*~บทที่ 3~*

เมื่อชีวิตหนึ่งได้เริ่มต้นขึ้น และพร้อมที่จะออกเดินทางสู่การผจญภัยครั้งใหม่ อีกชีวิตหนึ่งก็ยังคงใช้ชีวิตอยู่แบบเดิมๆ ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันเช่นเดิมอยู่อย่างนั้นมาหลายครั้งหลายครา เหมือนกับว่าชีวิตของเธอผู้นั้นได้ผูกติดอยู่กับมันอย่างไม่มีวันได้ถอนตัว แม้ว่าคนภายนอกที่ได้เห็น อาจจะบอกว่ามันเป็นชีวิตที่ดูน่าเบื่อและซ้ำซาก แต่เธอกลับพึงใจในวิถีชีวิตแบบนั้น มีความสุขกับการที่ได้ทำในสิ่งที่ตนรัก และคิดว่ามันจะเป็นเช่นนี้ตลอดไปตราบที่ร่างกายสิ้นลม

“ โอเค!! เอาเป็นว่าเขารับเธอเข้าทำงานแล้วใช่ไหม ? ” สาวผิวเหลืองในชุดสีชมพูสดใสวัยสามสิบ ดูท่าทางคล่องแคล่วว่องไว กำลังพูดโทรศัพท์กับเพื่อนสาวสุดซี้ที่เพิ่งได้งานใหม่มาหมาดๆ เธอพยายามเอาโทรศัพท์ห่างๆ หูไว้ เพราะเสียงกรีดร้องที่แสดงออกถึงความดีใจจากเพื่อนในสายค่อนข้างดังมาก

“ ใช่ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ...ฉันดีใจมาก ดีใจที่สุดเลย!! ” เพื่อนสนิทของเธอร้องออกมาด้วยความเปรมปรีดิ์ หญิงสาวรู้ดีว่าความฝันที่เพื่อนของเธอรอคอยได้เป็นจริงแล้ว

“ อืม...โอเค เลี้ยงฉลองเลยไหม ? มาที่ร้านฉันสิ ฉันจะเลี้ยงคัพเค้กฟรีสิบชิ้น ” หล่อนชวน

“ ไม่เป็นไรจ้ะ...ขอบคุณมาก...ช่วงนี้ฉันยังไม่อยากอ้วน!! ว่าแต่ตอนนี้เธออยู่ที่ไหนเนี่ย ? ” หญิงสาวในสายถาม

“ ฉันยังอยู่บ้านอยู่เลย กำลังรอคุณสามีแต่งตัวออกไปทำงาน!! ” เธออธิบาย พลางมองดูคู่ชีวิตที่กำลังแต่งตัวอยู่ในห้องผ่านประตูกระจกสีขาวโปร่งแสงที่ปิดสนิทอยู่ หล่อนจึงสามารถมองเห็นเขาแค่เพียงเงาลางๆ เท่านั้น

“ เฮ้ย!! นี่มันจะเที่ยงแล้วนะ ทำไมเขาไปทำงานสายจัง ? ” เพื่อนของเธอสงสัย

“ เมื่อวานเขามีนัดกินเลี้ยงกับลูกค้าต่างชาติน่ะ...กลับดึก!! ก็เลยเข้าบ่าย เธอเองก็อย่าลืมหาอะไรทานด้วยล่ะ...จะเที่ยงแล้ว ” หญิงสาวแสดงออกถึงความเป็นห่วงเป็นใย

“ ค่าาาา คุณแม่!!...เธอเองก็ด้วยล่ะ ” เพื่อนในสายลากเสียง

“ แนน!! ลูกร้องใหญ่แล้ว มาดูลูกหน่อยเร็ว!! ” เสียงสามีร้องเรียกให้เธอเข้ามาในห้อง เพื่อดูลูกน้อยที่ร้องโยเย

“ ค่ะ!! สักครู่ค่ะ...เจี๊ยบแค่นี้ก่อนนะ!! ” หญิงสาวตอบรับเขาด้วยน้ำเสียงอันแข็งกร้าว และรีบกล่าวลาเพื่อนในสาย พลางกดปุ่มวางหู

เธอเดินตรงไปที่ประตูกระจก แล้วเลื่อนบานประตูด้านหนึ่งเพื่อเปิดออก เผยให้เห็นชายผิวขาวรูปร่างผอมกำลังติดกระดุมแขนเสื้ออยู่ เขาจ้องมองมาที่เธออย่างตำหนิ หนำซ้ำจมูกที่ยาวงองุ้มราวกับจะงอยปากของเหยี่ยว ทำให้ดูคล้ายกับว่าเจ้านกล่าเนื้อตัวนี้กำลังจ้องจะเล่นงานเหยื่อ ซึ่งเหยื่อก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นั่นคือ เธอ ผู้เป็นภรรยาของเขา

“ มัวแต่คุยโทรศัพท์อยู่นั่นแหละ ไม่เห็นหรือไงว่าลูกร้องใหญ่แล้ว!! ” สามีทำเสียงแข็ง

“ คุณเองก็แต่งตัวอยู่ในห้อง ทำไมไม่เดินมาปลอบลูกล่ะ ?!! ” ภรรยาสวนกลับ พลางเดินเข้าไปอุ้มลูกน้อยขึ้นจากเปล

“ ก็หน้าที่เลี้ยงลูกมันเป็นหน้าที่ของคุณไม่ใช่เหรอ ?!! คุณเป็นแม่คุณก็ต้องเอาใจใส่ดูแลสิ!! ” เขาตวาด

