คนทั่วไปจะมีภาษารักที่ตัวเองให้ความสำคัญอยู่มากกว่า 1 แบบ ประมาณ 2-3 แบบ แต่จะให้ระดับความสำคัญแตกต่างกัน การรู้ว่าตัวเองและคนที่เรารักรวมไปถึงคนในครอบครัวมีภาษารักแบบไหน จะช่วยให้เข้าใจกันมากขึ้น สื่อสารกันตรงตามความต้องการของกันและกัน ดังนั้นวันนี้จึงมาชวนเพื่อนๆ ชาวซิสทำความรู้จักกับภาษารักทั้ง 5 Love Language นี้ว่าคืออะไร ทำไมถึงกลายมาเป็นแนวคิดภาษารักที่จะช่วยเพิ่มมุมมองให้กับคู่รักในความรักที่แสดงออกและต้องการความรักที่แตกต่างกัน แถมยังเป็นแนวคิดที่ช่วยสานสัมพันธ์ของคู่รักให้เกิดความเข้าใจกันและกันมากยิ่งขึ้น ภาษารักทั้ง 5 จะมีแบบไหนบ้างไปดูกันเลย!
✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿
Love Languageคืออะไร ทำไมถึงกลายมาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคู่รัก ?

ต้องบอกเลยว่าที่มาของ Love Language จุดประเด็นมาจากหลายคู่รักที่มักจะพบปัญหาในความสัมพันธ์ที่ไม่ตรงกันทำให้รู้สึกว่าตนไม่ถูกรัก ซึ่งเริ่มจากที่คู่รักบางคู่มีการโพสต์ปรึกษาผ่านโซเชียลในกลุ่ม หรืออาจจะแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่ไม่ได้ให้อีกฝ่ายรับรู้ ปรึกษาและบอกเล่าปัญหาต่างๆ ในความสัมพันธ์จนทำให้สมาชิกในกลุ่ม หรือบุคคลอื่นที่ผ่านมาเห็นได้เริ่มให้คำแนะนำสำหรับความสัมพันธ์และชี้แนะไปถึงคำว่า “Love Language” จนกลายมาเป็นแนวคิดและการเพิ่มมุมมองในรูปแบบความรักกันมากขึ้นนั่นเอง แล้วคำว่า “Love Language” มาจากไหน ทำไมคำนี้ถึงมาช่วยเปลี่ยนมุมมองในความสัมพันธ์ของคู่รักหลายคู่ให้เข้าใจกันมากขึ้น
" ไม่ใช่รักเราไม่เท่ากัน เราแค่บอกรักคนละภาษา"

