1. SistaCafe
  2. ทำไมฉีดฟิลเลอร์แค่หนึ่งจุด หน้าถึงเปลี่ยน ? สวยเหมือนพระเจ้าปั้น

เคยสงสัยไหมคะชาวซิสว่าทำไมอยู่ ๆ เพื่อนก็ดูสวยขึ้นแบบไม่ทราบสาเหตุ ทั้งที่หน้าก็ยังเหมือนเดิมนะ แต่ก็แบบ เอ๊ะ ทำไมดูสวยขึ้นแบบผิดหูผิดตาล่ะ ดูละมุนเนียนนี หน้าเป๊ะ ผิวฟูอิ่มสุด ๆ อยากจะบอกว่าความลับนางฟ้ามีจริงนะคะ! ซึ่งความลับที่ว่าก็คือ " การฉีดฟิลเลอร์ " หัตถการที่ทำแล้วสวยเป๊ะ แต่ไม่โป๊ะ ดูสวยขึ้นแต่ไม่มีใครดูออกชัดว่าไปทำอะไรเพิ่มมานั่นเอง

พอได้ยินคำว่าหัตถการหลายคนอาจจะกังวลไปก่อนแล้วว่าน่ากลัว ทำแล้วเจ็บแน่นอนล้านเปอร์เซ็นต์ แต่มันก็ต้องมีเหตุผลสิ ที่หลายๆ คนยอมเจ็บ ยอมเสียหายหลายบาทเพื่อลงทุนกับหัตถการนี้ แต่จะเป็นเพราะอะไรกันน้าา งั้นเอางี้ค่ะ... เรามาทำความรู้จักเจ้าฟิลเลอร์กันให้มากขึ้นดีกว่า

การฉีดฟิลเลอร์คืออะไร?



พอเราอายุมากขึ้น แน่นอนว่าก็มีสิ่งที่ต้องแลกไปด้วยอะเนอะ ซึ่งสิ่งนั้นก็คือ ผิวเปล่งปลั่ง ที่ไม่ว่าจะสารต่างๆ ใต้ผิวหรืออย่างคอลลาเจนเองก็จะค่อยๆ ลดจำนวนลงไป จนทำให้ผิวเราค่อยๆ เหี่ยวย่นลง และฮีโร่ที่จะมาช่วยปลุกให้ผิวเราฟื้นคืนชีพ กลับมานุ่มตึงได้เหมือนเดิมก็คือเจ้า " ฟิลเลอร์ "  นั่นเอง โดยการฉีดฟิลเลอร์จะเป็นการรักษาริ้วรอย ร่องลึกต่าง ๆ บนใบหน้า ด้วยการฉีดสารเติมเต็มอย่าง Hyaluronic Acid (HA) เข้าไปเติมแทนที่ในชั้นผิวที่เริ่มเสื่อมสภาพ หรือยุบตัวลง เค้าเลยช่วยให้ผิวหน้าเรากลับมาเรียบเนียน เต่งตึง ผิวเด้งดึ๋ง เหมือนหน้าเด็กลงไป 5 ปีอะไรแบบนั้น

ฟิลเลอร์เป็นสารสังเคราะห์ที่มีความปลอดภัยสูง สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติและก่อให้เกิดอาการแพ้น้อย นี่แหละเลยเป็นสาเหตุที่ทำให้เค้าฮอตฮิตในช่วงนี้สุดๆ แถมจริงๆ แล้วในผิวของมนุษย์เราเองก็มี Hyaluronic Acid ด้วยเหมือนกันนะ เพียงแค่พอเราแก่มากขึ้น ปริมาณเค้าก็เลยลดไปเรื่อย ๆ เราก็เลยได้ใช้ตัวฟิลเลอร์สังเคราะห์นี่แหละมาเพิ่มปริมาณเข้าไปแทนที่ส่วนที่มันขาดหาย และช่วยเติมพื้นที่ให้ผิวเหี่ยวๆ กลับมาเต่งตึงได้เหมือนเดิม

