สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจหัตถการอย่างการฉีดวิตามินผิว เพื่อฟื้นฟูผิวหน้าและผิวกายที่กำลังเจอกับปัญหาผิวอยู่ เราแนะนำให้มาอ่านบทความนี้ก่อนดีกว่าค่ะ จะได้รู้ว่า ฉีดวิตามินผิว ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ? อันตรายไหม ? ฉีดผิวหน้าและผิวกาย เลือกแบบไหนให้ผลลัพธ์ดีสุด ?

ไขข้อสงสัย! การฉีดวิตามินผิว คือ...การฉีดตัววิตามินต่างๆ ที่มีประโยชน์ต่อผิวเข้าไปในร่างกายผ่านทางเส้นเลือด เพื่อให้ร่างกายสามารถดูดซึมวิตามิน แล้วนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็วและเห็นผลได้ไวกว่าการทาน โดยตัววิตามินที่ถูกใช้ในการฉีดผิวส่วนใหญ่จะเป็นพวกวิตามินซี, วิตามินอี, วิตามินบี 3, แมกนีเซียม และคอลลาเจนเป็นต้น

การฉีดวิตามินผิว สามารถแก้ปัญหาดังนี้

☀ ช่วยแก้ปัญหาผิวหมองคล้ำ และทำให้ผิวกระจ่างใสจากภายในสู่ภายนอก☀ เสริมคอลลาเจนใต้ผิวหนังที่เสื่อมสภาพให้มีมากขึ้นและทำให้ผิวชุ่มชื้น ยืดหยุ่น ทำให้ริ้วรอยตื้นขึ้น และชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคต☀ เพิ่มวิตามินให้กับร่างกาย โดยเฉพาะวิตามินที่ร่างกาย ณ ตอนนั้นขาด เช่น วิตามินซี หรือวิตามินบี เป็นต้น☀ กระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ร่างกายไม่เจ็บป่วย หรือต่อต้านการติดเชื้อ เนื่องจากร่างกายได้รับวิตามินที่ขาดแล้ว☀ กระตุ้นการต้านสารอนุมูลอิสระ ที่อาจพัฒนาไปเป็นโรคต่างๆ ได้ เช่น มะเร็ง เบาหวาน โรคเสื่อมสภาพของอวัยวะต่างๆ เช่น จอประสาทตาเสื่อม เป็นต้น

ฉีดวิตามินทำให้ผิวขาวได้จริงหรือไม่

https://www.gangnamconsult.com/skin-vitamin-injection/นั้นสามารถช่วยปรับสีผิวที่คล้ำให้ขาวกระจ่างใสขึ้นได้ดี แต่ทั้งนี้ปัจจัยของความหมองคล้ำจะต้องมาจากปัจจัยภายนอก เช่น แสงแดด ที่ไม่ใช่ปัจจัยทางพันธุกรรม นอกจากนั้นก็ยังขึ้นอยู่กับวิตามินที่ฉีดเข้าไปอีกด้วยโดยหากต้องการฉีดวิตามินที่ช่วยให้ผิวมีความกระจ่างใสขึ้นนั้น ก็ควรเลือกฉีดด้วย วิตามินซี และ วิตามินบี 3 ที่มีส่วนช่วยในการปรับลดเม็ดสีเมลานินให้ผิว ทั้งยังมีส่วนช่วยให้ผิวมีความกระจ่างใสมากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย

การฉีดวิตามินผิว ไม่อันตราย เพราะสิ่งที่ฉีดเข้าไปคือ สารสกัดธรรมชาติ และวิตามินที่จำเป็นต่อผิวและร่างกาย

หากเกิดอันตรายขึ้นจากการฉีดวิตามินผิว ส่วนมากมักเกิดมาจากการเลือกเข้ารับบริการคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน ทั้งเครื่องมือที่ไม่สะอาด ไม่ปลอดภัย และสารที่ฉีดเข้าไปอาจเป็นสารแปลกปลอม เป็นอันตรายต่อผิว และร่างกายนั่นเอง

ฉีดวิตามินผิวหน้า VS ผิวกาย แตกต่างกันอย่างไร

การฉีดวิตามินผิว มี 2 แบบ คือ ฉีดวิตามินผิวหน้า และฉีดวิตามินผิวด้วยสายน้ำเกลือที่บริเวณผิวกาย แน่นอนว่ามีความแตกต่างกัน ทั้งกรรมวิธีในการฉีด วิตามินที่เลือกใช้ฉีด และผลลัพธ์การแก้ปัญหาที่ได้ ซึ่งจะมีข้อแตกต่างกัน ดังนี้

