ทำไมเราถึงชอบคนนี้นะ?ทั้ง ๆ ที่รอบตัวก็มีคนตั้งมากมาย มีใครเคยสงสัยมั้ยคะว่ามีเหตุผลอะไรที่ทำให้เราชอบใครสักคนบ้าง?บางคนอาจตกหลุมรักใครสักคนได้ แม้ว่าจะไม่ใช่สเปกของตัวเองเลยด้วยซ้ำ หรือบางคนก็อาจชอบใครสักคนได้ โดยไม่มีข้อแม้อะไรเลยแม้กระทั่งบางคนก็อาจจะตกหลุมรักคนแบบเดิมซ้ำ ๆ แบบไม่ได้ตั้งใจอีก ซึ่งจริง ๆ แล้วในทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยา สามารถอธิบายเรื่องความรัก ความชอบ การตกหลุมรัก และกฎแห่งการดึงดูดความรักได้ ฉะนั้น วันนี้ซิสเลยอยากจะมาชวนเพื่อน ๆ มา talk มาแชร์ความรู้เรื่องเหล่านี้กันค่า อาจจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่กำลังตกหลุมรักอยู่หรือคนที่ต้องการให้คนมาตกหลุมรักก็ได้น้าา เอาล่ะ ตามไปอ่านกันเลยดีกว่าา~

รูปภาพ:

ความรักในทางวิทยาศาสตร์ เป็นยังไงกันนะ !?

ก่อนจะไปพูดถึงเรื่องจิตวิทยา หรือก็คือเรื่อง "กฎแห่งการดึงดูดความรัก" เราต้องมาพูดถึงเรื่องความรักกับวิทยาศาสตร์กันก่อน ว่าคืออะไร และในวิทยาศาสตร์ความรักเกิดขึ้นมาได้ยังไง?ทางวิทยาศาสตร์ มีการศึกษาจนค้นพบว่า ในช่วงที่เรากำลังชอบ หรือ ตกหลุมรักใครสักคน สมองของเราจะตอบสนองต่อสิ่งเร้าแตกต่างกันออกไปในทุก ๆ เรื่อง ซึ่งจริง ๆ แล้ว"การเกิดความรักจะเกิดขึ้นที่สมอง"และมักส่งผลต่อจิตใจ รวมถึงอารมณ์ความรู้สึกของเราเสมอ เฮเลน ฟิเชอร์ นักมานุษยวิทยา จากมหาวิทยาลัยรัตเกอร์ รัฐนิวเจอร์ซีย์ ได้กล่าวไว้ว่า การตกหลุมรักอะไรบางอย่างเกี่ยวข้องกับสมอง 3 ระบบที่แบ่งแยกกันชัดเจน นั่นก็คือ

ความรักในทางวิทยาศาสตร์ ระบบที่ 1 ความใคร่ ( แรงขับทางเพศ )

ความใคร่เป็นช่วงเวลาที่ทำให้เกิดความรู้สึกหลงใหลอีกฝ่าย และเกิดแรงขับทางเพศ เพราะตามธรรมชาติแล้วมนุษย์จะมีสัญชาตญาณ หรือแรงขับภายในดึงดูดซึ่งกันและกันเสมอ โดยในช่วงนี้ร่างกายจะมีฮอร์โมนทางเพศเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ ผู้ชายจะมีฮอร์โมนเพศชาย คือเทสโทสเตอโรน(Testosterone) ที่มาจากการผลิตของอัณฑะ ส่วนในผู้หญิงจะมีฮอร์โมนเพศหญิง คือเอสโตรเจน(Estrogen) ที่มาจากการผลิตของรังไข่ โดยทั้งสองมีศูนย์กลางการควบคุมอยู่ในสมองส่วนไฮโปทาลามัส ทำให้รู้สึกเขินอาย เมื่อได้มองตากันและพูดคุยกัน หรือเวลาได้เจอกันแล้ว ทำตัวไม่รู้ ตื่นเต้น หัวใจเต้นแรง

ความรักในทางวิทยาศาสตร์ ระบบที่ 2 ความหลงใหล ( การหลงรัก )