หรือถ้าใครยังไม่เก็ท ซิสให้ลองจินตนาการนึกถึง ล้อรถยนต์ ที่ผ่านการใช้งานมานานๆ ยางมันก็ต้องมีฟีบกันไปบ้างใช่มั้ยล่าา ฟิลเลอร์ก็เลยเหมือนลมที่เราสูบเพิ่มเข้าไปในล้อ เพื่อให้ล้อกลับมาแน่น สภาพการใช้งานกลับมาดีเหมือนเดิมนั่นเอง ลักษณะการทำงานของฟิลเลอร์ก็เป็นแบบนั้นเลยค่ะ คือ เติมเพื่อให้เต็ม ผิวกลับมาเด้งไม่เหี่ยวย่น


อะไรที่ทำให้เทรนด์การฉีดฟิลเลอร์บูม?

ส่วนนึงที่การฉีดฟิลเลอร์เป็นที่นิยมหรือบูมมาก ๆ ก็เพราะว่ามันเป็นหัตถการที่ทำแล้วเห็นผลทันทีหลังฉีด หน้าเปลี่ยนหรือมีมิติขึ้นได้ทันที เจ็บน้อย แทบไม่มีรอยแผล ไม่ต้องรอพักฟื้นนานๆ เหมือนการศัลยกรรม ไม่ต้องรอผิวสมานนานเป็นเดือนๆ เหมือนเครื่องยกกระชับ และอีกอย่างคือเค้าก็มีความปลอดภัยสูงเพราะเป็นกรดไฮยารูลอนิก สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ

แต่อีกส่วนนึงที่ก็ต้องยอมรับเลยว่าแทบจะเป็นปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้ฟิลเลอร์ฮิตแบบตู้ม เติดระแบดมากก ก็เป็นเพราะอิทธิพลจากเหล่าดาราเซเลปต่าง ๆ ที่ได้ออกมาเผยทริคความสวยจากการทำหัตถการ พอเราเห็นแล้วก็อยากเป็นคนสวยขาตามเค้าบ้าง หรือจะจากการเห็นรีวิวจากกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์ ไม่ว่าจะจากการทำเองโนสปอนหรือโดนว่าจ้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการได้เห็นรีวิวจริง มันก็ทำให้รู้สึกว่า เออ ฉีดแล้วทำให้ใบหน้าดูเปลี่ยนไป มีความดูดี อิ่มฟูมากยิ่งขึ้นได้จริงนะ แล้วยิ่งบวกกับการที่เดี๋ยวนี้อิทธิพลจากสื่อโซเชียลก็พัฒนาขึ้นมาก คอนเทนต์หัตถการก็เลยยิ่งแพร่กระจาย ส่งอัลกอริทึมไปยังหลากหลายกลุ่มมากขึ้น จากคนที่อาจจะไม่ได้เคยสนใจ พอโดนฟีดเข้าบ่อยๆ ให้ ก็เลยเริ่มอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา จนทำให้หลาย ๆ คนเริ่มศึกษาและอยากลองไปทำตามเพื่อทำให้ตัวเองดูดีและมั่นใจมากขึ้น เทรนด์การฉีดฟิลเลอร์ก็เลยเป็นที่นิยมและบูมมากขึ้นนั่นเองค่า

ทำไมแค่ฉีดฟิลเลอร์หนึ่งจุดก็ทำให้ภาพรวมทั้งหน้าดูเป๊ะขึ้นได้?