“ นี่คุณโชติ!!! หน้าที่เลี้ยงลูก มันเป็นหน้าที่ของแม่อย่างเดียวเหรอไง พ่ออย่างคุณก็หัดรับผิดชอบเสียบ้างสิ!! นี่อะไร...จะปัดความรับผิดชอบท่าเดียว ไม่เห็นใจกันบ้างเลย ฉันเองก็เหนื่อยเป็นนะ!! ” เธอเถียงกลับพลางเอามือลูบหลังลูกน้อยไปมาเพื่อให้หยุดร้อง

“ เหนื่อยเหรอ ?? พูดมาได้ว่าเหนื่อย...ผมเห็นวันๆ คุณแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย ตื่นเช้ามาก็ไปร้านเค้ก เค้กก็ไม่ได้ทำเองด้วยซ้ำ แค่ไปนั่งคิดเงินเฉยๆ เหนื่อยตรงไหน ?!! ” ชายหนุ่มถลึงตาด้วยความไม่พอใจ

“ แล้วจะให้ใครทำ เด็กในร้านต่างก็มีภาระหน้าที่ของตนเองทั้งนั้น ฉันเองก็ว่างพอที่จะเข้าไปดูแลร้าน และอีกอย่าง...ร้านนั้นก็เป็นร้านของฉัน เงินของฉันเอง ฉันไม่ได้ไปขอกู้ยืมเงินใครมาเปิดร้านสักหน่อย แม้แต่เงินของคุณก็เถอะ!! ” เธอว่า

สิ้นเสียงของหญิงสาวที่พูดจากระแทกแดกดัน ทำให้เป็นจุดเริ่มต้นของการทะเลาะวิวาทระหว่างสามีและภรรยา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น แต่กลับเป็นหลายๆ ครั้ง นับตั้งแต่ที่คนทั้งคู่ได้เริ่มต้นใช้ชีวิตครอบครัว และมีเจ้าตัวน้อยเป็นโซ่ทองคล้องใจ ทว่าโซ่นั้นก็ดูราวกับเป็นโซ่ที่ผูกรั้งทั้งคู่เอาไว้ ภายใต้กรอบที่มีชื่อว่า ความรับผิดชอบ

หลังจากที่พายุอารมณ์ได้สงบลง เสียงลูกน้อยที่ร้องไห้แข่งกับเสียงลมกรรโชกก็ได้สงบตาม เด็กน้อยนอนหลับไปพร้อมกับคราบน้ำตาที่แก้ม ไม่ต่างจากมารดาของเขาที่กลั้นใจไม่ให้สะอึกสะอื้น แต่กลับไม่อาจกลั้นน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาได้

“ ผมไม่อยากจะเสียเวลามาทะเลาะกับคุณหรอกนะแนน...ผมมีงานต้องทำ ” สามีร้องบอกขณะที่หยิบสูทออกมาจากตู้

“ ฉันก็ไม่ได้รั้งคุณไว้นี่คะ...ฉันเองก็จะรีบไปดูร้านเหมือนกัน ” เธอหันหลังพลางข่มน้ำเสียงไม่ให้สะอื้นไปมากกว่านี้

เขาเหลือบมองดูเธอ และทำทีว่าจะเข้าไปปลอบเหมือนอย่างเคย แต่ครั้งนี้กลับเปลี่ยนใจ แล้วรีบเดินออกจากห้องเพื่อไปขึ้นรถที่จอดไว้หน้าบ้าน เขาขับมันออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อมุ่งตรงไปยังบริษัท

นันทวดีมองดูสามีที่ขับรถออกไป ก่อนที่จะร้องเรียกแม่บ้านให้ขึ้นมาช่วยดูแลลูกน้อย เพื่อที่เธอจะได้ไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าไปทำงานยังร้านขายคัพเค้ก

หญิงสาวเปิดฝักบัวแล้วถอนหายใจออกมา ก่อนที่จะเอาหน้ายื่นเข้าไปรองรับสายน้ำที่กำลังโปรยปราย เพื่อที่จะได้ชำระคราบน้ำตาจากความทุกข์ระทม อันเนื่องมาจากปัญหาชีวิตหลังแต่งงานที่คอยบั่นทอนจิตใจวันละไม่ต่ำกว่าร้อยรอบ เธอรู้สึกเบื่อหน่ายในสิ่งที่เกิดขึ้น พลางเฝ้าถามตนเองซ้ำๆ ว่า เพราะเหตุใดชีวิตคู่ของเธอถึงเกือบล้มเหลวไม่เป็นท่า ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเธอ เป็นเพราะเขา หรือเป็นเพราะเราทั้งคู่ที่ทำให้มันย่ำแย่

ชีวิตสมบูรณ์แบบที่เหล่าเพื่อนๆ ของเธอเคยอิจฉากัน มันเริ่มจะกลายเป็นภาพอดีตไปแล้ว ก่อนหน้านี้นันทวดีคือ ผู้หญิงต้นแบบที่ผู้หญิงด้วยกันหลายๆ คนฝันถึง และอยากจะเอาเป็นแบบอย่าง ทั้งชีวิตการงาน ชีวิตคู่ และความสำเร็จที่ตั้งใจ เธอได้มาแล้วทั้งสิ้น แต่ ณ ตอนนี้มันได้แปรเปลี่ยนไป เพียงเพราะกลายเป็นคำว่า ครอบครัว เพียงคำเดียว