ความหลงใหลคือ ช่วงเวลาแห่งการหลงรัก หรือตกหลุมรักอีกฝ่าย ทำให้คนเราตกอยู่ในภวังค์แห่งรัก และอาจทำอะไรลงไปโดยที่ไม่รู้ตัว ซึ่งจะทำให้การใช้ชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไป บางคนมีอาการเพ้อและคิดถึงคนรักตลอดเวลา ซึ่งในช่วงนี้การทำงานของสมองจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มสารเคมีที่ชื่อว่า“โมโนเอมีน”แบ่งออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่โดพามีน(Dopamine) คือ สารแห่งความสุข ที่หลั่งออกมาเมื่อร่างกายได้รับสิ่งที่ปรารถนาฮอร์โมนเอพิเนฟรีน(Norepinephrine) หรืออะดรีนาลิน(Adrenalin) คือ ฮอร์โมนที่ทำให้ร่างกายตื่นตัว เขินอาย มีอาการหัวใจเต้นแรง เวลาที่ได้พบกับคนที่เรารักหรือชอบ และสุดท้ายเซโรโทนิน(Serotonin) คือ สารชีวเคมีที่เป็นกลไลสำคัญในการตกหลุมรัก ส่งผลต่ออารมณ์และการแสดงออกของเรา ทำให้เราอาจแสดงพฤติกรรมบางอย่างออกมาแบบไม่รู้ตัว เช่น การเผลอยิ้ม เป็นต้น

ความรักในทางวิทยาศาสตร์ ระบบที่ 3 ความผูกพัน ( ความสัมพันธ์ระยะยาว )

ความผูกพันช่วงเวลานี้มักจะเกิดขึ้นหลังจากการตกหลุมรักไปแล้ว และสองฝ่ายตกลงที่จะคบกันต่อในระยะยาว โดยสมองจะปรับเข้าสู่โหมดการสร้างความสัมพันธ์ ซึ่งจะถูกควบคุมโดยฮอร์โมนสำคัญ 2 ชนิด ได้แก่ออกซีโทซิน(Oxytocin) เป็นฮอร์โมนที่ทำให้จิตใจสงบ รู้สึกปลอดภัย โดยจะหลั่งออกมาเมื่อมีการกอด สัมผัส หรือใกล้กับคนรัก ทำให้รู้สึกถึงความผูกพัน และความเชื่อใจซึ่งกันและกัน อีกชนิดนึง คือวาโซเพรสซิน(Vasopressin) เป็นฮอร์โมนที่ช่วยให้รู้สึกผูกพันและหวงแหนกันมากยิ่งขึ้น มีบทบาทสำคัญต่อคู่รัก ส่งผลให้คู่รักปรารถนาจะใช้ชีวิตร่วมกัน

แม้ว่าความรักจะเกิดขึ้นจากปฏิกิริยาทางเคมีภายในร่างกาย และสัญชาตญาณตามธรรมชาติของมนุษย์แล้ว แต่ก็ยังมีองค์ประกอบอื่น ๆ อีกมากมาย ไม่ใช่แค่สารเคมีในร่างกายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสภาพแวดล้อม สังคม วัฒนธรรม และผู้คนที่เราพบเจออีกด้วย ฉะนั้น ต่อไปซิสจะพาไปแชร์ความรู้ในเรื่อง ความรักกับจิตวิทยา "กฎแห่งการดึงดูดความรัก" ว่ามีเหตุผลอะไรอีกบ้าง ที่ทำให้เราสามารถตกหลุมรักคนคนนึงได้

รูปภาพ:

กฎแห่งการดึงดูดความรัก เราตกหลุมรักคนอื่นเพราะอะไร !?

การมีความรักเป็นเรื่องที่ดี เพราะสามารถช่วยเพิ่มพลังงานบวกและความสุขให้กับคนเราได้ จากที่ซิสได้เกริ่นไว้ในตอนต้นว่า เคยสงสัยมั้ยการที่เราชอบใครสักคนมีเหตุผลอะไรทำไมเราถึงต้องชอบเขา ทั้ง ๆ ที่รอบตัวมีคนตั้งมากมาย จริง ๆ แล้วการตกหลุมรักนั้น เกิดจากกระบวนการทางจิตวิทยา มีงานวิจัยที่พิสูจน์พบว่าจิตวิทยาสำคัญที่ทำให้คนเรารู้สึกตกหลุมรักกันได้ นั่นก็คือ"กฎแห่งการดึงดูดความรัก"ที่เกิดขึ้นมาจากความคล้ายคลึงกันของคนสองคนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และยังรวมถึงการที่คนสองคนพบเจอกันในสถานการณ์ที่น่าตื่นเต้นมากกว่าปกติอีกด้วย จะมีเหตุผลอะไรน่าสนใจอีกบ้าง ไปดูกันเลยย

