อาการท้องอืดจุกเสียดแน่นท้อง หลายๆคนต้องเคยเป็นอย่างแน่นอน นานๆเป็นทีไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเกิดขึ้นบ่อยคงต้องกุมขมับเป็นแน่ อาการท้องอืดเหล่านี้เกิดจากการกินอาหารเข้าไปแล้วกระเพาะไม่ย่อย ทำให้เกิดอาการท้องแน่นจุกเสียด และเกิดลมในกระเพราะอาหาร ถ้าปล่อยทิ้งไว้นานๆหรือเกิดขึ้นบ่อยๆนั้นคงไม่ดีต่อสุขภาพและอาจกลายเป็นโรคร้ายแรงตามมาก็เป็นได้ค่ะ คนที่มีอาการแบบนี้อยู่ควรรีบรักษาดีกว่าปล่อยไว้นานจะรักษายากขึ้น ง่ายๆเลยลองมองผักหรือส่วนประกอบในอาหารที่เราทานในชีวิตประจำวันสิค่ะ หลายอย่างเป็นสมุนไพรที่สามารถบรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อนี้แถมยังให้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าทานยาปฏิชีวนะด้วยนะ ไปดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง
1. กะเพรา
กระเพรานอกจากจะนำมาทำอาหารได้อร่อยแล้วยังมีสรรพคุณมากมาย ทั้งช่วยขับลมแก้พิษตานซาง แก้ท้องขึ้น จุกเสียดแน่นท้อง ปวดท้อง ช่วยในการย่อยอาหาร และช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย ในอินเดียถือว่ากะเพราเป็นราชินีแห่งสมุนไพรเลยก็ว่าได้
วิธีการรักษา
- ใบและยอด 1 ก ามือ ต้มกับน้ำสะอาด ใช้ดื่มครั้งละ 1/2-1 แก้ว 3 เวลาหลังอาหาร หรือเมื่อมีอาการ (ใช้ได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่)
- ใช้ใบสด 3-4 ใบ ใส่เกลือเล็กน้อย บดให้ละเอียดผสมกับน้ำผึ้ง หยอดให้เด็กอ่อนที่เพิ่งคลอด 2-3 หยด เป็นเวลา 2-3 วัน เพื่อให้เด็กถ่ายและขับลมออกมา
- ใช้ใบกะเพราแห้งบดให้ละเอียด ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ละลายกับน้ำต้มสุก ดื่มหลังอาหาร หรือเมื่อมีอาการ
2. กระชาย
ในวงการสมุนไพรไทยนั้นกระชายจัดเป็น “โสมไทย” เลยก็ว่าได้ เพราะมีสรรพคุณคล้ายโสม กระชายนั้นสามารถช่วยแก้อาการวิงเวียน แน่นหน้าอก แก้โรคหัวใจ บำรุงสมอง ส่วนที่เป็นเหง้าที่อยู่ใต้ดินนั้นจะมีรสเผ็ดร้อนและขม มีสรรพคุณช่วยแก้อาการปวดท้อง มวนในท้อง อาการท้องอืด ท้องเฟ้อได้
วิธีการรักษา
- ใช้เหง้าและรากประมาณครึ่งกำมือ (สด 5-10 กรัม, แห้ง 3-5 กรัม) ต้มนำมาดื่ม
3. กระเทียม
กระเทียมนั้นเป็นเครื่องปรุงอาหารหลักของอาหารไทยที่มีสรรพคุณมากมาย กินกับข้าวขาหมูเพื่อดับความเลี่ยนของไขมัน ทั้งยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และน้ำตาลในเลือด นอกจากนั้นแล้วกระเทียมยังมีสรรพคุณช่วยในการขับลม ช่วยรักษาอาการจุกเสียดแน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ และช่วยป้องกันโรคท้องผูกด้วย
วิธีการรักษา
- ใช้หัวกระเทียมแห้ง 5-7กลีบ ปอกเปลือกให้เรียบร้อย แล้วตำให้ละเอียด เติมน้ำส้มสายชูลงไป 30ซีซี หรือ 2ช้อนโต๊ะ เติมน้ำตาลและเกลือเล็กน้อย กินหลังอาหาร 3 มื้อ หรือเมื่อมีอาการ
