*~บทที่ 2~*


หลังจากที่จิตติมาติดต่อกับฝ่ายบุคคลถึงเรื่องการสัมภาษณ์งาน เธอก็ได้ถูกเชิญมายังห้องโถงของบริษัทเพื่อให้รอฟังการเรียกชื่อ แน่นอนว่าวันนี้ไม่ได้มีแค่หญิงสาวคนเดียวเท่านั้น แต่ยังมีคนอื่นๆ อีกสี่คนที่มีนัดสัมภาษณ์งานในตำแหน่งเดียวกันกับเธอ

หญิงสาวมองดูลักษณะคู่ต่อสู้ของเธอแต่ละคน ซึ่งทุกคนล้วนแต่งตัวอย่างมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับรสนิยมและเพศสภาพ ดังเช่น ชายใส่แว่นรูปร่างผอมที่นั่งอยู่ริมสุดของโซฟา การแต่งกายของเขาดูคล้ายๆ กับยุทธชายหนุ่มที่เธอเพิ่งชวนขึ้นรถแท็กซี่มาด้วยกัน และถัดจากชายผู้นั้นคือ สาวผิวคล้ำที่แต่งกายคล้ายกับผู้ชาย ซึ่งบางทีเธอหรือเขาอาจจะไม่ได้ชอบผู้ชายเลยด้วยซ้ำ ส่วนผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับจิตติมาคือ สาวน้อยอายุประมาณยี่สิบกว่าที่เพิ่งเรียนจบมาหมาดๆ และหนุ่มใหญ่ที่นั่งข้างเธอ ดูท่าทางแล้วน่าจะเป็นเจ้าของกิจการ มากกว่าจะมาสมัครงานเป็นผู้ช่วยครีเอทีฟเสียอีก

ขณะที่หญิงสาวกำลังพิจารณาคู่ต่อสู้อยู่นั้น พนักงานสาวฝ่ายบุคคลก็เดินมาเรียกชายหนุ่มใส่แว่นให้เข้าไปสัมภาษณ์งานในห้องเป็นคนแรก เขาตอบรับและหยิบเอกสาร เพื่อเตรียมตัวจะลุกขึ้นไป แต่อยู่ๆ สาวใหญ่วัยกลางคนผู้เป็นหัวหน้าฝ่ายบุคคลก็รีบเปิดประตูออกมา พลางแจ้งกับพนักงานสาวว่า ให้พาผู้ที่มาสัมภาษณ์ไปห้องของครีเอทีฟใหญ่แทน

“ อ้าว!! ทำไมล่ะคะพี่ศรี...ครีเอทีฟเขาจะสัมภาษณ์งานด้วยตนเองเลยเหรอ ? แปลกจัง!! ” เธอทำหน้าสงสัย

“ ใช่!! เพราะเขาต้องการคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ที่จะสามารถร่วมงานกับเขาได้ ” หัวหน้าฝ่ายบุคคลอธิบายให้ลูกน้องของเธอฟัง

พนักงานสาวนิ่งไปพลางนึกในใจว่าจะมีสักคนไหมที่เขารับเข้าทำงาน ??

“ รีบไปเถอะน้องครีม...อย่าให้เขารอนาน ” ผู้เป็นหัวหน้าเร่ง จากนั้นจึงหันกลับมามองผู้ที่นั่งรอสัมภาษณ์งานที่เหลือรวมถึงจิตติมาด้วย

“ โชคดีนะคะ ” เจ้าหล่อนฉีกยิ้มให้กับทุกคนอย่างระรื่น ก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในห้องดังเดิม

จิตติมารู้สึกใจหายวาบ เมื่อรู้ว่าครีเอทีฟใหญ่จะเป็นผู้สัมภาษณ์งานด้วยตนเอง

หญิงสาวหันมากลับมาทางคนอื่นๆ ที่เหลือ เธอสังเกตเห็นว่าพวกเขาเหล่านั้นมีท่าทางที่ไม่ได้แตกต่างไปจากเธอเสียเท่าไหร่ จะมีก็แต่สาวห้าวที่ดูจะไม่แสดงอาการหวั่นไหวใดๆ ออกมา นอกจากจะพูดจาบ่นพร่ำปลอบใจตนเองและคนอื่นๆ แล้ว ยังเล่นมุข ( เสี่ยวๆ ) อยู่คนเดียว บางครั้งก็ยังพูดจาหยอกล้อกับสาวน้อยที่นั่งตรงข้ามกับจิตติมา แต่เธอผู้นั้นก็ไม่ได้มีทีท่าจะสนใจสาวห้าวเลยแม้แต่น้อย