☀ ฉีดวิตามินผิวหน้าเป็นการใช้เข็มทางการแพทย์ฉีดส่งสารวิตามินลงไปที่ผิวหน้า ซึ่งจะเป็นวิตามินที่มาจากสารสกัดธรรมชาติ และสารกลุ่มมาเด้ (MADE) ได้แก่ คอลลาเจน, วิตามินซี, สารต้านอนุมูลอิสระ และสารสกัดจากวิตามินที่จำเป็นต่อผิวหน้า

☀ ฉีดวิตามินผิวหน้าแก้ปัญหาอะไร?จากการฉีดสารกลุ่มมาเด้ ลงไปที่ชั้นผิวหนังบนใบหน้า ช่วยแก้ปัญหาผิวหน้าอ่อนแอ ผิวเป็นผื่นแพ้ง่าย ผิวแห้งกร้าน มีริ้วรอย สิวอักเสบ เพื่อแก้ปัญหารอยสิว รอยดำ รอยแดง ฝ้ากระจุดด่างดำต่างๆ และช่วยแก้ปัญหาการขาดความสมดุลของน้ำมันใต้ผิวหน้าให้ผิวมีความอิ่มน้ำสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอกมากยิ่งขึ้น☀ ฉีดวิตามินผิวกายเป็นการนำวิตามินและสารสกัดธรรมชาติเข้าสู่ร่างกายด้วยสายน้ำเกลือ โดยสารดังกล่าวที่ฉีดนั้น จะเป็นวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย ได้แก่ ฉีดวิตามินซี หรือที่เรียกอีกอย่างว่า กรดแอสคอร์บิก (Ascorbic acid), ฉีดคอลลาเจน หรือฉีดกลูต้า เป็นต้น

☀ ฉีดวิตามินผิวกาย แก้ปัญหาอะไร?การฉีดวิตามินผิวกาย ด้วยสายน้ำเกลือ เพื่อให้ผิวพรรณสุขภาพดี เรียบเนียน ชุ่มชื้น ทั้งยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายไม่ให้เจ็บป่วยได้ง่าย และช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของเซลล์ต่างๆ ในร่างกายให้ค่อยๆ กลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ร่างกายของเราแข็งแรงยิ่งขึ้น

รูปภาพ:

ฉีดวิตามินผิว กี่วันเห็นผล

ทันทีที่ฉีดวิตามินผิวเสร็จทันที จะเกิดรอยแดงจากเข็มฉีด และจะหายเองเป็นปกติ โดยผลลัพธ์จะค่อยๆ แสดงออกแบบชัดเจนที่สุดในระยะเวลา 7 - 14 วัน หากต้องการรักษาผลลัพธ์ให้คงอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แนะนำควรฉีดทุกสัปดาห์ และเดือนต่อไปอาจเว้นเป็นทุก 2 สัปดาห์

ฉีดวิตามินผิว ให้ผลลัพธ์อยู่ได้ถาวรหรือไม่?

การเติมวิตามินผิวด้วยการฉีด ไม่สามารถให้ผลลัพธ์คงอยู่ถาวร

หากต้องการให้ผลลัพธ์อยู่อย่างต่อเนื่อง ทั้งผิวภายนอกและสุขภาพภายในร่างกาย จำเป็นต้องฉีดอย่างสม่ำเสมอ ในระยะเวลาที่เหมาะสม ไม่ถี่จนเกินไป และไม่เว้นระยะห่างจนมองไม่เห็นผลลัพธ์

โดยเฉลี่ยแล้วระยะเวลาที่จะเห็นผลอยู่ที่ประมาณ 3 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และระยะความถี่ในการฉีด สำหรับในครั้งแรกของการเริ่มฉีดวิตามินผิว อาจฉีดเป็นสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เมื่อสุขภาพผิวเริ่มดีขึ้น หรือสุขภาพร่างกายเริ่มถูกฟื้นฟู สามารถเว้นระยะการฉีดได้เป็นเดือนละ 1 ครั้ง

รูปภาพ:

ฉีดวิตามินผิวมีกี่สูตร อะไรบ้าง

จริงๆ แล้ววิตามินผิวนั้นมีอยู่ด้วยกันหลายสูตร ขึ้นอยู่กับคลินิกที่เลือกรับบริการ ซึ่งแต่ละสูตรส่วนใหญ่จะเน้นไปที่เรื่องการเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายที่อ่อนล้ามีกำลังมากขึ้น การบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้น และกระจ่างใส เพื่อช่วยแก้ปัญหาผิวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรอยสิว รอยดำ รอยแดง พร้อมช่วยฟื้นฟูเซลล์ให้แก่ร่างกาย เป็นต้น

การฉีดวิตามินผิวมีทั้งหมดกี่แบบ แต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร

ถ้าจะให้พูดถึงวิธีการฉีดวิตามินผิวในตอนนี้ก็จะมีอยู่ทั้งหมด 2 แบบหลักๆ คือ 1. แบบที่ฉีดเข้าสู่ร่างกายผ่านจุดข้อพับของแขน แบบนี้จะใช้เวลาที่รวดเร็วและจะส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลียขึ้นได้ เนื่องจากเป็นการนำวิตามินที่เข้มข้นเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็ว กับแบบที่ 2. การนำเอาวิตามินไปผสมกับน้ำเกลือแล้วค่อยๆ ปล่อยให้วิตามินและนำเกลือเข้าสู่ร่างกายทีละนิด วิธีนี้จะใช้หลักการเดียวกันกับการให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาล เพียงแต่ในน้ำเกลือจะมีส่วนผสมของวิตามินร่วมด้วยนั่นเอง ซึ่งวิธีนี้จะมีการใช้ระยะเวลาอยู่ที่ประมาณ 45-60 นาที

อันตรายจากการฉีดวิตามินผิวบ่อยเกินไป มีอะไรบ้าง

สำหรับใครที่ต้องการให้ผลลัพธ์ของวิตามินผิวมีประสิทธิภาพอยู่ได้อย่างต่อเนื่อง จำเป็นต้องทราบถึงความเหมาะสมในการฉีด เพราะหากฉีดบ่อยจนเกินไป ไม่มีการเว้นระยะเวลาอย่างเหมาะสม จะเกิดอันตรายต่อผิวและร่างกาย ดังนี้

☀ สีผิวเปลี่ยนสี กลายเป็นสีส้ม หรือผิวสีเหลือง☀ ผิวหนังไวต่อแสง เสี่ยงผิวหมองคล้ำ ผิวไหม้ และแพ้ง่าย☀ ระบบทางลำไส้แปรปรวน ปวดท้องหนัก ท้องเสีย ท้องผูก คลื่นไส้ อาเจียน☀ ระบบทางเดินอาหารผิดปกติ เลือดออกทางเดินอาหาร หรือที่เรียกว่า ภาวะผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร (Gastrointestinal Bleeding) มักจะมีอาการ อาเจียนเป็นเลือด หรืออุจจาระเป็นเลือด☀ มีความผิดปกติที่กล้ามเนื้อ เช่น ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และกล้ามเนื้ออ่อนแรง☀ หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ระบบไหลเวียนเลือดและการสูบฉีดเลือดทำงานหนักเกินไป☀ ปวดศีรษะ หรือเวียนศีรษะ☀ ตาพร่ามัว หรือมีภาวะตาไวต่อแสง

ฉีดวิตามินผิว เหมาะ/ไม่เหมาะกับใคร

การฉีดวิตามินผิว เพื่อผลลัพธ์ที่ดี และชัดเจนที่สุด มาเช็กกันก่อนเข้ารับบริการดีกว่า ว่าเราเหมาะกับการฉีดวิตามินผิวแล้วหรือไม่

☺ เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง ทั้งผิวหน้า และผิวกาย☺ เหมาะกับผู้ที่ต้องการให้ผิวหน้า ผิวกายกระจ่างใส ในระยะเวลาอันรวดเร็ว☺ เหมาะกับผู้ที่ต้องการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ไม่ให้เจ็บป่วยง่าย☺ เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น☺ เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวอ่อนแอ ทั้งในแง่ของ ผิวแพ้ ผิวแห้งกร้าน ผิวไวต่อแสงแดด ผิวเป็นสิวอักเสบ ผิวเสี่ยงต่อการเกิดริ้วรอย เป็นต้น☺ เหมาะกับผู้ต้องการเสริมสร้างคอลลาเจน เพื่อผิวพรรณและไขข้อ☺ เหมาะกับผู้ที่นอนดึก พักผ่อนน้อย ทำให้ผิวพรรณไม่สดใส