ในปี ค.ศ.1992 นักเขียนและนักให้คำปรึกษาชาวอเมริกา ‘แกรี่ แชปแมน (Gary Chapman)’ ผู้ให้คำปรึกษาด้านความรักและความสัมพันธ์เป็นเวลามากกว่า 25 ปี ได้เขียน หนังสือชื่อ The Five Love Languages ซึ่งเป็นหนังสือขายดีเล่มหนึ่งที่กล่าวถึงคอนเซ็ปต์ของ ‘ภาษารัก’ ที่ได้ช่วยให้คู่รักเรียนรู้การแสดงความรักของตัวเอง และรับรู้ถึงความรักที่อีกฝ่ายส่งกลับมาให้เนื่องจากแกรี่ได้ใช้เวลาหลายปี เพื่อสังเกตและจดบันทึกพฤติกรรมของคู่รักที่เข้ามาขอคำปรึกษาจากเขา และก็เห็นว่า คู่รักมักจะเกิดความเข้าใจผิดซึ่งกันและกัน เพราะพวกเขามีความต้องการในการแสดงความรักและรับรู้ถึงความรักที่แตกต่างกัน จนในที่สุดหลายคู่ก็จบลงด้วยความขัดแย้งรุนแรงถึงขนาดตัดขาดความสัมพันธ์ นอกจากนี้ยังเกิดจากที่ส่วนใหญ่มีการสื่อสารระหว่างสองคนที่ไม่เข้าใจกัน อาจเกิดจากความผิดพลาด และการเข้าใจความหมายที่ไม่ตรงกันจนทำให้สร้างรอยร้าวในความสัมพันธ์ขึ้น
แกรี่จึงสรุปออกมาได้ว่า การสื่อสารระหว่างความสัมพันธ์ หรือภาษารักนั้นเมื่อเกิดความเข้าใจที่ดีขึ้นแล้ว ก็ถือเป็นตัวกำหนดทิศทางของความรักอีกอย่างหนึ่ง ที่จะทำให้แต่ละฝ่ายในความสัมพันธ์เข้าใจและสามารถแปลความหมายได้อย่างตรงกัน เพื่อที่จะได้เรียนรู้และเข้าใจตัวเองและคู่รักว่า แต่ละคนนั้นมีวิธีสื่อสารความรักแบบไหนเข้ากันได้หรือไม่ นอกจากนั้นการกระทำและพฤติกรรมประจำตัวของแต่ละคนที่สื่อในเรื่องความรักนั้นเราทุกคนต่างมีรูปแบบภาษาทั้งภาษาพูดและภาษากายที่แตกต่าง เพื่อแสดงออกให้อีกฝ่ายเข้าใจและรับรู้ได้ว่าเรานั้นมักจะแสดงความรักอย่างไรในความสัมพันธ์ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม หากเปรียบเทียบเพื่อให้มองเห็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้น ความรักก็เหมือนภาษาที่เราใช้พูดในชีวิตประจำวัน คนที่พูดภาษาเดียวกันย่อมเข้าใจความหมายตรงกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าคนที่พูดคนละภาษาจะไม่มีความเข้าใจกันเลย อาจจะพอเข้าใจได้บ้างแต่คงอาจจะไม่ทั้งหมด ส่วนคนที่พยายามเรียนรู้ภาษาอื่นๆ เท่ากับเป็นการเพิ่มความเข้าใจในภาษานั้นๆ
แชปแมนจึงได้มุมมองและเปลี่ยนมาเป็นแนวคิดภาษารัก “Love Language” เพื่อนำมาสำหรับใช้ให้กับคู่รักเพื่อที่จะได้เข้าใจและสื่อสารได้ตรงกัน เพราะวิธีที่แต่ละคนแสดงความรักออกมานั้นมีความแตกต่าง ซึ่งแบ่งออกมาได้ทั้งหมด 5 รูปแบบด้วยกันดังนี้
✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿
5 Love Language ช่วยให้คู่รักเข้าใจกันมากขึ้น