เป็นธรรมชาติของสาววันอังคารอย่างนันทวดีที่ต้องอาศัยความอดทน อดกลั้น และความพยายามทุกวิถีทาง เพื่อที่จะทำให้คนภายนอกรับรู้ว่า ชีวิตของเธอยังคงสมบูรณ์แบบให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะด้วยการเล่นละครตบตา หรือสร้างภาพใดๆ ก็ตาม แค่เพียงเพื่อให้ตนเองยังคงภาพลักษณ์ของผู้หญิงที่โชคดีในสายตาของผู้หญิงด้วยกัน นอกจากนี้เธอยังดื้อรั้น ไม่ค่อยรับฟังความคิดเห็นของใคร จึงเป็นการยากที่จะแก้ไขปัญหาครอบครัวให้ดีขึ้นได้ด้วยตนเอง โดยที่เธอเชื่อมั่นเสมอว่า การเป็น ภรรยา ความอดทนในการประคับประคองชีวิตครอบครัวนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น และเป็นหน้าที่สำคัญอย่างยิ่งของลูกผู้หญิงคนหนึ่ง

++++++++++++++++++++++++++++++

ทางด้านโชติวุฒิผู้เป็นสามี ก็รู้ว่าต้นเหตุของการทะเลาะวิวาททุกครั้งล้วนมาจากตนทั้งสิ้น แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะทิ้งนิสัยขี้โวยวายและความเอาแต่ใจลงได้ บางทีเขาเองก็ไม่เคยคิดที่จะปรับปรุงนิสัยแย่ๆ เหล่านี้ด้วยซ้ำ เพราะการที่เป็นหัวหน้าครอบครัวและผู้หาเลี้ยงคนในบ้าน ต้องทำให้เขาวางมาดเช่นนี้เอาไว้ หรือไม่เช่นนั้นก็อาจเป็นเพราะชายหนุ่มเริ่มสนใจในสิ่งอื่นที่มีความรู้สึกว่าน่าพิสมัย และน่าลิ้มลองมากกว่าสิ่งที่ต้องพบเห็นอยู่ทุกวันจากในบ้านของตนเอง จนทำให้เขาเริ่มเบื่อและอยากแสวงหาสิ่งที่เย้ายวนกว่าตามสัญชาตญาณที่มีอยู่ในตัวของสัตว์เพศผู้

เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา แล้วนำมาจ่อเข้าที่ปาก พลางเปล่งเสียงออกมาถึงบุคคลที่ต้องการจะต่อสาย

“ มิสเตอร์ หว่อง คอล ” ชายหนุ่มเอ่ยชื่อนั้นออกมา แล้วโทรศัพท์ก็ทำการส่งสัญญาณไปหาบุคคลผู้นั้นอย่างอัตโนมัติ

การต่อสายได้ถูกส่งออกไปยังเลขหมายปลายทาง เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือของผู้รับดังขึ้น ปรากฏเป็นชื่อและรูปของโชติวุฒิขึ้นอยู่ที่หน้าจอ เป็นสัญญาณให้สาวน้อยผิวสีเหลืองซึ่งอยู่ในชุดเครื่องแบบนักศึกษากดรับสายเพื่อทำการสนทนา เธอฉีกยิ้มอย่างปรีดาราวกับว่ากำลังเฝ้ารอเขาอยู่

“ สวัสดีค่ะคุณโชติ วาดดีใจจังเลยที่คุณโทรฯ มา ” สาวน้อยกล่าวทักทายอย่างดีใจ

“ ก็ผมคิดถึงวาดนี่ครับ...วาดล่ะ คิดถึงผมไหม ? ” เขาถามหญิงสาวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลต่างจากที่พูดกับภรรยา

“ คิดถึงสิคะ...เมื่อวานคุณไม่น่ารีบกลับเลย ” เธอบ่นเสียดาย

“ ก็ผมต้องทำงานแต่เช้านี่ครับ คุณเองก็ต้องเข้าใจผมนะ ” ชายหนุ่มใส่ลูกอ้อน

“ ค่ะ...วาดเข้าใจ เข้าใจว่างานของคุณสำคัญกว่าวาด ” สาวน้อยตัดพ้อ

“ โธ่!!...วาดครับ วาดก็ต้องสำคัญกว่าอยู่แล้ว แต่นี่มันเป็นหน้าที่ของผม ผมไม่สามารถที่จะทิ้งภาระหน้าที่เหล่านี้ได้ ” เขาอธิบาย

“ ค่ะๆ ๆ ๆ วาดผิดเองแหละ ” เธอทำเสียงอ่อน

“ นะครับ...คนดี อย่าดื้อสิ ” โชติวุฒิง้อด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล

“ ก็ได้ค่ะ...แต่วันนี้คุณต้องมาหาวาด และพาวาดไปทานข้าวด้วยนะคะ ” เธอเชิญชวน

“ ได้ครับ เดี๋ยวตอนเย็นคุณไปรอผมที่ห้องนะ ผมจะไปหา ” ชายหนุ่มนัดแนะ

“ ที่ห้อง!!...ที่ห้องตลอดเลย ทำไมคุณไม่มารับวาดที่มหา’ลัยล่ะคะ วาดจะได้แนะนำคุณให้รู้จักกับเพื่อนๆ ของวาดด้วย!! ” สาวน้อยเริ่มหัวเสีย

“ กว่าผมจะไปหาคุณก็คงดึกแล้วล่ะครับ...ไม่เอานะวาด อย่างอนผมสิ ” โชติวุฒิง้อเธออีกครั้ง ซึ่งเขารู้ว่ามันต้องได้ผล