ไม่นานชายหนุ่มใส่แว่นที่ได้เข้าไปสัมภาษณ์เป็นคนแรกก็เดินกลับออกมา พร้อมกับพนักงานฝ่ายบุคคลสาวที่พาเขาเข้าไปในช่วงต้น หนุ่มแว่นผู้นั้นไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าถึงความสำเร็จแต่อย่างใด เพียงแต่รีบเดินลงบันไดไปทันที โดยที่ไม่ได้กล่าวอะไรกับผู้ที่มารอสัมภาษณ์หรือพนักงานสาวผู้นั้นเลยสักคำ นั่นยิ่งทำให้ผู้ที่นั่งรอเกิดความรู้สึกหวั่นใจมากยิ่งขึ้น

“ เชิญคุณดวงพรค่ะ ” พนักงานฝ่ายบุคคลเรียกชื่อสาวห้าวผู้นั้น เธอหรือเขาลุกขึ้นจากโซฟาด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้มเพื่อสะกดอารมณ์กลัว พลางพูดจาหยอกล้อกับพนักงานสาวขณะที่เดินไปยังห้องของครีเอทีฟใหญ่

จิตติมามองตามคนทั้งคู่ไปจนลับสายตา แล้วหันกลับมามองผู้ที่รอสัมภาษณ์ที่เหลือ...อีกเพียงไม่กี่คนก็จะถึงลำดับของเธอแล้ว เธอควรใช้เวลาที่มีอยู่คิด และออกแบบคำพูดที่ดูดี เพื่อสำหรับแนะนำตนเองขณะถูกสัมภาษณ์ดีกว่า

...แต่ทว่าเวลาช่างผ่านไปไวเหมือนสายลม ไม่ทันที่หญิงสาวจะคิดหาคำพูดได้จบประโยค สาวห้าวผู้นั้นก็เดินกลับมา เธอหรือเขาเฝ้าถามแต่พนักงานสาวตลอดทางว่า ครีเอทีฟรับเข้าทำงานแล้วหรือยัง ?!!

“ ไว้ทางเราจะติดต่อกลับไปอีกทีนะคะ...เชิญคุณสุชาติค่ะ!! ” พนักงานฝ่ายบุคคลตัดบท พลางเรียกหนุ่มใหญ่ที่นั่งข้างๆ จิตติมา ชายผู้นั้นลุกขึ้นและเดินตามพนักงานสาวไปอย่างไม่รีรอ เหลือก็แต่สาวห้าวผู้ซึ่งได้รับคำตอบที่ไม่ตรงตามความต้องการสักเท่าไหร่

จิตติมาละสายตาจากเธอหรือเขาผู้นั้นแล้วมานั่งนึกบทพูดให้ตนเองต่อ...ชื่อ...นามสกุล...ผลการศึกษา...กิจกรรม...ต้องเปลี่ยนให้ดูดีอีกนิด ผลงานที่เธอเคยได้ทำและชีวิตการทำงานที่ผ่านมา ใช่!! ชีวิตการทำงานตลอดเก้าปีกับงานที่ไม่ได้ชอบเอาเสียเลย!!!