ฉีดฟิลเลอร์จุดเดียว ทำไมหน้าเปลี่ยนยังกับถูกพระเจ้าปั้น? ที่หน้าเป๊ะปังได้เบอร์นั้น ก็เพราะการฉีดฟิลเลอร์เค้าจะเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาเฉพาะจุด คือ มีจุดไหนหาย จุดไหนขาด หรือยังไม่เพอร์เฟ็คมากพอแล้วเราไปแก้ถูกจุดได้ ก็จะทำให้โครงหน้าโดยรวมดูเป๊ะขึ้นได้นั่นเองจ้า อย่างเช่น ถ้าใต้ตาโทรม ดูเหนื่อยล้า ก็จะทำให้ทั้งหน้าดูโทรมไปด้วย พอเราฉีดเสริมฟิลเลอร์เข้าไป ไม่ว่าจะหน้าแก้ม หรือช่วงใต้ตาตามการประเมินของแพทย์ ก็จะทำให้หน้าเรากลับมาสดใสขึ้น ไม่เหมือนคนอดหลับอดนอนอีกต่อไปแล้วว

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นควรจะปรึกษาแพทย์ก่อนทำเสมอนะคะ ไม่ควรประเมินด้วยตัวเองเด้อสาว เพราะคุณหมอเค้าจะเป็นคนที่รู้ว่าจุดไหนเราควรแก้ไขมากที่สุด หรือฟิลเลอร์ชนิดไหนที่ควรฉีดให้เหมาะกับส่วนนั้นๆ และถ้าไปคลินิกไหนแล้วไม่เจอหมอ แต่เจอเซลล์เป็นคนประเมินหน้าให้ นี่รีบยก Red flag ไว้ก่อนได้เลย ท่องไว้ว่าหัตถการต้องผ่านมือหมอเท่านั้น!

จุดไหนฉีดแล้วหน้าเปลี่ยนสุด คุ้มกับการเสียตังค์?


การฉีดฟิลเลอร์แน่นอนว่ามันทำให้รูปหน้าดูเปลี่ยนแปลงไปอยู่แล้ว แต่มันจะมีบางจุดที่ฉีดแล้วเห็นผลชัดสุดก็จะมีงานคางและปาก และเป็นหัตถการที่หลายคนนิยมทำบ่อย ๆ และสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงขึ้นจริง แบบที่ทำแล้วเพื่อนทักว่าทำไมสวยขึ้น แต่ก็ไม่ได้ดูออกแบบกระโตกกระตากว่าไปทำอะไรมา แต่ก็สวยขึ้นผิดหูผิดตานะเนี่ย ซึ่งที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่า

ฟิลเลอร์คาง

ฉีดคางแล้วจะช่วยทำให้โครงหน้าจะดูสมส่วนมากขึ้น ให้เราลองนึกภาพคนที่มีปัญหารูปหน้าส่วนล่างสั้น พอได้เติมฟิลเลอร์เข้าไปช่วยยืดคางให้ดูยาว หน้าส่วนล่างก็จะยาวขึ้นรับกับหน้าส่วนกลางและบน จนทำให้โครงหน้าเราเป็น Golden ratio ทีนี้รูปหน้าดูชัดขึ้น เรียวขึ้นและดูเด็กมากขึ้น จนทำให้เหมือนหน้าเปลี่ยนไปด้วย

คางแบบไหนเหมาะกับฉีดฟิลเลอร์

  • คางบุ๋ม : เนื้อคางจะมีรอยพับหรือร่องตรงกลาง ระหว่างคางสองข้างซ้าย-ขวา ถ้าฉีดฟิลเลอร์เข้าไปแล้วจะทำให้ผิวคางดูเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น
  • คางตัด : คางที่มีปลายคางเป็นทรงตัดระนาบกับพื้น เนื่องจากไม่มีกระดูกกล้ามเนื้อบริเวณปลายคาง ถ้าฉีดฟิลเลอร์เข้าไปก็จะทำให้หน้าดูเรียว ดูวี ได้สัดส่วนมากขึ้น
  • คางสั้น : คางที่ส่วนล่างดูสั้น หรือถอยเข้าไปด้านใน ซึ่งเกิดจากการผิดปกติของกระดูกคาง ทำให้ใบหน้าโดยรวมจะดูกลม ถ้าฉีดฟิลเลอร์เข้าไปก็จะทำให้คางดูยื่น หน้าดูเรียวยาวมากขึ้น