เธอถอนหายใจออกมาเมื่อรู้ว่ากำลังทำให้เขาลำบากใจ ก่อนที่จะตอบตกลงตามที่เขาต้องการ “ ก็ได้ค่ะ..ที่ห้องก็ที่ห้อง ”

“ ตกลงครับ...แล้วเจอกันนะ บาย ” ชายหนุ่มพูดจบก็กดปุ่มวางสายไป…

จะมีใครอีกไหมที่ชีวิตจะมีความสุขได้อย่างเขา ชีวิตที่เป็นผู้นำไม่ต้องตามใคร มีแต่คนมาคอยตามเอาใจอยู่เสมอ โชติวุฒิฉีกยิ้มอย่างภาคภูมิใจให้กับความยิ่งใหญ่ของตนเอง ทั้งเรื่องการงาน เรื่องครอบครัว และแม้แต่เรื่องผู้หญิง ที่ดูเหมือนว่าเขากำลังทำคะแนนได้ดีเสียด้วย

ชีวิตคู่ลับๆ ของเขากับสาวนักศึกษาอย่างวาดลัดดาได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อห้าเดือนก่อนตอนที่โชติวุฒิไปงานเลี้ยงรุ่นกับเพื่อนๆ สมัยมัธยม ส่วนเธอก็ไปเป็นเด็กฝึกงานอยู่ในโรงแรมที่เขาใช้จัดเลี้ยง หลังจากนั้นต่อมาอีกสองอาทิตย์สาวน้อยก็ตกลงปลงใจที่จะคบกับชายหนุ่มโดยไม่ได้ระแคะระคายใดๆ ทั้งสิ้นเกี่ยวกับตัวเขาเลย โดยเฉพาะเรื่องที่เขามีครอบครัวแล้ว วาดลัดดาเชื่อแค่ว่าโชติวุฒิเป็นนักธุรกิจหนุ่มโสดที่มีความรู้ความสามารถ และรักเธอจริง อย่างที่เขาก็ชอบพร่ำบอกกับเธออยู่ทุกวัน

นั่นอาจเป็นเพราะสมัยเด็กๆ ชีวิตของวาดลัดดาไม่เคยได้รับความรัก ความเอาใจใส่จากผู้เป็นบิดาเลย เพราะเขาได้เสียชีวิตไปตั้งแต่เธอยังเล็กๆ สาวน้อยจึงเติบโตมาด้วยความดูแลจากผู้เป็นแม่และพี่สาวเท่านั้น ครั้นเมื่อเธอได้รับความรักจากชายหนุ่มผู้มีฐานะและหน้าตาค่อนข้างดี จึงทำให้หญิงสาวเผลอไผลไปกับห้วงอารมณ์ และสุดท้ายก็ปล่อยตัวปล่อยใจให้แก่เขาในที่สุด

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาวาดลัดดาคิดอยู่เสมอว่าโชติวุฒิคือคนที่ใช่ แต่ในทางกลับกัน ชายหนุ่มคิดแค่ว่าเธอเป็นเพียงคนที่เขาเลือกมาหาเพื่อปลดปล่อย และคลายความตึงเครียดจากเรื่องงานและครอบครัวเท่านั้น เหมือนดังเช่นเมื่อวาน วันนี้ และวันต่อๆ ไป หากวันใดที่เขาเริ่มรู้สึกเบื่อหน่าย หรือมีสิ่งใหม่ๆ ที่ดูเร้าใจกว่าเข้ามา ชายหนุ่มก็คิดแค่ว่า จะผละจากเธอไปให้เร็วที่สุดก็เท่านั้น

++++++++++++++++++++++++++++++

วาดลัดดากดปุ่มวางสายด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว เธอน้อยใจที่ชายคนรักให้ความสำคัญไม่มากเท่าที่ควร เพราะความรัก...ทำให้สาวน้อยไม่กล้าที่จะคิดว่าเขานอกใจ เธอกลัวการจากลา กลัวกับหลายๆ สิ่ง และหลายๆ อย่าง ที่คู่รักหลายๆ คู่ต้องเผชิญ หญิงสาวคิดเสมอว่าอาจเป็นเพราะเธอยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจคนวัยทำงานอย่างเขา มันจึงเกิดเป็นปัญหาช่องว่างระหว่างวัยขึ้น เธอจึงทำได้แค่ยอมรับฟังและปฏิบัติตาม เพื่อไม่ให้คนรักรู้สึกกับเธอไม่ดี และมาพาลอารมณ์เสียใส่จนกลายเป็นปัญหา นำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้งในภายหลัง

“ อะไรกันยายวาด...นี่เธอยอมแฟนอีกแล้วเหรอ ?!! ” เพื่อนสาวในกลุ่มถาม

“ ก็ยอมเขาไปนั่นแหละ...ดีกว่าที่จะต้องมาทะเลาะกัน ” เธออธิบาย

“ ยอมๆ ๆ ๆ ๆ ยอมตลอด ถ้าเป็นฉันนะ จะโวยวายให้ถึงที่สุดเลยคอยดู!! ” เพื่อนอีกคนเสริมทัพอย่างหงุดหงิด

“ ฉันว่าเขาต้องมีคนอื่นแน่ๆ!!! ” เพื่อนคนแรกแสดงความคิดเห็น

“ นี่พวกเธอ...เลิกคิดในแง่ร้ายกันได้แล้ว อย่าทำให้ฉันต้องประสาทเสียไปมากกว่านี้เลยได้ไหม ฉันขอร้อง!! ” วาดลัดดาบอกแก่เพื่อนทั้งสอง

