เป็นต้น

สรุปแล้ว แม่ซื้อคือ เรื่องจริงหรือไม่ เรื่องนี้ไม่สามารถพิสูจน์ได้ค่ะ เป็นความเชื่อ ที่มีมาแต่โบราณ เมื่อเด็กเกิดมา ก็จะมีพิธีกรรมรับขวัญเด็ก ส่วนใหญ่มักเป็นไปเพื่อความสบายใจ และมีความสวยงามทางอารยะธรรม ปัจจุบันความเชื่อเรื่องแม่ซื้อไม่ได้มีอิทธิพลเท่าในอดีตแล้ว เพราะการรักษาแต่โบราณ ถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีและวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ทันสมัย คนส่วนใหญ่ จึงไม่ค่อยนึกถึงพิธีการใดๆ ที่เกี่ยวกับแม่ซื้ออีก แต่มีมักจะหยิบมาพูดกันจนติดปากมากกว่า เช่น เวลาเด็กน้อยเกิดอุบัติเหตุ หรือเจ็บป่วย แล้วดันแคล้วคลาด ผู้ใหญ่ก็มักจะใช้คำพูดที่ว่า " เพราะเด็กมีแม่ซื้อคุ้มครอง " ก็แค่นั้นเอง



🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤



ความเชื่อหลอกเด็กที่ 2 ห้ามเล่นซ่อนแอบตอนกลางคืน

ความเชื่อ : เรามักจะได้ยินผู้ใหญ่พูดเสมอว่า ห้ามเล่นซ่อนแอบตอนกลางคืน เดี๋ยวผีลักซ่อน เวลาได้ยินอะไรแบบนี้ต้อนยังเด็ก ก็จะรู้สึกกลัวมากๆ พอเวลาใกล้จะหกโมงเย็น ก็จะเลิกเล่นทันที เพราะกลัวว่าจะมีเพื่อนคนใดคนนึงโดนผีบัง แล้วหาไม่เจอ นอกเหนือจากคำบอกเล่าของผู้ใหญ่แล้ว ยังมีหนังหยิบความเชื่อนี้มานำเสนออยู่หลายเรื่องด้วย หนึ่งในเรื่องที่เราเคยดู แล้วกลัวมากก็คือ คนเห็นผี 10 มีฉากที่ตัวละครไปเล่นซ้อนแอบกันในป่า แล้วมีคนนึงโดนผีบัง สุดท้ายหาไม่เจอ กลายเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต ก็ยิ่งตอกย้ำเข้าไปอีกว่า ความเชื่อนี้เป็นเรื่องจริง!

ความจริง : การที่ผู้ใหญ่พูดว่า “ห้ามเล่นซ่อนแอบตอนกลางคืน เดี๋ยวผีลักซ่อน” แท้จริงแล้ว มันเป็นแค่กลอุบายค่ะ เป็นแค่สิ่งที่ผู้ใหญ่พูดเพื่อให้เด็กกลัวเท่านั้น เพราะไม่อยากให้เด็กไปเล่นซนยามค่ำคืน ด้วยกลัวว่า เด็กๆ จะหลงทาง และไม่ปลอดภัยได้ อาจจะโดนลักพาตัว โดนสัตว์ร้ายทำร้าย แล้วคนมาช่วยไม่ทัน จนอาจถึงแก่ชีวิตได้





ความเชื่อวัยเด็ก เรื่องที่ 3 ห้ามนอนกินไม่งั้นจะเป็นงู

ความเชื่อห้ามนอนกินไม่งั้นจะเป็นงู เป็นความเชื่อหลอกเด็ก ที่ได้ยินหลายครั้ง แต่ไม่ได้บ่อยมาก ความเชื่อนี้ อาจจะไม่ได้ทำให้เด็กกลัวมาก หากผู้ใหญ่ไม่พยายามอธิบายให้เด็กเข้าใจ เราว่า คงมีเด็กหลายๆ คนที่ตั้งคำถามว่า แค่นอนกิน มันจะไปกลายเป็นงูได้ยังไง เพราะงั้นผู้ใหญ่จึงมีการขยายความคำกล่าวนี้ เพื่อให้เด็กเกิดความกลัว ด้วยการพูดเสริมเข้าไปอีกว่า ไม่ได้เป็นชาตินี้ เดี๋ยวนี้ แต่เป็นชาติหน้า เกิดใหม่ชาติหน้าเอ็งจะกลายเป็นงู เพราชาตินี้เอ็งนอนกิน พอได้ยินแบบนี้ เด็กหลายๆ คน ก็เกิดความหวาดกลัวขึ้น