คางแบบไหนไม่เหมาะกับฉีดฟิลเลอร์

  • คางที่สั้นและถอยมากกว่า 1 ซม. : เพราะคนที่มีคางแบบนี้จะต้องเติมฟิลเลอร์ในปริมาณมากเพื่อที่จะทำให้คางยื่นออกมาสมส่วน แต่ก็แน่นอนว่าอะไรที่มันเยอะไปก็ไม่ใช่ว่าจะดีเสมอไปนี่เนอะ เพราะด้วยความที่เค้าเป็นสารเหลว พอฟิลเลอร์มันล้นเกินก็อาจจะทำให้คางไหลผิดรูป ดูห้อยต่องแต่งเหมือนหินงอกหินย้อยได้ ซึ่งบอกเลยว่าเป็นเคสที่คนมาแก้คางขูดฟิลเลอร์ออกกันเยอะมาก หรือไม่บางรายก็อาจจะคางเป็นก้อนได้ ดังนั้นคนที่มีคางสั้น คางถอยมากเข้าไปมากๆ เนี่ยจะเหมาะกับการทำศัลยกรรมคางหรือผ่าตัดเพื่อเลื่อนขากรรไกรออกมาข้างหน้ามากกว่า ซึ่งจะต้องปรึกษาไม่ใช่แค่หมอศัลกรรมน้า แต่อาจจะต้องรวมไปถึงปรึกษาคุณหมอฟันเพื่อประเมินโครงสร้างปากและขากรรไกรร่วมด้วย เพราะเป็นการผ่าตัดใหญ่ ค่าใช้จ่ายสูง และอาจมีผลข้างเคียวตามมาด้วยเหมือนกัน เรียกได้ว่ากว่าจะสวยต้องเจ็บตัวกันเยอะเลยเนอะชาวซิส😢

ฟิลเลอร์ปาก

ฝั่งงานปากก็ไม่แพ้กัน หลายคนมีปัญหากับริมฝีปากที่แตกต่างกันไป ส่วนใหญ่คนที่นิยมฉีดฟิลเลอร์ก็จะเป็นชาวปากบางหรือร่องปากลึก ซึ่งพอได้เติมฟิลเลอร์เข้าไปก็จะทำให้ปากดูอวบอิ่มมีเนื้อมากขึ้น ถ้าปากแห้งก็จะดูชุ่มชื้นมากขึ้น ปากดูยกกระชับและเป็นทรง หรือแม้แต่คนที่หน้าแบน รูปหน้าดูไม่มีมิติ การฉีดฟิลเลอร์ปากก็จะช่วยให้ปากดูโดดเด่น เป็นพอยท์ดึงดูดสายตาให้กับใบหน้าได้เหมือนกันนะ

ปากแบบไหนเหมาะกับฉีดฟิลเลอร์

  • ริมฝีปากบาง : เป็นริมฝีปากที่มีความเรียวบางมาก ๆ ไม่ค่อยมีเนื้อปาก ทำให้ดูมีความเรียบแบนและไม่มีมิติ การฉีดฟิลเลอร์จะเป็นการเพิ่มเนื้อปากให้ดูมีมากขึ้น ปากดูมีมิติและอวบอิ่มมากขึ้น ดูน่าจุ๊บที่สุด
  • ปากไม่เท่ากัน : ปากเป็นทรงผิดรูป, ปากที่ซ้ายขวาขาดความสมดุลย์หรือริมฝีปากบนล่างมีสัดส่วนไม่เหมาะสม รวมไปถึงตำแหน่งมุมปากที่ไม่เท่ากันด้วย ซึ่งอาจจะเกิดจากพันธุกรรม หรือในบางคนก็เกิดจากอุบัติเหตุได้เหมือนกัน การฉีดฟิลเลอร์เข้าไปจะช่วยทำให้มีความสมดุลของริมฝีปากมากขึ้น ทั้งยกกระชับมุมปากและขนาดให้ทั้งซ้ายขวาหรือบนล่างมีความเท่ากันด้วย
  • ปากแห้ง : ปากที่มีการลอกเป็นขุย แตก มีความแห้งดูไม่ชุ่มชื้น ร่องปากลึก การฉีดฟิลเลอร์ปากจะทำให้ริมฝีปากมีความชุ่มชื้นและดูอิ่มฟูมากขึ้น ทีนี้อยากจะทาลิปอะไรก็จัดเพิ่มได้เลยค่ะ รับรองทาแล้วตรงปก เหมือนหลุดออกมาจากปกนิตยสาร