“ ก็มันน่าคิดนี่...ทำตัวลับๆ ล่อๆ มาหาได้เฉพาะเวลากลางคืน แถมวันหยุดก็ไม่เคยไปเที่ยวด้วยกัน หนำซ้ำยังไม่เคยพามาเปิดตัวกับเพื่อนฝูงเลย ถ้าไม่ติดว่าเธอเป็นเพื่อนของฉันนะ...ฉันจะคิดว่า เธอ...เป็น... ” เพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้น แต่ไม่ทันไรก็หยุดความคิดของตนเองลง ราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่สมควรจะพูดออกมา

“ เป็นอะไร ?? ...เธอว่าฉันเป็นอะไร ?? ” วาดลัดดาถามกลับอย่างสงสัย

“ ก็...เป็นพวกเมียน้อย เมียเก็บน่ะสิ!! ดีไม่ดีเขาอาจจะมีเมีย มีลูกอยู่แล้วก็ได้!! ” เพื่อนคนนั้นพูดออกมา มันช่างเป็นคำที่ฟังดูแย่สำหรับวาดลัดดานัก หญิงสาวมีความรู้สึกราวกับโดนตบหน้า เธอรับไม่ได้ในสิ่งที่ได้ยิน

สาวน้อยลุกขึ้นจากม้านั่ง แล้วสะพายกระเป๋าสีเขียวเดินออกมาจากกลุ่มด้วยท่าทีที่หงุดหงิด มีเพียงคณิตเพื่อนชายในกลุ่มเท่านั้นที่เดินตามออกมา

“ วาด...เดี๋ยว...รอเดี๋ยว!!! ” หนุ่มน้อยร้องเรียก แต่วาดลัดดากลับยิ่งเดินเร็วขึ้นจนเขาต้องรีบคว้าแขนเธอไว้

“ อะไรกันก้อง...เธอจะตามมาถากถางฉันอีกคนด้วยเหรอไง ? ” วาดลัดดาหันกลับมาถาม

“ ฉันไม่ได้จะตามมาถากถาง แต่ฉันเป็นห่วงเธอ!! ” เขาบอก

“ ขอบคุณนะที่เป็นห่วง แต่ตอนนี้ฉันอยากอยู่คนเดียว ฉันไม่อยากคิดมากเรื่องคุณโชติ ” เธอบอกด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดี

“ ก็ไม่ต้องคิดสิ...ไม่ผิดหรอกที่เธอจะตามใจเขา เขาเองจะยิ่งรู้สึกดีกับมากขึ้นด้วยซ้ำที่เธอเข้าใจ ” คณิตพูดปลอบ

“ แต่มันก็จริงอย่างที่เพื่อนๆ ว่า ฉันกลัวนะ...ฉันกลัวว่าเขาจะมีคนอื่น หรือไม่ก็มีครอบครัวแล้ว!! ” ยิ่งวาดลัดดาพูดออกมาเท่าไหร่ น้ำตาของเธอก็ยิ่งเอ่อไหลออกมาเท่านั้น

ขณะนี้สาวน้อยกำลังร้องไห้ เธอรู้สึกเสียใจกับชีวิตรักที่ไม่เคยได้ดั่งหวัง ซึ่งตามธรรมชาติของสาววันพุธนั้น มักจะให้ความสำคัญกับเพื่อนมากกว่าคนอื่นๆ เสมอ แต่ถ้าหากวันใดที่มีใครสักคนก้าวเข้ามา แล้วทำให้รู้สึกรักได้ สาวเจ้าก็พร้อมที่จะมอบทั้งใจและกายให้แก่เขาคนนั้น

เช่นเดียวกับวาดลัดดา ที่ผ่านมาหญิงสาวมีชีวิตที่แวดล้อมไปด้วยเพื่อนฝูง แม่ และพี่สาว จนกระทั่งเมื่อเธอได้เจอกับโชติวุฒิ และได้รับความรู้สึกที่เข้าใจว่ามันคือ ความรัก สาวน้อยติดใจกับความรู้สึกแปลกใหม่นี้ เหมือนกับว่ามันได้ช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาดหาย จนสุดท้ายเธอกลับเริ่มอยู่ไม่ได้หากขาดมัน ดังเช่นตอนนี้ที่นักศึกษาสาวพยายามจะไม่คิดมากในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดจากคนรัก แต่สุดท้ายเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้กลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เธอเก็บกดและเครียด ซึ่งเธอเองก็ไม่สามารถที่จะแสดงออกมาเพื่อให้เขาได้รับรู้ เพราะกลัวว่าจะมีปัญหาในภายหลัง

คณิตเข้าสวมกอดเธอเพื่อปลอบประโลม วาดลัดดาเองก็ยกแขนเพื่อสวมกอดเขาเช่นกัน สาวน้อยรับรู้ได้ทันทีว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นห่วงเธอมาก ซึ่งหญิงสาวเองก็พยายามที่จะไม่คิดมากในเรื่องของคนรัก เพื่อความสบายใจของคนรอบข้างที่เป็นคอยเป็นห่วงเป็นใย


“ เธอรู้อยู่แก่ใจว่าเขาก็รักเธอไม่ใช่เหรอ ? ” หนุ่มน้อยพูดขึ้นเพื่อให้เพื่อนสาวรู้สึกดี

“ ก็...รู้มั้ง...เขาเองก็พูดอยู่บ่อยๆ ” เธอเอ่ยออกมาเบาๆ

“ เห็นไหมล่ะ!!...เธอเองก็อย่าไปใส่ใจเสียงนกเสียงกาเลย เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของคนสองคนเท่านั้น คนอื่นไม่เกี่ยว ” เขาพูดปลอบ