Words of Affirmation (สื่อสารผ่านคำพูด)
ภาษารักที่สื่อสารผ่านถ้อยคำ คำพูด รวมทั้งการส่งข้อความให้อีกฝ่ายเป็น message ซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องที่มีแต่คำบอกรักอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงการพูดในเรื่องที่สร้างความสุข พลังงานบวกให้กับคนรักด้วย เพราะการพูดจาที่ดีต่อกันเป็นเหมือนพลังอำนาจที่จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ได้เพียงการพูดไม่กี่คำ โดยการแสดงความรักผ่านคำพูด เช่น คำบอกรัก คำชื่นชม คำยกย่อง หรือคำพูดให้กำลังใจ เพราะบางคนชอบที่จะได้ยินว่าอีกฝ่ายรู้สึกยังไงกับตนเอง ดังนั้นจะรู้สึกดีใจมากเมื่อคนรักชื่นชมหรือบอกรัก
Quality Time (การได้ใช้เวลาร่วมกัน)
การแสดงความรักผ่านการใช้เวลาร่วมกัน บางคนจะรู้สึกถูกรักเมื่ออีกคนแสดงออกว่าอยากอยู่ด้วยกัน แต่พวกเขาไม่ได้ต้องการปริมาณหรือจำนวนชั่วโมงในการอยู่ด้วยกันมากนัก เพราะเวลาเป็นสิ่งมีค่าจึงอยากจะขอทุ่มเทเวลาเพื่อคนสำคัญอย่างเต็มเปี่ยม และยังถือเป็นสิ่งยืนยันความรักที่มอบให้ หากแต่ต้องการช่วงเวลาที่มีคุณภาพมากกว่าไม่จำเป็นต้องตัวติดกันตลอดเวลา เช่น เมื่อได้อยู่ด้วยกันแล้ว ก็ต้องอยู่ให้คุ้ม ปิดมือถือแล้วใช้เวลาด้วยกันอย่างคุ้มค่า ดังนั้นการที่พวกเขาจะรู้สึกว่าตนเองถูกรัก ก็คงจะมาจากการที่อีกคนแสดงออกว่าอยากฟังหรือสนใจในสิ่งที่เขาพูดหรือทำมากกว่า เป็นช่วงเวลาพิเศษและมีความหมายต่อความสัมพันธ์มากๆ
Acts of Service (การทำบางสิ่งบางอย่างให้)
คนที่ชอบสื่อสารภาษารักแบบนี้ จะเชื่อว่า การกระทำนั้นบางครั้งสำคัญกว่าคำพูด พวกเขาอาจจะไม่ได้มาคอยบอกรักหรือชื่นชมคุณด้วยคำพูดหวานๆ แต่พวกเขาจะคอยช่วยเหลือแบ่งเบาภาระเล็กๆ น้อยๆ ที่เป็นความรู้สึกอาสาทำให้ด้วยความเต็มใจ เช่น ช่วยทำงานบ้าน ทำอาหารให้กิน การขับรถไปส่ง อาสานวดให้คุณเมื่อคุณบ่นว่าเมื่อย เป็นต้น ภาษารักแบบนี้ยังรวมไปถึงการให้คำแนะนำ หรือพยายามช่วยแก้ปัญหาเวลาที่คุณมีปัญหาและเขาสามารถช่วยเหลือคุณได้
Physical Touch (การสัมผัสทางร่างกาย)
การแสดงออกที่หลายคนๆ คุ้นชินหรือที่เรียกกันว่า skinship นั่นเอง การแสดงความรักผ่านการสัมผัสตัว ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการมีเซ็กซ์อย่างเดียวเท่านั้น แต่หมายถึงการกอด จับมือ หอมแก้ม โอบไหล่ หรือลูบหัว เป็นต้น คนที่มีภาษารักแบบนี้ชอบที่จะได้ใกล้ชิดกับคนที่รัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องการตัวติดกันตลอดเวลาเสมอไป รวมไปถึงการปลอบโดยการสัมผัสโดยแตะที่ไหล่เบาๆ ในขณะรู้สึกเศร้าเสียใจก็ทำให้สามารถรู้สึกดีขึ้นได้ หรือการตีเบาๆ เพื่อหยอกล้อกันของคู่รักก็ทำให้รู้สึกดีได้เช่นเดียวกัน
Receiving Gifts (ผ่านการให้ของขวัญ)
การให้ของขวัญ หรือ สิ่งของเล็กๆ น้อยๆ หรือ ของฝากต่างๆ ในโอกาสพิเศษ หรือเดินเจอของถูกใจก็ซื้อมาฝาก เพราะการได้รับของขวัญนี้ แสดงถึงความคิดถึงกัน นึกถึงกัน และการเป็นคนสำคัญของกันและกัน ภาษารักด้วยของขวัญนี้ไม่ได้แปลว่าคนกลุ่มนี้เป็นพวกวัตถุนิยม เพราะสิ่งสำคัญมันไม่ใช่แค่เรื่องราคา แต่เป็นคุณค่าทางใจที่รู้สึกนึกถึงคนพิเศษจึงนำมามอบให้กัน และคนที่มีภาษารักแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าจะรับอย่างเดียว แต่คนกลุ่มนี้ก็มักจะชอบซื้อของขวัญให้คนที่รักเช่นกัน
✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿
แบบทดสอบLove Language ภาษารักเราคืออะไร ?