กฎแห่งการดึงดูดความรัก ข้อที่ 1 ตกหลุมรักคนที่มีความคล้ายคลึงกับเรา

เคยได้ยินประโยคที่ว่า "บางคนก็ชอบคนที่มีนิสัยเหมือนกับตัวเอง" กันมั้ยคะ ประโยคนี้สามารถอธิบายในทางจิตวิทยาได้นะ โดยนักจิตวิทยาเชื่อว่า การที่ได้พบเจอคนที่มีความคล้ายคลึงกัน มีโอกาสในการตกหลุมรักกันสูงกว่าคนที่ไม่ได้คล้ายคลึงกัน ไม่ว่าจะในเรื่องของ การใช้ชีวิตประจำวัน กิจกรรมที่สนใจ ความคิด ทัศนคติ หรือแม้กระทั่งประสบการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา เพราะสิ่งที่คล้ายคลึงกันเหล่านี้ จะเป็นตัวกลางที่เชื่อมโยงระหว่างเรากับฝ่ายตรงข้ามให้เข้าหากันได้ง่ายกว่า มีเรื่องพูดคุยและพูดคุยกันได้ลื่นไหลกว่านั้นเอง

กฎแห่งการดึงดูดความรักข้อที่ 2 ตกหลุมรักคนที่มีบุคลิกภาพเหมือนกับพ่อหรือแม่ของเรา

นอกจากความคล้ายคลึงกันในเรื่องต่าง ๆ ของตัวเรากับฝ่ายตรงข้ามที่จะสามารถสร้างแรงดึงดูดให้ตกหลุมรักกันได้แล้ว นักจิตวิทยายังเชื่อว่า เราทุกคนยังมีแนวโน้มที่จะตกหลุมรัก คนที่เหมือนกับพ่อหรือแม่ของเราได้อีกด้วย ซึ่งแนวโน้มเหล่านี้ มักจะเกิดขึ้นกับคนที่เกิดความประทับใจในตัวพ่อหรือแม่ของตัวเอง เช่น ถ้าเป็นลูกสาวที่มีพ่อนิสัยดี ซื่อสัตย์ สุภาพอ่อนโยน ก็จะพยายามเลือกคนรักที่มีนิสัยหรือบุคลิกภาพคล้ายกับพ่อของตน

กฎแห่งการดึงดูดความรักข้อที่ 3 ตกหลุมรักคนที่มีลักษณะคล้ายคนในอุดมคติ

คนส่วนใหญ่มักจะมีสเปกในฝันของตัวเอง ว่าต้องการคนรักเป็นคนแบบไหน มีรูปร่าง หน้าตา ลักษณะ และนิสัยยังไง เช่น หน้าตาดี สูง รวย นิสัยสุภาพอ่อนโยน พูดจาไพเราะ เป็นต้น ซึ่งการที่เราพบเจอใครสักคน ที่มีลักษณะโดยรวมคล้ายหรือเหมือนกับสเปกในอุดมคติที่เราตั้งไว้นั้น มีแนวโน้มสูงที่เราจะตกหลุมรักคนคนนั้น มากว่าคนที่ไม่ตรงสเปกเรานั้นเอง

กฎแห่งการดึงดูดความรักข้อที่ 4 เกลียดแบบไหนจะได้แบบนั้น

กฎแห่งการดึงดูดความรักข้อที่ 6 ทฤษฎีสะพานแขวน อยู่ในสถานการณ์ที่น่าตื่นเต้น

"เกลียดแบบไหนจะได้แบบนั้น" ถือเป็นหนึ่งในพล็อตยอดนิยมของละครดังมากมาย ทั้งในไทยและต่างประเทศ ที่พระเอกและนางเอกเคยไม่ชอบหน้ากัน เกลียดกัน มีปากเสียงกัน แต่สุดท้ายก็กลับกลายมาเป็นลงเอยกัน เป็นแฟนกันซะงั้น เป็นเพราะ กฎแห่งแรงดึงดูด ที่เราคิดว่าไม่ชอบเขา เกลียดเขาตลอดเวลา สุดท้ายก็จะดึงดูดสิ่งที่คิดให้เข้ามาในชีวิตเรา บางคนพอได้มาใกล้ชิดกันมากขึ้น ได้ทำความรู้จักกันจริง ๆ ก็พบว่าจริง ๆ แล้วเขาก็ไม่ใช่คนที่แย่เหมือนที่เราคิด ได้เห็นด้านดี ๆ ของอีกฝ่ายที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ก็ไม่น่าแปลกใจที่อยู่ดี ๆ ทำไมบางคู่ถึงเปลี่ยนจากความเกลียดกลับกลายมาเป็นความรัก และลงเอยกันในที่สุด