ปากแบบไหนไม่เหมาะฉีดฟิลเลอร์

  • ปากที่มีความหนาและอวบอิ่มอยู่แล้ว ซิสขอเตือนไว้เลยว่าถ้าเราไม่ใช่ชาวสายฝอ ชอบปากเจ่อๆ แบบมาดามจือ การเติมฟิลเลอร์สำหรับคนปากประเภทนี้อาจจะพลิกวิกฤตให้เป็นหายนะได้เลยนะ เพราะจะทำให้ริมฝีปากดูหนาและอวบอิ่มมากเกินไป แทนที่เราจะไปเน้นปริมาณให้ปากใหญ่ ปากจือ ก็อาจจะเปลี่ยนไปฉีดเติมนิดๆ เพื่อเน้นความชุ่มชื้นได้ แต่ต้องปรึกษาแพทย์เพื่อความแน่ใจอีกครั้งด้วยน้า
  • ปากคว่ำ : หรือคนที่มีมุมปากค่อนข้างต่ำทำให้เหมือนคนหน้าบึ้งตลอดเวลา ถึงแม้ว่าการฉีดฟิลเลอร์จะช่วยยกมุมปากทำให้ลดการหน้าดุได้ แต่ถ้าฉีดมากเกินไปอาจจะทำให้มุมปากดูปลิ้น ดูล้น หรือยื่นเหมือนปากเป็ดได้เหมือนกัน

นอกจากนี้รูปปากจะออกมาเป็นยังไงก็ยังขึ้นอยู่ที่เทคนิกการฉีด รวมถึงฝีมือของแพทย์ได้ด้วยเช่นกัน แนะนำว่าอยากได้รูปปากแบบไหนให้ปรึกษาคุณหมอดีๆ นะคะซิส บางทีเรฟที่เราหยิบมาโชว์อาจจะไม่ได้เข้ากับรูปหน้าเราได้เหมือนกัน เดี๋ยวปากออกมาเป็นทรงมาสด้าแล้วมันจะเฟลเอานะ😢 หาตรงกลางว่าระหว่างความชอบเราและความเป็นไปได้สำหรับรูปปากกับคุณหมอคือสิ่งที่ดีที่สุด ผลลัพธ์จะได้ออกมาเริ่ด เป๊ะ ไม่โดนคนเอาไปเมาท์เด้อ

เนื้อฟิลเลอร์นี้ เหมาะกับฉีดตรงไหน?

ขึ้นชื่อว่าฟิลเลอร์เหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้เหมือนกันนะ! เพราะความอ่อน - แข็งของเนื้อฟิลเลอร์ก็มีผลต่อการฉีดจุดต่างๆ บนใบหน้าเหมือนกัน เช่น บางจุดต้องการเนื้อแข็งเพื่อคอยพยุงผิวให้ตึงเข้าไว้ หรือบางจุดอาจจะไม่ต้องแข็งอะไรขนาดนั้น แต่จะต้องยืดหยุ่นเพื่อได้ลุคที่เป็นธรรมชาติก็มีเหมือนกัน โดยฟิลเลอร์จะแบ่งเนื้อออกเป็น 3 แบบหลัก ๆ ค่ะ แต่ละเนื้อก็จะมีความพิเศษต่างกันตามนี้เลย