เธอใช้เวลาในการรอสัมภาษณ์ที่เหลือคิดหาคำพูด เพื่อที่จะมาสรรเสริญและปูประวัติของตนเองให้ดูดี แน่นอน!! มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะหาคำพูดมาแก้ต่างว่า เพราะเหตุใดผู้หญิงอายุย่างเข้าเลขสามอย่างเธอถึงเปลี่ยนที่ทำงานมาแล้วถึงสี่ที่ ทั้งที่ในความเป็นจริงฐานะทางอาชีพการงานของเธอควรจะมั่นคงตั้งแต่อายุยี่สิบหกแล้ว แต่กลายเป็นว่าทุกวันนี้เธอยังไม่มีอะไรที่เป็นของตนเอง นอกจากห้องอพาร์ทเม้นท์ที่ใช้อาศัยอยู่ แถมยังต้องจ่ายค่าเช่าเป็นเดือนๆ ซึ่งในตอนนี้หญิงสาวทำได้แค่เพียงพยายามนึกหาคำพูดและเหตุผลที่ไม่ใช่คำว่า ไม่ชอบงานเก่า หรือ เบื่องานเก่า โดยคำพูดที่ใช้ควรฟังดูดีและสมเหตุสมผลมากกว่านี้ ถ้าจะกล่าวอ้างถึงการเปลี่ยนงานของเธอ...

“ เชิญคุณจิตติมาค่ะ ” หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่จะคิดได้ว่าเธอชื่อจิตติมา

“ คะ ?? ” เธอขานรับเป็นเชิงถาม เพื่อให้แน่ใจว่าพนักงานสาวเรียกชื่อของเธอจริงๆ

“ เชิญสัมภาษณ์งานค่ะ ” หล่อนพยักหน้าเป็นเชิงให้จิตติมาลุกขึ้น

หญิงสาวงุนงงอยู่เล็กน้อยว่าถึงลำดับของตนตั้งแต่เมื่อไหร่ นั่นเพราะมัวแต่นึกคิดคำพูดจนลืมสังเกตว่า สาวน้อยที่นั่งอยู่ตรงข้ามถูกเรียกตัวเข้าไปสัมภาษณ์งานตั้งนานแล้ว และตอนนี้ก็ได้เวลาของเธอเสียที

“ พร้อมหรือยังคะ ? ” พนักงานสาวถามซ้ำ เนื่องจากเห็นท่าทางที่ดูงุนงงของเธอ

“ พร้อม...พร้อมแล้วค่ะ ” จิตติมารีบตอบ

“ ถ้าอย่างนั้น เชิญทางด้านนี้เลยค่ะ ” หล่อนผายมือ พลางเดินนำเพื่อพาเธอไปยังห้องสัมภาษณ์

หญิงสาวรีบเดินตามไปทันที และในขณะเดียวกันก็พยายามนึกหาคำพูดที่จะมาใช้แก้ต่างในการลาออกจากงานเก่า แต่คิดเท่าไหร่ก็ยังไม่ได้คำพูดที่ดูมีเหตุมีผลดีพอ จนกระทั่งมารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เท้าของเธอได้พามายืนอยู่ที่หน้าห้องของครีเอทีฟใหญ่แล้ว

“ คุณเตรียมเอกสารพร้อมใช่ไหมคะ ? ” พนักงานสาวถาม

“ ค่ะ ” เธอตอบ

“ ดีมากค่ะ...คนที่มาสัมภาษณ์งานก่อนหน้าคุณ เขาไม่มีใบวุฒิบัตรการศึกษากับสำเนาทะเบียนบ้านอย่างถูกต้อง จึงทำให้ที่อยู่ในบัตรประชาชนกับทะเบียนบ้านไม่ตรงกัน เลยโดนตอกหน้ากลับออกมา ของคุณมีครบใช่ไหมคะ ? ” พนักงานสาวถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

“ ค่ะ...ครบค่ะ ” เธอย้ำ

“ ถ้าอย่างนั้นเชิญคุณเข้าห้องได้เลยค่ะ ครีเอทีฟพร้อมที่จะสัมภาษณ์คุณแล้ว...เชิญค่ะ ” พนักงานสาวผายมือเพื่อให้เธอเข้าไปในห้อง หญิงสาวพยักหน้าตอบรับเล็กน้อยก่อนที่จะผลักประตูเข้าไป