วาดลัดดาตอบรับเบาๆ ในลำคอเป็นเชิงเข้าใจ เธอปล่อยตัวออกมาจากอ้อมกอดของเขา พลางหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา

“ ขอบคุณมากนะ...ก็มีแต่เธอที่ยังเป็นกำลังใจให้ฉัน ” สาวน้อยยิ้มออกมา

“ อืม...ก็เราเป็นเพื่อนกันนี่...เพื่อนต้องให้กำลังใจกัน ” เขาบอก

หญิงสาวไม่ได้พูดอะไร แต่กลับมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า แล้วฉีกยิ้มออกมาด้วยความซาบซึ้ง

“ เธอรู้ตัวไหมว่าเธอเป็นผู้ชายที่ดีมาก เป็นผู้ชายในอุดมคติของผู้หญิงหลายๆ คน เพราะเธอใส่ใจต่อความรู้สึกของคนอื่น... ” วาดลัดดากล่าวชื่นชม

ชายหนุ่มมองเธอ แล้วยิ้มให้เป็นเชิงพอใจกับสิ่งที่ได้ยิน

“ ...แต่น่าเสียดายนะ ที่เธอไม่ใช่ผู้ชายแท้...ผู้หญิงหลายๆ คนคงผิดหวังอยู่เหมือนกัน ” สาวน้อยพูดต่อจนจบ เธอรู้ดีว่าเพื่อนหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ผู้ชายทั้งแท่ง เพราะตลอดเวลาที่รู้จักกัน เขาไม่เคยแสดงท่าทีว่าชอบ หรือสนใจผู้หญิงคนไหนเลย หนำซ้ำยังชอบมาอยู่ในกลุ่มเพื่อนผู้หญิงอย่างกลุ่มของเธออีก จนทำให้ใครๆ ต่างพากันเข้าใจว่าเขาเป็นพวกรักร่วมเพศ

“ แต่...บางที...ฉันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เธอเข้าใจก็ได้นะ ” หนุ่มน้อยปฏิเสธ

“ นี่!! เธอไม่ต้องมาปกปิดฉันหรอกนะ ฉันรับได้...ถึงยังไงเราก็เพื่อนกัน ” วาดลัดดาพูดขึ้นเป็นเชิงยอมรับในตัวตนของเขา

คณิตมองเธอแล้วถอนหายใจออกมา เพราะรู้ตัวดีว่าเขาไม่ได้เป็นในสิ่งที่ใครๆ พูดถึง

“ วาด...วาด.... ” เสียงๆ หนึ่งร้องเรียกสาวน้อยมาจากทางด้านหลัง ทำให้ทั้งเธอและคณิตต่างหันไปมอง

ปรากฏให้เห็นเป็นสาววัยทำงาน อายุห่างจากวาดลัดดาประมาณสี่-ห้าปี เธอมีผิวสีขาวเหลือง สวมชุดผ้าฝ้ายสีส้ม กระโปรงสีดำ มือข้างหนึ่งถือแฟ้มใส่เอกสาร ซึ่งบางอย่างบนหน้าของเธอมีส่วนคล้ายกับวาดลัดดาอยู่มาก โดยเฉพาะดวงตาที่กลมโต และจมูกที่เป็นสันได้รูป เธอเดินตรงรี่เข้ามาหานักศึกษาทั้งสอง สาวน้อยมองหญิงสาวผู้นั้นพลางยิ้มให้ก่อนที่จะทักทายกลับ

“ คะ...พี่พิมพ์ ” วาดลัดดาตอบรับ

หญิงสาวผู้นั้นเดินตรงมาหาเธอ ก่อนที่จะเอามือตีแขนของสาวน้อยเบาๆ

“ นี่...พี่บอกแล้วไง เวลาอยู่มหา’ลัยให้เรียกพี่ว่า อาจารย์ ” เจ้าหล่อนวางท่า

“ ค่ะ...อาจารย์ ” เธอรับคำ

“ แล้วนี่ทานข้าวกันหรือยัง ครูเพิ่งตรวจงานเสร็จ...พอดีเจอเราว่าจะชวนไปทานข้าวด้วย...ไปกันไหม ? ” อาจารย์สาวชักชวน

“ ไป...ก็ได้ค่ะ ” วาดลัดดาพยักหน้า

“ แล้วคณิตล่ะ...จะไปทานข้าวด้วยกันไหม ? ” เธอหันไปถามชายหนุ่ม

“ เชิญเลยครับอาจารย์ ผมยังไม่ค่อยหิว ” เขาตอบ

“ ถ้าอย่างนั้นครูจะไปรอเราที่รถนะ คุยกับเพื่อนเสร็จแล้วก็รีบตามมาละกัน อย่าช้าล่ะ!! ” หญิงสาวบอกกับวาดลัดดา แล้วเดินออกมาจากวงสนทนาของทั้งสองคน เพื่อตรงไปยังลานจอดรถข้างอาคารอย่างปราดเปรียว

“ งั้น....เราไปก่อนนะก้อง ไว้เจอกันตอนคาบบ่าย ” วาดลัดดาบอกคณิต

“ อืม...แล้วเจอกัน ” ชายหนุ่มกล่าวทิ้งท้าย

สาวน้อยหันหลังแล้วเดินตามพี่สาวของเธอไปยังลานจอดรถ โดยมีหนุ่มน้อยคอยส่งสายตาตามไปด้วยความเป็นห่วง