  • เนื้อละเอียด : เนื้อจะเป็นแบบเจล มีความบางเบาเหมือนน้ำ ช่วยแก้ปัญหาผิวที่มีปัญหาน้อยและเหมาะกับผิวบริเวณที่มีความบาง ฉีดแล้วให้ความเป็นงานผิวแบบธรรมชาติ นิยมฉีดพวกใต้ตา ร่องน้ำตา ริมฝีปาก
  • เนื้อนิ่ม : เนื้อจะเป็นแบบเจล คล้ายเยลลี่ เนื้อนุ่ม ไม่เป็นน้ำ ไม่เป็นก้อน เน้นการเติมเต็มร่องลึก เหมาะกับการฉีดเติมบริเวณหน้าผาก ขมับ ปาก แก้แก้มที่ตอบ เติมร่องแก้ม และปรับรูปหน้าอื่น ๆ ให้เป็นธรรมชาติ
  • เนื้อแข็ง : เนื้อจะมีความแข็งและคงตัวได้ดีที่สุด มีความใกล้เคียงกับกระดูก สามารถใช้ยกผิวชั้นในกระดูกได้ ทำให้ผิวดูยกกระชับ ทำให้ใบหน้าดูมีมิติ เหมาะกับฉีดใต้ตา จมูก คาง กรอบหน้า

ฟิลเลอร์ตัวไหนฉีดปากและคางแล้วปังสุด?



ฟิลเลอร์ปาก

1.e.p.t.q S300 : เหมาะกับคนที่ต้องการปรับรูปทรงปาก เนื้อจะมีความแข็งปานกลางแต่ยืดหยุ่นได้ดี ปากดูอวบอิ่ม

อยู่ได้นาน : ประมาณ 9 เดือน

ราคา : 7,900 - 9,900 บาท/CC

2.Belotero Volume : เนื้อจะมีความแน่น อยู่ทรง ช่วยเพิ่มวอลลุ่มให้ริมฝีปาก

อยู่ได้นาน : ประมาณ 12 - 18 เดือน

ราคา : 9,900 บาท/CC

3.Juvederm Volift : เนื้อจะมีความนิ่ม ทำให้ริมฝีปากมีความฟูเป็นธรรมชาติ

อยู่ได้นาน : ประมาณ 12 เดือน

ราคา : 12,900 - 18,000 บาท/CC

4.Restylane Vital light : เน้นเติมความชุ่มชื้นให้ริมฝีปาก แก้ร่องปากให้ดูอิ่มฟูขึ้น ไม่ทำให้ริมฝีปากดูหนา

อยู่ได้นาน : ประมาณ 6 เดือน

ราคา : 10,900 - 15,900 บาท/CC

5.Restylane Kysse : เป็นรุ่นที่ออกมาเพื่อฉีดและแก้ไขริมฝีปากเฉพาะ เนื้อจะมีความละเอียดแต่คงตัวได้ ฉีดแล้วขอบริมฝีปากจะดูชัดขึ้น ริมฝีปากดูชุ่มชื้นและมีความสดใส

อยู่ได้นาน : ประมาณ 12 เดือน

ราคา : 12,900 - 18,000 บาท/CC


ฟิลเลอร์คาง

1.e.p.t.q. S500 : แบรนด์เกาหลี เนื้อจะมีความแข็งแต่อยู่ทรงได้ดียังมีความยืดหยุ่นอยู่ แต่ช่วงแรก ๆ เนื้อฟิลเลอร์จะแข็งจับแล้วเป็นก้อนและบวมกว่าตัวอื่น ๆ แต่เมื่อผ่านไป 2 - 4 สัปดาห์ก็จะอยู่ทรงสวยเป็นธรรมชาติ ดูมีมิติ

อยู่ได้นาน : 12 - 15 เดือน

ราคา : 7,900 บาท/CC

2.Belotero Volume : เนื้อจะมีความแน่น อยู่ทรง ช่วยเพิ่มวอลลุ่มให้คางและเพิ่มมิติให้คางได้