- ใช้กระเทียม 5-7 กลีบ ปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นแว่นบางๆ กินหลังอาหารทุกมื้อ
4. ชะพลู
ใบชะพลูนั้นมีวิตามินเอ ธาตุแคลเซียม และธาตุเหล็กต่างๆในปริมาณสูงซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย สรรพคุณของชะพลูคือช่วยบำรุงธาตุ ขับลม แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ และช่วยในการขับเสมหะได้ แต่การกินใบชะพลูควรกินในปริมาณที่เหมาะสมและไม่ควรทานติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะมีสารแคลเซียมออกซาเลตซึ่งอาจทำให้เกิดโรคนิ่วในไตได้
วิธีการรักษา
- ใช้รากสดหรือแห้งก็ได้ 1 กำมือ ล้างให้สะอาด ต้มกับน้ำ ดื่มวันละ 3-4 ครั้ง ครั้งละ 1 แก้ว หลังอาหาร
5. ขิง ข่า และขมิ้นชัน
ขิงข่าและขมิ้นชันนั้นจัดเป็นพืชตระกูลเดียวกัน สมุนไพรทั้ง 3ชนิดสามารถช่วยบำรุงร่างกาย และรักษาโรคต่างๆมากมายรวมทั้งช่วยป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ช่วยในเรื่องการขับถ่าย และการทำงานของลำไส้
วิธีการรักษา (ขิง)
- ใช้เหง้าสดล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นต้มกับน้ำ ใช้ดื่มวันละ 3-4 ครั้ง หลังอาหาร หรือเมื่อมีอาการ
- ใช้เหง้าสดล้างให้สะอาด ตากแดดให้แห้ง แล้วนำมาบดเป็นผง ใช้ชงกับน้ำต้มสุกเวลาดื่มจะเติมน้ำตาลลงไปก็ได้ค่ะ เพื่อให้ดื่มได้ง่ายขึ้น
วิธีการรักษา (ข่า)
- ใช้เหง้าแก่สด ยาว 1-2 นิ้ว ล้างน้ำให้สะอาด ตำให้ละเอียด เติมน้ำปูนใสลงไป 1แก้ว ใช้ช้อนคนให้เข้ากันดี กรองเอาน้ำดื่ม โดยดื่มครั้งละ 1แก้ว หลังอาหาร 3 มื้อ
- ใช้เหง้าแก่สด ล้างน้ำให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นต้มกับน้ำดื่มหรือจะใส่น้ำตาลลงไปด้วยก็ได้ เพื่อให้กินง่ายขึ้น โดยดื่มครั้งละ 1 แก้ว หลังอาหาร 3 มื้อ หรือเมื่อมีอาการ
วิธีการรักษา (ขมิ้นชัน)
- ใช้เหง้าสดล้างน้ำให้สะอาด ขูดเอาเปลือกออก หั่นเป็นแว่นบางๆ ประมาณ 200 กรัม แล้วนำไปตากแดดจนแห้ง จากนั้นมาบดให้ละเอียด ผสมน้ำผึ้งลงไปแล้วคนให้เข้ากัน ปั้นเป็นลูกกลอน กินวันละ 3-4 ครั้ง หลังอาหาร มื้อละ 2-3 เม็ด
6. ตะไคร้
ตะไคร้เป็นสมุนไพรที่รักษาโรคได้มากมาย ทั้งยังบำรุงร่างกายให้แข็งแรง ช่วยรักษาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ และบรรเทาอาการปวดท้องได้ และช่วยรักษาโรคนิ่วได้ด้วย
วิธีการรักษา
- ใช้ลำต้นแก่สุดๆ ทุบพอแหลก ประมาณ 1 กำมือ (ราว 40-60 กรัม) เอามาต้มทำเป็นน้ำดื่ม หรือ ประกอบเป็นอาหารกิน
เป็นยังไงบ้างคะ สรรพคุณของสมุนไพรไทยมหัศจรรย์มากเลยใช่มั้ย แถมยังหาซื้อไม่ยากอีกด้วย นอกจากสมุนไพรจะเป็นตัวช่วยแก้ท้องอืดท้องเฟ้อได้แล้ว ยังมีสรรพคุณมากมายที่จะบำรุงร่างกายเราอีกด้วยค่ะ ที่สำคัญเราควรหันมาใส่ใจสุขภาพกินอาหารให้เป็นเวลา รู้จักเลือกอาหารที่เป็นประโยชน์และออกกำลังกายสม่ำเสมอด้วยนะคะ เจอกันใหม่ครั้งหน้าค่ะ