ภาพที่ปรากฏภายในห้องนั้น เบื้องหน้ามีโต๊ะไม้ตัวใหญ่ตั้งอยู่ ราวกับว่ามันเป็นโต๊ะที่ใช้สำหรับการประชุมย่อยๆ เพื่อวางแผนงาน เธอมองซ้าย มองขวา เพื่อหาครีเอทีฟใหญ่ที่ว่า แต่ก็ยังไม่พบเขา จนกระทั่งหญิงสาวก้าวเท้าเข้ามาในห้อง ก่อนที่จะค่อยๆ บรรจงปิดประตู จากนั้นจึงเดินเลี้ยวขวาเข้ามาที่หัวมุม

“ เชิญเลยครับ ” เสียงจากชายคนหนึ่งร้องเรียกเธอมาจากทางด้านนั้น

จิตติมาเดินตรงไปหาเจ้าของเสียงที่ร้องเรียก พลันทำให้เธอได้พบกับบุคคลผู้เป็นครีเอทีฟใหญ่ นั่นคือ ชายหนุ่มรูปร่างสูง ผิวออกเหลือง เขาสวมชุดสีน้ำตาลเข้ม และกางเกงยีนส์สีดำ ต่างกันก็แค่ไม่มีซองเอกสารสีน้ำตาล และกระบอกใส่แบบเขียนงานอย่างที่เคยเห็นในตอนแรก ชายหนุ่มผู้นั้นมองดูเธอและยิ้มให้ ส่วนเธอเองก็ยังคงยืนงงกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า เพราะไม่นึกว่าชายหนุ่มที่นั่งรถโดยสารคันเดียวกัน จะเป็นผู้ที่รอสัมภาษณ์งานในครั้งนี้

“ อ้าว!!...คุณยุทธ!!...คุณเป็นครีเอทีฟของที่นี่เหรอคะ ? ” หญิงสาวสงสัย เธอถามเขาพลางหยีตาด้วยท่าทีครุ่นคิด

“ ใช่ครับ...ผมเป็นครีเอทีฟของที่นี่ ” ชายหนุ่มยืนยัน“ แล้วทำไมคุณถึงไม่บอกฉันล่ะคะ ? ” เธอถามอีก

“ ก็คุณไม่ได้ถามผมตั้งแต่แรกนี่!! ” เขาตอบ

หญิงสาวยื่นนิ่งและพยายามที่จะพูดบางอย่างออกมา แต่ดูเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างจุกอยู่ที่ปากของเธอ

“ ฉ...ฉัน...พูดอะไรไม่ออกเลยเมื่อพบคุณ...คุณคือ คนที่จะสัมภาษณ์งานฉัน ” ใบหน้าของเธอแสดงออกถึงรอยยิ้มจากเรื่องตลกที่เกิดขึ้น โดยที่เจ้าตัวไม่คาดคิดมาก่อนว่าเรื่องบังเอิญเช่นนี้จะเกิดกับเธอได้

“ ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ ถึงอย่างไรเราก็ต้องเจอกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว...เอาเป็นว่าเชิญคุณนั่งลงก่อนดีกว่า แล้วทำใจให้สบาย พร้อมสัมภาษณ์เมื่อไหร่ค่อยบอกผมละกัน...ผมไม่รีบ ” ยุทธบอกกับจิตติมา พลางเลื่อนเก้าอี้ที่ด้านหน้าโต๊ะทำงานให้เธอนั่ง ก่อนที่เขาจะเดินอ้อมไปด้านหลังเพื่อนั่งเก้าอี้ประจำตัว

“ ฉันไม่ทำให้คุณเสียเวลาหรอกค่ะ ” หญิงสาวบอกแก่เขาด้วยท่าทีเกรงใจ หลังจากเรียกสติกลับคืนมาได้ เธอค่อยๆ ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้และวางแฟ้มเอกสารไว้บนโต๊ะ

“ ผมคงไม่จำเป็นที่จะต้องดูมันแล้วล่ะครับ เชิญคุณเก็บไว้ให้ฝ่ายบุคคลดีกว่า ” ชายหนุ่มจำได้ว่าเคยดูแฟ้มประวัติผลงานของเธอมาก่อนหน้านั้นแล้ว