สำหรับบางคนอาจจะไม่รู้ว่าตัวเองต้องการความรักแบบไหนแล้วมานั่งน้อยใจและเสียเวลาของความไม่เข้าใจตัวเองเปล่า ดังนั้นเพื่อให้เราสามารถสำรวจตัวเองและเริ่มที่ตัวเองว่าต้องการความรักแบบไหน ใน 5 Love Language นี้กัน เพื่อเป็นการรู้ถึงความต้องการจนนำไปสื่อสารกับคนรักไม่ให้เสียเวลาในความสัมพันธ์ของการเข้าใจกัน ดังนั้นวันนี้จึงมาเสนอเว็บไซต์สำหรับสำรวจตัวเองใน 5 Love Language กัน เพื่อสำรวจตัวเองว่าเรามีความต้องการภาษารักแบบไหน โดยเว็บไซต์นี้จะแสดงผลลัพธ์เป็นเปอร์เซ็นต์ให้ดูว่าเรามีความต้องการส่วนไหนหรือเท่าไหร่ ซึ่งสามารถส่งเว็บไซต์นี้ให้กับคู่รักของเราได้เพื่อเป็นการนำไปแลกเปลี่ยน และสร้างความเข้าใจกันมากยิ่งขึ้นว่าต่างคนชอบภาษารักแบบไหน หรือต้องการการถูกรักแบบไหน
แบบทดสอบ Love Language : https://5lovelanguages.com/quizzes/love-language
▲ ▲ ▲ ▲ ▲ ▲ ▲ ▲
เป็นเว็บไซต์ฟรี ที่ให้เราสามารถเข้าไปลองเล่น ลองทดสอบ โดย สามารถเลือกความสัมพันธ์ได้หลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นแฟนหรือครอบครัว ซึ่งมีคำถามทั้งหมด 30 ข้อ โดยคำถามจะเป็นคำถามเดิมๆ แต่คำตอบจะค่อนข้างแตกต่างและตรงไปตรงมา โดยจะแสดงผลลัพธ์ออกมาเป็น % รู้ว่าเราอยู่ในภาษารักแบบไหน สามารถเข้าไปลองเล่นได้
หรืออีกวิธีคือ การสำรวจตัวเองให้มากๆ ลองสังเกตว่าเมื่อคู่รักทำแบบไหนให้แล้วเราชอบเราพอใจแบบนี้รู้สึกว่าตัวเองถูกรักตลอดเวลา แล้วสังเกตอีกฝ่ายว่ามีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อเราแสดงออกแบบนั้นออกไป แต่สิ่งที่ดีการจับเข่าคุยกันก็ถือว่าเป็นตัวเลือกในการเคลียร์ใจได้อย่างรวดเร้วและรู้ความต้องการของกันและกันมากขึ้นได้
✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿
วิธีปรับใช้ Love Languageกับความรัก