ความจริง : การที่พ่อแม่ห้ามไม่ให้นอนกินนั้น ชาติหน้าจะเป็นงูมั้ย ไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ เลยก็คือ มันเป็นอุบายอย่างนึง ที่พ่อแม่จะให้เพื่อตักเตือนลูกว่า ไม่ให้นอนกินอาหาร หรือขนม เพราะกลัวว่าลูกจะเสียนิสัย และติดนิสัยขี้เกียจได้ ที่สำคัญคือ การนอนกินนั้น มันเสี่ยงที่อาหารจะติดคอ และก่อให้เกิดอันตรายได้ด้วย



🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤



ความเชื่อวัยเด็กที่ 4 ห้ามเอานิ้วชี้รุ้งกินน้ำ

ความเชื่อ : ตอนเด็กๆ ได้ยินผู้ใหญ่พูดบ่อยมากว่า ห้ามเอานิ้วชี้รุ้งกินน้ำ ไม่งั้นนิ้วจะกุด บางคนบอกว่า รีบเอานิ้วจิ้มก้นแล้วเอามาดมเลย แก้เคล็ด เชื่อมั้ยว่า ตอนนั้นร้องเอ๊ะหลายรอบมาก! ความเชื่อนี้ โบราณว่าไว้ว่า รุ้งกินน้ำ เกิดจากการแสดงอิทธิฤทธิ์ของเทวดา า เพื่อให้ผู้คนได้ชมเพื่อความสวยงาม การชี้รุ้งถือว่าเป็นการลบหลู่ เชื่อว่าจะทำให้นิ้วนั้นๆ กุด

ความจริง : รุ้งกินน้ำ ไม่ได้เกิดจากเทวดาองค์ใดทั้งนั้น แต่เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นหลังฝนตก เมื่อแสงแดดวิ่งลอดผ่านละอองน้ำในอากาศ จะทำให้สีต่างๆ ในแสงเกิดการหักเหขึ้นเป็นแถบ จนเกิดเป็นรุ้งกินน้ำแบบที่เราเห็นนั่นเองค่ะ ส่วนความเชื่อที่ว่า ชี้แล้วนิ้วจะกุดนั้น ก็ไม่เป็นความจริงค่ะ ที่จริงแล้ว มันเป็นแค่อุบายของคนโบราณ เพราะหลังฝนตก เด็กๆ จะชอบออกมาวิ่งเล่นกัน ประกอบกับเป็นช่วงเวลาที่มีรุ้งกินน้ำด้วย ถ้าเกิดชี้นิ้วขึ้นฟ้า อาจจะทำให้เกิดอันตรายได้ เช่น นิ้วจิ้มตากันได้ หรือแขนอาจจะไปโดนเพื่อนคนอื่นได้ เป็นต้น





ความเชื่อผิดๆ ในวัยเด็ก เรื่องที่ 5 ห้ามร้องเพลงตอนกินข้าว

ความเชื่อ : ตอนเด็กๆ เวลากินข้าว แล้วเผลอร้องเพลง แม่ตีเลยนะ แล้วจะชอบพูดว่า อย่างร้องเพลงตอนกินข้าว เดี๋ยวจะได้แฟนแก่ ความเชื่อนี้ ก็ยังเป็นเรื่องที่หลายๆ คนหยิบมาพูดกันเยอะมากๆ จนมันจะกลายเป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว!

ความจริง : พอเราโตขึ้น แม่ถึงค่อยมาเฉลยว่า ที่ไม่ให้ร้องเพลงกินข้าว ไม่ใช่ว่าจะได้แฟนแก่ แต่จริงๆ แล้ว ถ้าเรากินข้าวไป ร้องเพลงไป อาจทำให้สำลักอาหารได้ อีกอย่างนึงคือ มันเสียมารยาทด้วย เดี๋ยวน้ำลายกระเด็นลงอาหาร แถมยังเป็นการก่อกวน สร้างความรำคาญให้กับคนอื่นๆ ด้วย



🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤



ความเชื่อในวัยเด็กที่ 6 เวลากลางคืนได้ยินเสียงอะไรอย่าร้องทัก

ความเชื่อ : ตั้งแต่เด็ก จนตอนนี้โตแล้ว ผู้ใหญ่ก็ยังพูดอยู่เสมอว่า เวลากลางคืนได้ยินเสียงอะไรอย่าร้องทัก หรือถ้าได้ยินใครมาเรียก ก็ห้ามขานรับเด็ดขาด ไม่อย่างนั้น ของมันจะเข้าตัวได้ พอได้ยินแบบนั้น ก็กลัวซิค่ะ ซึ่งว่ากันว่า ในอดีตมีความเชื่อว่า มีคนเล่นของเยอะ และคนเหล่านั้นชอบปล่อยของ และลองของกันตอนกลางคืน ทำให้อาจเกิดเสียงต่างๆ ขึ้นได้ เพราะฉะนั้นตอนดึกๆ ถ้าได้ยินเสียงแปลกๆ หรือเสียงใครเรียกชื่อ ห้ามขานรับ ไม่งั้นของอาจจะเข้าตัว ทำให้เจ็บป่วยได้นั่นเอง

ความจริง : ความเชื่อนี้ เป็นอีกหนึ่งอุบายของคนโบราณที่จะสอนให้มีสติ และป้องกันอันตรายในยามค่ำคืน ที่มีแต่ความืดมิด มองอะไรไม่เห็น จึงไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เวลาได้ยินเสียงอะไรที่ดังอยู่นอกบ้าน อย่างร้องทัก ให้คอยมอง คอยสังเกต มีสติอยู่ตลอดเวลา พิจารณาก่อนว่านั่นเป็นเสียงอะไร เป็นเสียงคน คนดีหรือคนร้าย เสียงสัตว์ธรรมดาหรือสัตว์ร้าย เป็นต้น ทั้งนี้ที่ต้องเอาเรื่องผีสางมาอ้าง ก็เพื่อจะได้เกิดความกลัวและระมัดระวังเท่านั้นเอง





ความเชื่อหลอกเด็กที่ 7 ห้ามเล่นเงาตอนกลางคืน ผีจะมาเล่นด้วย

ความเชื่อ : อีกหนึ่งความเชื่อโบราณ ที่เด็กๆ หลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินกันมาบ้าง กับความเชื่อที่ว่า ห้ามเล่นเงาตอนกลางคืน ไม่งั้นผีจะมาเล่นด้วย เราเองก็เป็นคนนึง ที่เคยได้ยินมาเหมือนกัน ซึ่งความเชื่อนี้ เป็นความเชื่อที่เตือนได้ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่เลยค่ะ เพราะเชื่อกันว่า จะทำให้ภูตผี วิญญาณร้ายบริเวณ ณ ที่แห่งนั้น มองเห็นเราได้จากเงา และจะเข้ามาก่อกวน ทำร้ายให้เกิดอาการเจ็บป่วย หรือทำให้เกิดเหตุร้ายกับตัวเราได้ นอกจากนี้ ยังมีอีกความเชื่อว่า หากเด็กคนไหนเล่นเงา วิญญาณร้ายจะนำเงาของเด็กคนนั้นไปไว้ที่อื่น จนทำให้พ่อแม่ของเด็กไม่สามารถมองเห็น และนำอันตรายมาสู่เด็กได้ ความเชื่อนี้ เป็นอีกหนึ่งความเชื่อที่น่ากลัวไม่แพ้ความเชื่ออื่นๆ เลยค่ะ

ความจริง : ที่คนโบราณ หรือผู้ใหญ่ห้ามไม่ให้เราเล่นเงาตอนกลางคืนนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กเสียขวัญ เพราะเมื่อเด็กๆ เล่นเงาตัวเองในตอนกลางคืนแล้ว ก็อาจเก็บเอาไปคิด จนเอาไปฝันร้ายได้ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เด็กนอนผวา หรือร้องไห้ตอนกลางดึกได้ ร้ายแรงหน่อย ก็มีบ้างที่เด็กบางคน อาจจะเกิดอาการหวาดกลัว จนทำให้เด็กเจ็บป่วยไม่สบายก็เป็นได้



🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤



เรื่องเล่าหลอกเด็ก ที่ 8 ห้ามผิวปากตอนกลางคืน เพราะเหมือนเป็นการเรียกผี

ความเชื่อ : อีกหนึ่งความเชื่อที่ได้ยินมาบ่อยมาก ห้ามผิวปากตอนกลางคืน เพราะเหมือนเป็นการเรียกผี เคยดูหนังเรื่อง Low Season สุขสันต์วันโสด มีการนำความเชื่อเรื่องห้ามผิวปากตอนกลางคืนมาพูดถึงด้วย นอกจากนี้ ในหมู่ของคนชอบเดินป่า การผิวปากตอนกลางคืนก็เป็นข้อห้ามด้วย เพราะฉะนั้นความเชื่อนี้ ไม่ได้มีไว้แค่สำหรับเด็กๆ เท่านั้น แม้แต่ผู้ใหญ่ ก็ยังเชื่อและทำตาม ซึ่งความเชื่อว่า ไม่ควรผิวปากตอนกลางคืน นั้น กล่าวคือ การผิวปากในเวลากลางคืนอาจเป็นการเรียกดวงวิญญาณผีสางนางไม้ อีกทั้งยังสามารถเรียกคุณไสยมนต์ดำต่างๆ เข้ามาหาตัวได้

ความจริง : ในความเป็นจริงแล้ว ที่ห้ามไม่ให้ผิวปากตอนกลางคืน เพราะมันเป็นการส่งเสียงดังทำให้เกิดความรำคาญ และบ้านสมัยก่อนก็เป็นป่า เป็นเขา เป็นทุ่ง หากส่งเสียงผิวปากอาจเหมือนเป็นการเรียกพวกสัตว์ร้ายได้ แค่นั้นเอง แต่ที่ต้องอ้างผีสางนางไม้ไว้ก่อน ก็เพื่อทำให้เกิดความกลัว และไม่กล้าทำ จริงๆ แล้วไม่ได้มีอะไรเลยค่ะ




เรื่องเล่าในวัยเด็ก เรื่องที่ 9 ห้ามกลืนเมล็ดผลไม้เข้าไป เพราะเดี๋ยวมันจะไปโตในท้อง

ความเชื่อ : ความเชื่อนี้ ตอนเด็กได้ยินแม่พูดบ่อยมาก ห้ามกลืนเมล็ดผลไม้เข้าไป เพราะเดี๋ยวมันจะไปโตในท้อง กลืนเข้าไปไม่ได้นะ เดี๋ยวรากมันจะไปโตในท้อง แล้วจะปวดท้อง ต้องผ่าออกเลยนะ เชื่อมั้ยว่า ตอนนี้กลัวมาก ไม่กล้าแม้แต่จะกินส้ม หรือผลไม้ที่มีเมล็ดเล็กๆ เลย กลัวเผลอกลืนลงท้อง

ความจริง : มันเป็นเพียงแค่อุบายเท่านั้น เพราะเด็กๆ พอกินผลไม้บางทีชอบกลืนเข้าไป ไม่เผลอ ก็ขี้เกยจคายทิ้ง ผู้ใหญ่จึงกลัวว่ามันจะเป็นอันตราย และอาจติดคอลูกหลานได้ จึงคิดอุบายนี้ขึ้นมา เพื่อให้เด็กเกิดความกลัว และระวังตัวมากยิ่งขึ้นนั่นเองค่ะ อีกนัยหนึ่งก็คือ การกลืนเมล็ดผลไม้ไม่ได้ส่งผลดีต่อร่างกายแต่อย่างใด และสามารถเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ หลอดอาหาร ไปจนถึงลำไส้ อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ เพราะงั้นผู้ใหญ่จึงใช้ความเชื่อนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกหลานเผลอกลืนเมล็ดผลไม้เข้าไปนั่นเอง


🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤



ความเชื่อหลอกเด็กที่ 10 ห้ามเล่นหมากเก็บตอนกลางคืน เพราะเดี๋ยวผีจะมาเล่นด้วย

ความเชื่อ : นี่คือหนึ่งในความเชื่อที่ผู้ใหญ่มักจะใช้หลอกเด็ก ห้ามเล่นหมากเก็บตอนกลางคืน เพราะเดี๋ยวผีจะมาเล่นด้วย หรือบางความเชื่อว่าไว้ว่า ห้ามเล่นหมากเก็บตอนกลางคืน เพราะเป็นการเอากระดูกปู่ย่ามาโยนทิ้งเล่น ในสมัยก่อนจะมีการเก็บโกฐของปู่ย่าตายายไว้ในบ้าน จึงมีความเชื่อกันว่า การเล่นหมากเก็บในบ้านนั้น ไม่ต่างอะไรกับการเก็บกระดูกคนตายมาโยนเล่นทิ้งขว้าง เป็นการไม่ให้ความเคารพคนตาย