“ ตอนนี้ผมมีคำถามที่จะถามคุณอย่างหนึ่ง ” เขาเกริ่น

“ คำถามอะไรคะ ? ” เธอสงสัย

“ ผมอยากจะถามคุณว่ามีเหตุผลอะไรไหมที่ผมจะต้องจ้างคุณเข้าทำงาน เพื่อมาเป็นผู้ช่วยของผม ? ” หญิงสาวรู้สึกงุนงงจนหน้าถึงกับถอดสี เพราะทั้งชีวิตตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยได้พบเจอกับคำถามอะไรแบบนี้มาก่อน

“ คุณ...ถาม...คำถามนี้กับทุกคนเลยหรือเปล่า ? ” จิตติมาถามยุทธกลับเพื่อความมั่นใจ เพราะกำลังสงสัยว่า ไม่ใช่แค่เธอคนเดียวใช่ไหมที่เจอกับคำถามลักษณะนี้

“ ผมกำลังถามคุณอยู่นะครับคุณจิตติมา ” ยุทธตอบกลับ แม้ว่ามันจะไม่ใช่คำตอบที่ตรงกับคำถามสักเท่าไหร่

หญิงสาวเข้าใจแล้วว่า นี่คือ บททดสอบสุดท้าย เพื่อเป็นตัวชี้วัดว่า เธอเหมาะสมกับหน้าที่นี้หรือไม่ จิตติมาฉีกยิ้มให้เขาก่อนที่จะตอบคำถามที่ถามไปเมื่อครู่

“ เหตุผลที่คุณจะต้องจ้างฉันมีแน่นอนค่ะ...เพราะฉันเก่ง ฉลาด มีความสามารถ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ซึ่งคุณก็เห็นไปแล้วนี่ที่ป้ายรถประจำทาง…และที่สำคัญฉันสามารถเป็นที่ปรึกษาที่ดีให้กับคุณได้...ในทุกๆ เรื่อง ” เธอตอบออกมาอย่างมั่นใจ แววตาฉายความมุ่งมั่น คำพูดที่พรั่งพรูออกมานั้นล้วนเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น

หญิงสาวรู้ตัวดีว่าตนเองเป็นคนแบบไหน และมีอุดมการณ์เช่นไร ครั้งนี้ก็เช่นกัน ถึงแม้มันไม่ใช่คำพูดที่คิดเอาไว้ล่วงหน้า แต่เธอกลับพูดออกมาในสิ่งที่เป็นตนเองล้วนๆ

ยุทธมองหน้าเธอสักพัก เขาพยักหน้าช้าๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร ราวกับว่ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับหญิงสาวอยู่

เธอมองหน้าเขาแล้วเม้มริมฝีปาก เพราะไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ชายผู้นั่งอยู่ตรงหน้ากำลังคิดใคร่ครวญอยู่นั้น เขาคิดถึงเรื่องอะไร เขาพอใจกับคำตอบของเธอหรือไม่…บางทีอาจกำลังใช้วิจารณญาณเพื่อพิจารณาสิ่งที่เธอพูดออกไป เพราะมันค่อนข้างตรงไปตรงมาและดูโอ้อวด จนสามารถทำให้คิดไปได้ว่า เธออาจจะไม่เหมาะสมที่จะทำงานร่วมกับเขาได้ในอนาคต

“ ฉัน...คงไม่เหมาะกับการเป็นผู้ช่วยของคุณมั้งคะ ? ” เธอค่อยๆ เอ่ยออกมาเมื่อรู้สึกว่า ความเป็นไปได้ในการทำงานที่นี่เริ่มลดลง

“ ผมยังไม่ได้บอกคุณเลยนะครับว่าคุณเหมาะหรือไม่เหมาะ ” ยุทธทำสีหน้าสงสัย

“ ไม่รู้สิคะ...ฉันแค่รู้สึกน่ะ ” เธอกล่าว

“ อย่างนั้นเหรอครับ ? ” เขาถามกลับ

จิตติมาไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ยิ้มน้อยๆ ให้กับยุทธ แล้วทำท่าว่าจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ เธอเตรียมใจและรู้เอาไว้อยู่แล้วว่า คำพูดของเธออาจจะทำให้เขารู้สึกไม่พอใจก็เป็นได้