เมื่อรู้ตัวเองและคนรักมีภาษารักแบบไหนในความสัมพันธ์ ซึ่งแต่ละคนอาจจะมีภาษารักมากกว่า 1 รูปแบบก็ได้ แต่การรู้จักภาษารักทั้ง 5 แบบนั้นก็จะช่วยให้เราเข้าใจและไม่เป็นการคาดหวังกับอีกฝ่ายจนกดดันกันเกินไป เพราะความสำคัญของ love language คือการเข้ามาช่วยให้คู่รักสามารถปรับความเข้าใจและเข้าหากันด้วยภาษารักที่เป็นตัวเองและยังทำให้มีความสุขในความสัมพันธ์ ยกตัวอย่างวิธีปรับใช้ love language ในภาษารักทั้ง 5 รูปแบบ
- Words of Affirmation (สื่อสารผ่านคำพูด) : บอกรักกันและเปลี่ยนมาใช้คำพูดเชิงบวกที่ทำให้คนรักรู้สึกดี โดยการพูดที่จะแสดงออกไปนั้นไม่ควรให้เขารู้สึกว่าเรารักเขาโดยที่ไม่ต้องพูดอะไร รวมไปถึงการใช้คำพูดเชิงลบที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกแย่ ไม่เคยบอกขอบคุณ ชื่นชม หรือซึ้งใจกับความพยายามของคนรักเลย
- Quality Time (การได้ใช้เวลาร่วมกัน) : หาเวลาอยู่ด้วยกันให้คุ้มค่า ลองวางแผนไปเที่ยวที่ใหม่ๆ ด้วยกัน พยายามสร้างโมเมนต์ที่ดีและเปิดใจพูดคุยกันทุกเรื่องอย่างเอาใจใส่ โดยช่วงเวลานั้นอย่าพยายามคิดเรื่องอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวกับคนรักหรือพูดถึงเวลาที่ใช้ด้วยกันในทางที่ไม่ดี
- Acts of Service (การทำบางสิ่งบางอย่างให้) : มองหาสิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกสบายขึ้น อย่างเช่น การช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การไปรับ-ไปส่ง การช่วยแบ่งเบาภาระในบ้าน หรือรวมถึงปัญหาต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม และไม่ควรแบ่งแยกตัดสินเรื่องต่างๆ จากเพศสภาพ
- Physical Touch (การสัมผัสทางร่างกาย) : สัมผัสกันบ้างอาจจะกอด หรือการโอบกอดให้ความรู้สึกอบอุ่นเมื่ออยู่ใกล้ หรือนวดให้อีกฝ่ายเมื่อรู้สึกเมื่อย เป็นต้น และควรมองหาเวลาเมื่อต้องห่างไกลและเมื่อมีโอกาสใกล้ชิดกันพยายามแสดงออกเพื่อความสนิทใกล้ชิดมากขึ้น
- Receiving Gifts (ผ่านการให้ของขวัญ) : เมื่อมีวันสำคัญต่างๆ เช่น วันเกิด วันครบรอบ ลองมองหาของขวัญที่จริงใจให้กัน โดยห้ามใช้ทัศนคติว่าเป็นความจำเป็นต้องให้ของขวัญ ซึ่งไม่ได้อาจมาด้วยใจแต่เป็นความจำยอมหรือจำเป็น
✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿
สรุป
การที่จะรู้ว่าคนที่เรารักมี Love Language หรือภาษารักแบบไหน คือการพูดคุยอย่างเปิดใจกัน แต่มันอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทุกคน บางคนอาจจะขี้อายบางคนอาจกลัวว่าการคุยจะกลายเป็นการทะเลาะกัน ลองใช้วิธีส่งบทความนี้ให้คนที่คุณรักเป็นการเปิดบทสนทนาก็ได้ และสำหรับคนที่ไม่มั่นใจว่าตัวเองมีภาษารักแบบไหนก็มีแบบทดสอบออนไลน์ฟรีให้ได้ลองทำกันด้วย สามารถลองเข้าไปสำรวจตัวเองหรือจะส่งให้คนรักด้วยก็จะยิ่งช่วยเข้าใจกันมากขึ้น ถ้าเมื่อรู้ว่าตัวเองต้องการแบบไหนอย่าลืมนำมาแชร์กับคู่รักตัวเองเพื่อให้เข้าใจและสื่อสารได้ตรงกัน จะได้ไม่มานั่งน้อยใจและมาคิดเองว่าคนรักไม่รักเราแล้ว ขอให้ความรักของทุกคู่ราบรื่นจากการเข้าใจด้วยภาษารักที่แตกต่างกันด้วยนะคะ Have a nice day ค่าาา
ขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล : BECOMMON, ทรูปลูกปัญญา
ขอบคุณรูปภาพประกอบทั้งหมดจาก : Freepik
บทความอื่นๆ ที่แนะนำ

สกินชิพยังไงให้แฟนหลงรัก '5 วิธีการสกินชิพ' แบบคู่รักเกาหลี จำแล้วนำไปใช้! | บทความของ belfry | SistaCafe ครบเครื่องเรื่องบิวตี้
https://sistacafe.com/summaries/%E0%B8%AA%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B9%81%E0%B8%9F%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81-5-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%9E-%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%80-id-27608

Triangular theory of love ทฤษฎีสามเหลี่ยมความรัก จริงๆ แล้วความรักคืออะไร ? | บทความของ ManooFK | SistaCafe ครบเครื่องเรื่องบิวตี้
https://sistacafe.com/summaries/triangular-theory-of-love-212840

Bridgerton แกะรอยพร้อมเรียนรู้มุมมองความรักและความสัมพันธ์ ซีซั่น 1-3 | บทความของ belfry | SistaCafe ครบเครื่องเรื่องบิวตี้
https://sistacafe.com/summaries/Bridgerton-201687

รักกันแต่ไปต่อไม่ได้ ชวนทอล์กปัญหาความรักยอดฮิต เจอแบบนี้ต้องทำยังไง? | บทความของ belfry | SistaCafe ครบเครื่องเรื่องบิวตี้
https://sistacafe.com/summaries/202016

รวมศาสตร์มู ทริคเสริมดวงความรักให้แข็งแกร่ง ตามความเชื่อศาสตร์ต่างๆ | บทความของ SIS TALK | SistaCafe ครบเครื่องเรื่องบิวตี้
https://sistacafe.com/summaries/superstition-of-love-93419