ความจริง : ในสมัยก่อนนั้น หมากเก็บที่เด็กๆ มักนำมาเล่นกันนั้น ส่วนใหญ่ก็คือหิน ที่นำมาโยนเล่นกัน ซึ่งบ้านเรือนในสมัยก่อน จะทำมาจากไม้ การที่เด็กๆ นำหมากเก็บที่ทำจากหินมาโยนเล่นในตอนกลางคืนจะยิ่งส่งเสียงดังรบกวนผู้อื่น อีกนัยหนึ่ง ลูกหินที่นำมาโยนเล่นนั้น อาจกระทบกับพื้นไม้ จนทำให้เกิดรอยได้ เพราะงั้นในสมัยก่อนนั้นการจะเล่นหมากเก็บจะต้องเล่นกับพื้นดินและควรเล่นในตอนกลางวัน เพราะในตอนกลางคืนแสงสว่างไม่พอ เวลาโยนลูกหินอาจพลาดไปโดนคนอื่น จนทำให้เกิดอันตรายได้ด้วยนั่นเองค่ะ


👻🖤👻🖤👻🖤👻🖤👻🖤👻🖤👻🖤👻


สรุป

แม้ว่า การหยิบ ความเชื่อหลอกเด็ก ผิดๆ เหล่านี้ มาหลอกลูกหลาน เป็นเพียงสิ่งที่ผู้ใหญ่หยิบมาใช้เพื่อเป็นกุศโลบาย แต่มันก็ไม่ต่างอะไรจากการโกหก และยังเป็นการสร้างความเข้าใจผิดให้กับลูกหลานเราอีก บางความเชื่อ ที่เราคิดว่า คงไม่เป็นไร แต่ในทางกลับกัน มันอาจจะเป็นเรื่องที่ฝังอยู่ในหัวเด็ก ท้ายที่สุด เขาก็จะจำอะไรแบบผิดๆ ไป แล้วนำคำโกหกเหล่านี้ แพร่หลายออกไปในวงกว้าง ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยว่ามั้ย ความเชื่อหลอกเด็ก ที่ผู้ใหญ่ชอบพูดๆ กัน ไม่ต่างอะไรจากจุดเริ่มต้น ที่ทำให้เด็กน้อยเรียนรู้ที่จะโกหก หลอกลวง เพราะฉะนั้น พูดหยอกได้ หลอกได้ แต่ต้องแก้ความเข้าใจผิดให้กับเขาด้วย ให้เขาเข้าใจความหมายที่แท้จริงของเรื่องที่เราหยิบมาพูดด้วย  สำคัญคือ การสร้างความเชื่อผิดๆ เหล่านี้ ไม่ควรหยิบมาหยอกล้อกันบ่อยนัก เพราะมันอาจจะสร้างปมบางอย่างในใจให้กับเด็กได้ โดยที่เราไม่รู้ตัว

ในทางกลับกัน ถ้าความเชื่อไหน ที่หลอกแล้ว ไม่สร้างบาดแผล หรือปมในใจเด็ก ทั้งยังช่วยให้ลูกหลานเชื่อฟังได้ แถมยังช่วยให้เราเกิดความสบายใจ และไม่ทำให้ใครเดือนร้อน ก็ทำไปเถอะ แต่อย่างที่บอกไว้ข้างต้นว่า ถึงยังไง ก็ควรบอกถึงความหมายของความเชื่อนั้นๆ ให้ลูกหลานฟังด้วยนะคะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก : sanook, Museum Siam, stkc.go.th, theghostradioofficial, www.mangozero.com

ขอขอบคุณภาพประกอบจากเว็บไซต์ : beartai.com / reconnectwithnature.org / events.zulekhahospitals.com



👻🖤👻🖤👻🖤👻🖤👻🖤👻🖤👻🖤👻




บทความแนะนำเพิ่มเติม

เว็ปไซต์นี้ใช้คุกกี้

SistaCafe ให้ความสำคัญต่อข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เพื่อการพัฒนาและปรับปรุงเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้โดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ แสดงว่าท่านยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา และ นโยบายการใช้คุกกี้