กฎแห่งการดึงดูดความรักข้อที่ 5 ความใกล้ชิดและระยะทางก็สำคัญ

ความใกล้ชิดและระยะทางมีผลสำคัญต่อการสานสัมพันธ์ของคนสองคน หากได้อยู่ใกล้กัน จะทำให้สามารถสานสัมพันธ์ได้ดีกว่าคนที่อยู่ไกลกัน ยกตัวอย่าง เช่น คงจะมีบางคนเคยเห็นเพื่อนที่คบกันมานาน แต่อยู่ ๆ กลับเลื่อนสถานะมาเป็นแฟนกันซะงั้น นั้นเป็นเพราะ ความใกล้ชิดสนิทสนม ทำให้มีโอกาสได้ทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่างร่วมกัน จนทำให้บางคู่เกิดความหวั่นไหวนั้นเอง

กฎแห่งการดึงดูดความรักข้อที่ 6 ทฤษฎีสะพานแขวน

"ทฤษฎีสะพานแขวน" อธิบายทางวิทยาศาสตร์ได้ว่า เป็นการตอบสนองของร่างกายคนเราต่อฮอร์โมนอะดรีนาลีน ซึ่งร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนชนิดนี้ออกมาเวลาที่รู้สึกตื่นเต้น หรือตกอยู่ในสถานะการณ์คับขัน พอเราเงยหน้ามาเจอหน้าใครที่ตกอยู่ในสถานะการณ์เดียวกัน หรือใครที่มาช่วยเราออกจากสถานะการณ์นั้น ทำให้เรารู้สึกมั่นคงขึ้น เราก็จะตกหลุมรักคนคนนั้นได้ง่ายขึ้น

รูปภาพ:

แล้วเราเหมาะกับคนแบบไหนล่ะ ?

จริง ๆ แล้วไม่มีกฏตายตัวเลยค่า เพราะแม้ว่าในทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยา กฎแห่งการดึงดูดความรักนั้น จะสามารถช่วยอธิบายกลไกพื้นฐานในการเกิดความรักได้ แต่ในความเป็นจริงนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเป็นเรื่องที่แปรผันไปตามบริบทของแต่ละคนและสังคม ดังนั้นจึงไม่อาจจะชี้เฉพาะได้ พูดง่าย ๆ ก็คือเราควรทำตามหัวใจ และใช้สมองในการคิดไตร่ตรองให้ดีว่าเขาคนนั้นเหมาะกับเรามั้ย เข้ากันได้มากน้อยแค่ไหนนั้นเอง ถ้าได้คำตอบกับตัวเองแล้วว่าเราชอบคนนี้ และน่าจะเข้ากับเราได้ดี ก็ลุยเลยย!

──────── ✦ ────────เป็นยังไงกันบ้างคะชาวซิสสส หลังจากที่ได้รู้ว่ากฎแห่งการดึงดูดความรักหรือ ความรักในทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาจะเกิดขึ้นได้ยังไงบ้าง มีข้อไหนกำลังเกิดขึ้นกับเพื่อน ๆ บ้างมั้ยเอ่ยย~ แม้ว่าความรักจะเป็นปฏิกิริยาทางเคมีที่เกิดขึ้นในสมอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า คนเราจะต้องรักกันด้วยวิทยาศาสตร์นะคะ แต่เราควรให้ความรักที่เกิดขึ้นเป็นไปตามธรรมชาติ และคำนึงถึงความถูกต้องเหมาะสมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดค่ะ สุดท้ายนี้อย่าลืมว่าก่อนจะไปรักใคร อย่าลืมหันมารักตัวเองกันด้วยนะคะ

สำหรับใครที่ต้องการหาความรู้เพิ่มเติม เกี่ยวกับทฤษฎีความรักในหลักวิทยาศาสตร์ สามารถลองดูคลิปวิดิโอด้านล่าง หรือเข้าไปดูคลิปวิดิโออื่น ๆ ได้ที่Youtube : รายการ 'Theory of Love' จากช่อง Salmon Podcastนะคะ♡♡♡


บทความแนะนำ