คณิตครุ่นคิดอยู่ในใจถึงเรื่องที่ใครๆ ต่างเข้าใจผิดว่าเขาเป็นพวกนิยมไม้ป่าเดียวกัน แม้แต่กับวาดลัดดาเพื่อนสาวคนสนิท แต่ชายหนุ่มก็เข้าใจดีว่าจะมีผู้ชายแท้ๆ คนไหนที่เข้ามาอยู่ในกลุ่มของผู้หญิงหากไม่ใช่พวกรักร่วมเพศ แต่ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะวาดลัดดาเพียงคนเดียว ที่ทำให้ใครๆ ต่างมองหนุ่มน้อยในแง่นี้ ทว่าสำหรับเขา...การที่ได้อยู่ใกล้ชิด ได้ปกป้อง และดูแลเธอในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง ก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกดีใจ เพราะอย่างน้อยสำหรับเขาและนักศึกษาสาวก็คงเป็นได้ไม่ไกลไปกว่า คำว่า...เพื่อน

++++++++++++++++++++++++++++++

ทางด้านวาดลัดดาและพี่สาวของเธออย่างพิมพ์ประภัสร์ก็กำลังรับประทานอาหารกลางวันอยู่ในภัตตาคารแห่งหนึ่งย่านถนนสุขุมวิท หญิงสาวเอ่ยชักชวนน้องของเธอให้มาอยู่ด้วยกันที่คอนโดมิเนียม แต่วาดลัดดากลับปฏิเสธ เหตุเพราะกลัวว่าพี่สาวจะจับได้ในเรื่องที่ตนกำลังคบหาอยู่กับโชติวุฒิ

“ ทำไมเราไม่ย้ายมาอยู่กับพี่เสียล่ะ จะต้องให้แม่เปลืองค่าหอพักทำไม ? ” พิมพ์ประภัสร์ถาม

“ ก็หนูต้องทำรายงานนี่คะ แถมกว่าหนูจะกลับเข้าห้องก็ดึกๆ ดื่นๆ อีก รบกวนพี่พิมพ์แย่ ” สาวน้อยแก้ตัว ทั้งที่ความจริงเธอรู้อยู่เต็มอกว่าเพราะอะไร

“ ทำรายงานจริงหรือเปล่า ไม่ได้แอบอยู่กับใครหรอกนะ ?!! ” อาจารย์สาวเริ่มจับผิด

“ จะบ้าเหรอพี่พิมพ์...หนูก็อยู่คนเดียวของหนูสิคะ จะให้หนูอยู่กับใครล่ะ ” นักศึกษาสาวปฏิเสธเสียงแข็ง

“ พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่...แค่สงสัยว่าเราอยู่กับใครหรือเปล่าก็เท่านั้น!! ” เธอแก้ต่าง

“ แล้วพี่พิมพ์สงสัยใครเหรอคะ...อย่าบอกนะว่าสงสัยนายก้อง ?!! ” วาดลัดดาถามกลับ

“ ใช่!!...พี่สงสัยนายคณิต ” เธอยอมรับ

“ โธ่!! พี่พิมพ์...นายก้องเขาเป็นเกย์ค่ะ เขาไม่ได้ชอบผู้หญิงหรอก ” สาวน้อยอธิบาย

“ พี่ไม่เชื่อหรอก...เขาดูไม่เห็นเหมือนเกย์เลย ” เธอกล่าว

“ เขาก็คงจะแอ๊บแมน เพื่อปิดบังครอบครัวล่ะมั้งคะ!! ” วาดลัดดาตั้งข้อสังเกต

“ เอาเถอะ...จะอย่างไรก็แล้วแต่... ” พิมพ์ประภัสร์พูดยังไม่ทันจบก็ยื่นมือของตนมาจับเข้าที่มือของน้องสาว

“ ...สัญญากับพี่ได้ไหม...ว่าเราจะไม่ชิงสุกก่อนห่าม อย่าทำให้แม่เสียใจ...เหมือนอย่างพี่ ” เธออ้อนวอน

วาดลัดดามองหน้าพี่สาวอย่างอึดอัดใจ เธอรู้ตัวดีว่าสายไปเสียแล้วกับสิ่งที่พี่สาวร้องขอ แต่เธอก็ต้องข่มใจที่จะรับปาก แม้รู้ว่ามันไม่ทันการณ์แล้วก็ตาม

“ เขา...ยังติดต่อกับพี่อยู่ไหม ? ” วาดลัดดาเอ่ยปากถามพี่สาวถึงบุคคลหนึ่ง

“ ใคร ? ” พิมพ์ประภัสร์ถามกลับ

“ ก็คุณหมอไง...คุณหมอเมฆ ” เธอว่า

พิมพ์ประภัสร์ถอนหายใจออกมา อาจารย์สาวรู้สึกตะขิดตะขวงใจกับการที่จะต้องตอบคำถามนี้ แต่เธอก็ยินดีที่จะเล่าให้น้องสาวฟัง

“ ก็...ยังติดต่อมาอยู่ แต่พี่ไม่รับสายเขาหรอกนะ!! อย่างเมื่อเช้านี้เขาก็ส่งข้อความมา ” เธอเล่า