สำหรับผู้ที่กำลังสนใจฉีดวิตามินผิว และยังไม่แน่ใจว่าตัวเองสามารถฉีดได้หรือเปล่า ขอให้เช็กสุขภาพและโรคประจำตัว อยู่ในกลุ่มดังต่อไปนี้หรือไม่ เพราะถ้าใช่ก็ไม่ควรฉีด

☹ ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร☹ ผู้ที่มีโรคประจำตัวในกลุ่ม ความดันโลหิต☹ ผู้ที่เป็นโรคมะเร็ง☹ ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ☹ ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน☹ ผู้ที่เป็นภาวะพร่องเอนไซม์ (G6PD Deficiency)☹ ผู้ที่มีประวัติแพ้ยา หรือแพ้วิตามิน☹ ผู้ที่มีภาวะธาตุเหล็กเกิน

ฉีดวิตามินผิว เลือกแบบไหนดี

รูปภาพ:

ก่อนฉีดวิตามินผิว สิ่งที่จะต้องนำประกอบการตัดสินใจในการเลือกก็คือ ปัญหาของผิวว่าเกิดบริเวณใด และต้องการฟื้นฟูเรื่องใดเป็นพิเศษ เช่น ผิวขาดความชุ่มชื้น แห้งกร้าน ก็อาจจะเติมคอลลาเจนให้กับผิว หรือร่างกายช่วงนี้เป็นภูมิแพ้อากาศ ก็สามารถฉีดวิตามินซี ได้ทั้งบำรุงผิวและสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายไปในคราวเดียว

แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงเป็นข้อสำคัญถัดมาก็คือ การเลือกสถานที่ / คลินิกที่ให้บริการฉีดวิตามินผิว จะต้องน่าเชื่อถือ มีมาตรฐาน และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะต้องมีประสบการณ์ในการฉีด ไปจนถึงเครื่องมือที่ใช้ในการฉีดวิตามินผิว จะต้องสะอาด ไม่เช่นนั้นอาจเสี่ยงติดเชื้อ และเป็นอันตรายต่อร่างกายในภายหลังได้

สุดท้ายนี้ แม้ว่าการฉีดวิตามินผิว จะดูเป็นการทำหัตถการเล็กๆ แต่ก็ต้องทำโดยแพทย์ที่เชี่ยวชาญเท่านั้น และทำโดยสถานพยาบาล หรือคลินิกที่มีมาตรฐาน ดังนั้นหากถูกแอบอ้างว่าสามารถฉีดนอกสถานที่ได้ ให้คิดไว้ก่อนเลยว่าเป็นหมอปลอม หรือที่เรียกว่าหมอกระเป๋า กรณีนี้ไม่ปลอดภัยอย่างแน่นอน

ก่อนฉีดวิตามินผิว ต้องเตรียมตัวอย่างไร

เมื่อศึกษาข้อมูลอย่างครบถ้วน ทั้งปัญหาผิวของตัวเอง และเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน เลือกแพทย์ที่เชี่ยวชาญในการฉีดและเลือกวิตามินที่เหมาะสมกับเราได้ ไปจนถึงเครื่องมือแพทย์ที่ดี สะอาดปลอดภัย อีกหนึ่งอย่างที่ต้องทำคือ การเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อฉีดวิตามินผิวนั่นเองปรึกษาแพทย์เรื่องสุขภาพ / โรคประจำตัวก่อนฉีดวิตามินผิว ควรตรวจเช็กสุขภาพร่างกายของตัวเอง ทั้งในขณะนั้นๆ ว่าแข็งแรงดี ไม่ป่วย หรือหากมีโรคประจำตัว ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ เพื่อป้องกันการเกิดผลข้างเคียงจากการฉีดวิตามินผิวในภายหลัง

ปรึกษาแพทย์เรื่องสูตรวิตามินที่จะฉีดเพื่อให้แน่ใจว่าสูตรวิตามินที่จะฉีดเข้าผิว เหมาะสมกับร่างกายและปัญหาผิวของตัวเอง อีกทั้งยังเป็นการเช็กความชัวร์ว่าจะได้รับวิตามินผิวของแท้ ที่ผ่านอย. ไม่ได้ใช้ของปลอมที่ผสมน้ำเกลือเจือจางตัวยาในปริมาณมากเพื่อลดต้นทุน

ดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อยวันละ 3 ลิตรเพื่อลดความเข้มข้นของเลือด และช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดีขึ้น เป็นผลให้การซึมยามีประสิทธิภาพที่ดีผลข้างเคียงหลังเข้ารับการฉีดวิตามินผิว : ในการเข้ารับการฉีดวิตามินผิวนั้นถือว่าไม่มีความอันตรายใดๆ เลยเพียงแค่อาจจะเกิดรอยเข็มขณะเดินยาเท่านั้น ซึ่งรอยดังกล่าวจะหายไปเองภายในไม่กี่วัน แต่ทั้งนี้ก่อนเข้าการฉีดวิตามินผิวอาจจะต้องทานอาหารก่อนเพื่อป้องกันอาการอ่อนเพลียหลังทำได้

เปิด 4 ขั้นตอนการฉีดวิตามินผิว

การฉีดวิตามินผิวถือว่ามีขั้นตอนที่ง่ายมากๆ และมีระยะเวลาในการทำเพียงแค่ 15-30 นาทีเท่านั้น ซึ่งจะมีขั้นตอนต่างๆ ดังนี้

1. แพทย์จะทำการเช็ดทำความสะอาดผิวบริเวณจุดที่จะทำการเดินยา2. จากนั้นก็จะใช้สายยางสำหรับฉีดยามารัดผิวไว้3. เริ่มใช้เข็มเจาะเส้นเลือดแล้วต่อกับตัวยาและค่อยๆ เดินยาจนครบโดส4. จากนั้นก็จะใช้พลาสเตอร์ปิดแผลติดจุดที่ฉีดเป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอน

ในการเข้ารับการฉีดวิตามินผิวควรจะต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไปตามกฎการเข้ารับบริการสถานพยาบาลทางความงามเลย ซึ่งหากมีอายุที่น้อยกว่าและมีผู้ปกครองที่สามารถมาเซ็นใบอนุญาตก็สามารถทำได้ เนื่องจากการฉีดวิตามินไม่ใช่เพียงแค่ความสวยงาม แต่ตัวยาเป็นมีส่วนช่วยเรื่องความแข็งแรงของภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย

รูปภาพ:

ฉีดวิตามินผิวตอนทำเจ็บไหม

ในส่วนของความรู้สึกในระหว่างทำนั้นก็ต้องบอกเลยว่าจะเจ็บนิดๆ เหมือนตอนฉีดยาทั่วไปเลย จะมีความรู้สึกเจ็บเบาๆ ตอนลงเข็มและอาจมีอาการแสบเล็กน้อยในขณะที่มีการเดินตัวยาที่จะทำให้ร่างกายรู้สึกตอนเพลียขึ้นได้ ซึ่งข้อแนะนำสำคัญเลยคือ ผู้เข้ารับบริการไม่ควรอดอาหารมาก่อนฉีดวิตามินผิว เพราะอาจทำให้รู้สึกอ่อนเพลียจนถึงขั้นหน้ามืด หมดสติได้เลย

★★★★★★★★

การฉีดวิตามินผิว ทั้งผิวหน้า และผิวกาย มีคุณประโยชน์ และสามารถแก้ปัญหาผิวได้รวดเร็วกว่าวิธีการกินวิตามิน หรือทาครีมบำรุงแต่ถึงอย่างนั้นการฉีดวิตามินผิวก็มีข้อจำกัดในกลุ่มคนที่มีโรคประจำตัว จึงควรฉีดโดยแพทย์ที่เชี่ยวชาญ เพื่อที่ผู้เข้ารับบริการจะได้รับคำปรึกษาอย่างถูกต้อง ทั้งก่อนฉีดไปจนถึงหลังฉีดในการให้คำแนะนำ การดูแล และติดตามผลอย่างใกล้ชิดสำหรับผู้ที่ต้องการฉีดวิตามินผิวโดยแพทย์เชี่ยวชาญ ให้คำปรึกษาอย่างละเอียด และให้ผลลัพธ์ที่ดี แก้ปัญหาผิวได้อย่างเจาะจงมากที่สุด Gangnam clinic คือคำตอบที่ตอบโจทย์มากที่สุด และพร้อมให้บริการถึง 28 สาขาทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล หรือสามารถแอดไลน์ Line: @gangnamclinic เพื่อนัดหมาย/ ปรึกษา และขอรับบริการได้เลย