“ นั่นคุณจะไปไหนครับ ? ” ยุทธถาม

“ คุณสัมภาษณ์ฉันจบแล้วไม่ใช่เหรอคะ ? ฉันคิดว่าคงหมดธุระแล้ว...ก็เลยจะขอตัว ” เธอบอก

“ ผมยังไม่ได้อนุญาตให้คุณกลับออกไปเลยนี่ครับ...นั่งลงก่อน ” เขาพูด

“ ฉันทราบดีค่ะว่าคำตอบของฉันเมื่อครู่นี้...อาจฟังดูอวดเก่งจนเกินไป แล้วฉันก็คิดว่าคุณอาจจะไม่ชอบ แต่ที่ฉันพูดไปทั้งหมดนั้น...มันคือ ตัวตนของฉันจริงๆ ” เธออธิบาย

“ ครับผม...ดีแล้วครับที่คุณพูดออกมาจากความรู้สึกจริงๆ และผมก็คิดว่าคุณเองก็ไม่โกหกผมหรอก... “ ชายหนุ่มพูดค้างไว้ พลางเอามือล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกง

จิตติมาเบิกตาขึ้นเล็กน้อย เมื่อเห็นยุทธเอามือลงไปที่ด้านล่าง

“ น...นั่นคุณจะทำอะไรคะ...คุณยุทธ ?!! ” เธอตกใจ พลางยกมือขึ้นปิดตา

“ ป...เปล่า ผมไม่ได้ทำอะไร ผมแค่จะหยิบกุญแจให้คุณ ” เขาว่า

“ ก...กุญแจ ??? ” หญิงสาวทำหน้าสงสัย

“ ใช่ครับ!!...ที่นี่เราเข้างานตอนเก้าโมงเช้า โต๊ะของคุณอยู่ตรงนั้น แล้วก็นี่ครับ...กุญแจ ถ้าคุณมาก่อนก็เชิญคุณไขเข้ามาได้เลย ” ยุทธบอกกับเธอ พลางยื่นลูกกุญแจให้

“ คุณ...รับฉันเข้าทำงานแล้วเหรอคะ ? ” จิตติมาทำสีหน้างุนงง

“ ครับ...คุณมีอะไรสงสัยอีกหรือเปล่า ? ” เขาถามกลับ

“ ฉ...ฉันอยากทราบแค่ว่า...เพราะอะไรคุณถึงรับฉันเข้าทำงาน ? ” เธอถามอีกครั้งเพื่อความกระจ่าง

“ คุณเองก็บอกเหตุผลผมมาแล้วนี่ครับว่าเพราะอะไร ” เขาให้คำตอบก่อนที่จะยิ้มออกมา ซึ่งเธอเองก็มองเขาก่อนที่จะเปลี่ยนสีหน้า จากความงุนงงเป็นรอยยิ้มแห่งความดีใจเช่นกัน

จิตติมากล่าวลายุทธผู้ซึ่งกำลังจะเป็นเจ้านายคนใหม่ โดยที่ไม่ลืมหยิบลูกกุญแจออกมา หญิงสาวรีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจากกระเป๋า เพื่อต่อสายหาเพื่อนสนิท และเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เพื่อนของเธอฟัง


สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้แม้จะเป็นช่วงเวลาเพียงสั้นๆ แต่นั่นก็อาจเป็นช่วงเวลาที่สำคัญของใครหลายๆ คน กับการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ในชีวิต ที่พวกเขาได้เฝ้ารอคอย

เช่นเดียวกับจิตติมาที่รอคอยการทำงานในอาชีพที่เธอใฝ่ฝัน แม้ว่าในช่วงแรกนั้นอาจจะเสียเวลา และมัวแต่ค้นหาตัวตนที่แท้จริง จนปล่อยให้เวลาผ่านพ้นไปอย่างน่าเสียดาย แต่สุดท้าย...ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่มีคำว่าสายตราบใดที่ยังมีลมหายใจ และมีแรงกายที่จะผลักดันตนเอง

++++++++++++++++++++++++++++++