“ ส่งมาว่าอะไร ? ” วาดลัดดาถามกลับ

“ ก็ส่งมาประมาณว่าขอคืนดี กับให้โอกาสผมได้อธิบายหน่อย...ก็แค่นั้น ” เธอว่า

“ แล้วทำไมพี่ไม่ฟังเขาอธิบายหน่อยล่ะ ? ” น้องสาวถาม

“ จะต้องให้อธิบายอะไรอีก...ในเมื่อพี่เห็นเขาอยู่กับนางผู้หญิงคนนั้นในห้องน้ำ และไม่ได้สวมอะไรเลยแม้แต่เสื้อผ้า จะต้องให้พี่ฟังอะไรจากเขาอีกเหรอ ? ” น้ำเสียงของเธอเริ่มสั่นเครือ วาดลัดดาเข้าใจดีว่าพี่สาวของตนกำลังสะกดกลั้นอารมณ์ไม่ให้ร้องไห้

“ โอเคค่ะ...หมดคำถามแล้ว!!! ” สาวน้อยพูดเพื่อปิดประเด็น เพราะเธอไม่อยากเห็นพี่สาวร้องไห้อีก แต่พิมพ์ประภัสร์ก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ หญิงสาวจึงเอื้อมมือไปหยิบกระดาษชำระบนโต๊ะ

“ เพราะอย่างนี้ใช่ไหม พี่ถึงย้ายข้าวของออกมาจากห้องเขา และมาเช่าคอนโดฯ อยู่เอง แล้วนี่ยังจะให้หนูไปอยู่ด้วยอีก ? ” วาดลัดดาตั้งคำถาม

“ ใช่!! ก็พี่เลิกกับเขาแล้ว...ก็ต้องมาอยู่ของพี่เองสิ และเธอเองก็ควรจะมาอยู่กับพี่ด้วย เพื่อแม่จะได้ไม่ต้องมาลำบาก ” พิมพ์ประภัสร์อธิบาย

“ โธ่...พี่พิมพ์ หนูอยู่ของหนูอย่างนี้สบายกว่ากันเยอะ แล้วอีกอย่างถ้ากลัวจะเดือดร้อนเงินทองแม่นัก หนูหาเงินของหนูเองก็ได้ ” วาดลัดดาบอกกับพี่สาว

“ เราจะไปทำอะไร ยังเรียนอยู่เลยนะ ? ” เธอถาม

“ เยอะแยะไปพี่...ไม่ต้องเป็นห่วงหนูหรอก ” นักศึกษาสาวตอบ

พิมพ์ประภัสร์รู้สึกเหนื่อยใจที่จะโน้มน้าวน้องสาวหัวแข็งคนนี้ เธอจึงเปลี่ยนเรื่องสนทนา

“ เออนี่...ยายวาด!! เมื่อวานพี่ไปเดินห้างฯ มา ซื้อน้ำหอมที่เธออยากได้มาด้วย เห็นบ่นๆ ว่าหมดไม่ใช่เหรอ ? ” อาจารย์สาวพูดพลางหยิบขวดน้ำหอมขึ้นมาจากถุงกระดาษ แล้วส่งให้กับน้องสาว

“ พี่นี่รู้ใจหนูจริงๆ เลย...ดูสิ ซื้อของมาฝากน้องด้วย ” วาดลัดดากล่าว พลางเปิดฝาน้ำหอมออกอย่างอารมณ์ดีเพื่อสูดกลิ่นหอมจากหัวฉีดอย่างที่เธอชอบ ทว่าไม่ทันที่จะได้สูดกลิ่นแต่อย่างใด เพียงแค่ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ลอยออกมา เธอก็ผละขวดน้ำหอมออกไปให้พ้นจมูก และทำท่าราวกับว่ามันเป็นขยะชิ้นหนึ่ง

“ ทำไมมันเหม็นอย่างนี้เนี่ยพี่พิมพ์...เหม็นมากเลย ?? ” เธอว่า

“ เหม็นอะไร...หอมจะตาย เธอเองก็ใช้อยู่บ่อยๆ ยังจะมาหาว่าเหม็นอีก ” หญิงสาวสงสัย

“ เหม็นสิพี่...เอาไปลองดมดู!! ” เธอพูดพลางยื่นขวดน้ำหอมให้แก่พิมพ์ประภัสร์

อาจารย์สาวรับขวดน้ำหอมมาดม แล้วฉีดใส่ข้อมือตนเอง

“ ก็ไม่เหม็นนี่...กลิ่นก็ปกติ นี่ไง!! ” เธอยื่นข้อมือให้น้องสาว แต่ก็ถูกผลักออกมาทันทีที่เจ้าหล่อนได้กลิ่น

“ ไม่เอาค่ะ...หนูเหม็น!! พี่เอาไปใช้เถอะ หนูไม่เอาแล้ว ” สาวน้อยแสดงท่าทีรังเกียจอย่างเห็นได้ชัด

“ เป็นอะไรของเธอยายวาด...อยู่ๆ ก็มาบ่นเหม็น ทั้งๆ ที่น้ำหอมกลิ่นนี้เธอก็ใช้เป็นประจำแท้ๆ ” อาจารย์สาวสงสัย

“ ไม่รู้เหมือนกันค่ะ...แต่เอามันไปให้พ้นๆ หนูเถอะ หนูเหม็นมาก!! ” วาดลัดดายังคงยืนกราน

พิมพ์ประภัสร์สงสัยในท่าทีของน้องสาว แต่สุดท้ายเธอก็ยินดีที่จะเก็บน้ำหอมใส่ลงไปในถุงกระดาษดังเดิม หญิงสาวไม่พูดและไม่คิดที่จะถามอะไรอีก เพราะรู้ดีว่าสาวน้อยก็ไม่สามารถให้คำตอบแก่เธอได้เช่นกัน จากอาการแพ้กลิ่นน้ำหอมที่เพิ่งเกิดขึ้น

++++++++++++++++++++++++++++++