อยู่ได้นาน : 18 เดือน

ราคา : 9,900 บาท/CC

3.Restylane Perlane Lyft : เนื้อจะมีความแข็ง ขึ้นรูปได้ดีมากเหมาะกับการปั้นคาง หลังฉีดอาจจะจับแล้วเจอเป็นก้อนประมาณ 2 - 3 เดือนเพราะฟิลเลอร์คงรูปได้ดี แต่ถ้าผ่านไปสักพักก็จะมีความเป็นธรรมชาติ กลืนกับผิว

อยู่ได้นาน : 12 เดือน

ราคา : 10,900 - 12,900 บาท/CC

4.Juvederm Voluma : เนื้อแข็งปานกลาง เหมาะกับการแก้คางที่งุ้มเข้าทำให้คางดูโค้งมนสวย มีมิติและมีความธรรมชาติ ฉีดไปแล้วจะไม่มีการจับแล้วรู้สึกเป็นก้อนเลยเพราะกลืนกับผิวได้ดี ไม่เคลื่อนตำแหน่งง่าย ๆ อีกด้วย

อยู่ได้นาน : 18 เดือน

ราคา : 12,900 บาท/CC

5.Juvederm Volux : เนื้อจะแข็งแต่กลืนกับผิวได้ดี ปั้นทรงคางได้ดีมาก คางที่ได้จะมีความพุ่ง มีมิติ และช่วยยกกระชับใบหน้าส่วนล่างด้วย ส่วนการจับไปแล้วรู้สึกเป็นก้อนจะเป็นแค่ประมาณ 1 เดือนและจะรู้สึกแค่นิดหน่อยเพราะเนื้อฟิลเลอร์กลืนกับผิวได้ดีอยู่แล้ว

อยู่ได้นาน : 18-24 เดือน

ราคา : 13,000 - 18,000 บาท/CC

จริง ๆ ยี่ห้อ ราคา การอยู่ได้นานมากน้อยและผลลัพธ์ที่ได้เป็นสิ่งที่เราต้องคำนึงรวมกันทั้งหมดนะคะ ส่วนตัวไหนจะเหมาะกับความต้องการของใครก็ต้องสอบถามกับทางคุณหมออีกครั้งเพื่อให้มั่นใจก่อนทำค่ะ

ใบหน้าแต่ละจุดควรฉีดมากน้อยแค่ไหน แล้วไม่ควรฉีดเกินกี่CC?

จริง ๆ มันขึ้นอยู่ที่แต่ละบุคคลและแต่ละจุดที่จะฉีด ซึ่งแต่ละคน แต่ละจุดก็จะฉีดในปริมาณที่ไม่เท่ากัน เช่น A พอจะมีเนื้อปากบ้างอยู่แล้วแต่ต้องการแก้ปัญหาร่องปากลึกก็จะฉีดปากแค่ 1CC แต่ B ปากริมฝีบางมาก อาจจะฉีดปาก 2CC ก็ได้นะคะ ทั้งนี้ทั้งนั้นจะขึ้นอยู่กับการแนะนำของคุณหมอเลย แต่ก็พอจะตอบได้พอคร่าว ๆ อยู่ว่าแต่ละจุดควรฉีดในปริมาณประมาณเท่าไหร่ โดยแบ่งออกเป็นตามนี้เลยค่ะ

  • คาง : ประมาณ 1 - 2 CC
  • ปาก : ประมาณ 1 - 2 CC
  • แก้มส้ม : ประมาณ 1 - 3 CC
  • แก้มตอบ : ประมาณ 1 - 4 CC
  • ร่องแก้ม : ประมาณ 0.5 - 1 CC
  • ร่องน้ำหมาก : ประมาณ 1 - 2 CC
  • ใต้ตา : ประมาณ 2 - 4 CC
  • ขมับ : ประมาณ 2 - 4 CC
  • หน้าผาก : ประมาณ 3 - 5 CC

ต้องบอกก่อนว่า 1CC มีปริมาณประมาณเหรียญ 1 บาทหนึ่งเหรียญนะคะ ซึ่งส่วนใหญ่ครั้งนึงเขาจะไม่ฉีดเกิน 5CC กันเพราะตัวฟิลเลอร์อาจจะไปกดทับเส้นเนื้อบริเวณนั้น ๆ จนทำให้เกิดอาการบวมได้ โดยส่วนมากจะเป็นการฉีดฟิลเลอร์หน้าผากที่บางครั้งอาจจะต้องมีการฉีดมากถึง 10CC คุณหมอจะแนะนำให้ฉีด 2 ครั้งเพื่อไม่ให้เส้นเนื้อบริเวณหน้าผากไปกดทับจนรอบดวงตาบวมนั่นเองค่ะ

ทุกคนจำเป็นต้องฉีดฟิลเลอร์จริงมั้ย?

ถ้าให้พูดกันตามความจริงเลยก็คือขึ้นอยู่กับบุคคลค่ะ เพราะจริง ๆ แล้วฟิลเลอร์จะเน้นไปช่วยแก้ไขปัญหาบนใบหน้าเพื่อให้มีความสมดุลและได้สัดส่วนมากขึ้น แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ส่งผลกับสุขภาพจนเกิดอันตรายอะไร ถ้าหากใครชอบหรืออยากทำให้มันดูสวยขึ้น สมส่วนมากขึ้นก็สามารถทำได้ตามความต้องการและงบประมาณที่เรามี แต่ไม่ทำก็ได้เช่นกันเพราะบางคนอาจจะมองว่าไม่จำเป็นกับชีวิตมากขนาดนั้นหรืออาจจะมองว่าใช้การแต่งหน้าช่วยแก้ไขปัญหาได้ ดังนั้นขึ้นอยู่กับทุกคนเลยค่ะว่ามันจำเป็นต้องทำหรืออยากจะทำมากแค่ไหน :-D

🩷🩷🩷🩷🩷🩷🩷

เป็นยังไงกันบ้างคะ ได้รู้จักกับ " การฉีดฟิลเลอร์ " ปแบบครบจบในบทความเดียวเลย เชื่อว่าหลาย ๆ คนอ่านจบก็ได้ข้อมูลไปพูดคุยและสอบถามคุณหมอเพิ่มเติมได้แบบไม่ต้องงงแล้วนะคะ สำหรับใครที่สนใจอยากจะไปฉีดฟิลเลอร์จริง ๆ ก็แนะนำว่าให้หาคลินิกเสริมความงามที่มีคุณภาพ น่าเชื่อถือ ราคาไม่ถูกมากเกินไป อาจจะหาจากรีวิวหรือสอบถามคนที่เคยทำมาก่อนก็ได้นะคะ จะได้มีความมั่นใจในการไปทำนี่นั้น ๆ มากยิ่งขึ้น เรื่องนี้อยากให้ทุกคนระวังมาก ๆ น้า ไม่อยากให้เห็นแก่ของถูกอย่างเดียว มันเป็นอันตรายต่อสุขภาพมากจริง ๆ ยอมตรวจสอบหลายรอบเพื่อความมั่นใจ ดีกว่าต้องเสียเงินรักษาผิวหน้าจากร้านไม่ได้คุณภาพนะคะ 🩷


Designer : tt.

Writer : Babypeachy, pumxpurin


ขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซต์ patchaclinic.com, vsquareclinic.com, gangnamconsult.com, megaclinicthailand.com รวมทั้งภาพปกและภาพประกอบบทความจากเว็บไซต์ etude.com, freepik.com, soompi.com


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

แนะนำบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ!

เว็ปไซต์นี้ใช้คุกกี้

SistaCafe ให้ความสำคัญต่อข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เพื่อการพัฒนาและปรับปรุงเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้โดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ แสดงว่าท่านยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา และ นโยบายการใช้คุกกี้

🔮 ดูดวงกับ SistaCafe ผ่าน Line Official !
รูปภาพสำหรับป๊อปอัพลอย:1