*~บทที่ 1~*

เช้าวันหนึ่งในฤดูร้อนที่แสนจะอบอ้าวและเหนอะหนะ ที่เกิดกับเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพมหานคร ได้ถูกปลุกขึ้นมาด้วยแสงแห่งรุ่งอรุณ เป็นสัญญาณที่บอกว่าวันแห่งความวุ่นวายอีกวันหนึ่งได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

แสงแดดสีทองส่องประกายไปทั่วเมืองไม่ว่าจะบนท้องถนน ตามตรอกซอกซอยต่างๆ หรือแม้แต่ช่องหน้าต่างบานเล็กๆ ของอพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่งตรงถนนสาทร ได้สาดส่องตกกระทบมายังใบหน้าขาวๆ ของสาวร่างน้อยวัยสามสิบอย่างจิตติมา

แสงนั้นได้ปลุกเธอให้ตื่นขึ้นมาจากความหลับใหล หญิงสาวลืมตาขึ้น แล้วดูนาฬิการูปข้าวโพดที่อยู่ตรงหัวเตียง

“ เพิ่งจะแปดโมงครึ่งเอง... ” เธอบ่นพึมพำในลำคอ ก่อนที่จะคล้อยตาหลับต่อพลางคลุมโปงเพื่อหลบแสงนั่น แต่ไม่ทันไรเธอกลับกระวีกระวาดลุกขึ้นจากเตียงทันทีเมื่อรู้ตัวว่าเช้านี้กำลังจะสาย!!!

มันไม่ใช่เรื่องง่ายของสาววัยนี้ที่จะเริ่มต้นกับสิ่งใหม่ แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่เธอเฝ้ารอคอยมาตลอดเกือบทั้งชีวิต แต่เมื่อโอกาสที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยมายืนคอยอยู่ตรงหน้า หญิงสาวก็ไม่รอช้าที่จะรีบคว้ามัน

เป็นเวลาเกือบเดือนแล้วที่จิตติมาพยายามหางานที่ต้องการจะทำ หลังจากที่เปลี่ยนงานมาแล้วถึงสี่ครั้งนับตั้งแต่เรียนจบ และล่าสุดเธอก็เพิ่งลาออกจากบริษัทที่สี่เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา หญิงสาวรู้ดีว่างานที่เกี่ยวข้องกับเอกสารและงานบัญชี ไม่ใช่สิ่งที่ตนถนัดเสียเท่าไหร่ แต่เธอกลับเรียนจบด้านนี้มาด้วยผลคะแนนที่น่าพอใจ ซึ่งความจริงแล้วเจ้าหล่อนอยากทำงานในบริษัทสื่อฯ หรือโฆษณามากกว่า แม้ว่าจะไม่มีโอกาสได้เรียนทางด้านนี้เลยก็ตาม

และในครั้งนี้การได้เข้าทำงานในบริษัทที่ห้าก็อาจจะเริ่มขึ้น เมื่อเธอได้รับแจ้งจากบริษัทโฆษณาแห่งหนึ่งที่ไปลงสมัครงานไว้ โทรศัพท์มานัดให้เธอไปสัมภาษณ์งานในเช้าวันรุ่งขึ้นตอนสิบโมง หญิงสาวแทบจะไม่เชื่อหูตนเอง เพราะงานที่ว่านี้เป็นงานที่เธอใฝ่ฝันอยากจะทำมาตลอด แถมบริษัทที่ติดต่อกลับมาก็เป็นบริษัทโฆษณาที่ผู้ผลิตสินค้าส่วนใหญ่ให้ความนิยม ซึ่งตำแหน่งที่เธอถูกเรียกตัวไปสัมภาษณ์นั้นก็คือ ตำแหน่งผู้ช่วยครีเอทีฟ

ดูเหมือนความฝันใกล้จะเป็นความจริง หากเจ้าหล่อนได้ทำงานที่บริษัทแห่งนี้ ที่นี่อาจจะเป็นที่สุดท้ายในชีวิตการทำงานของเธอ หญิงสาวบอกกับตนเองว่าจะตั้งใจทำงานและทุ่มเทกับมันในสายอาชีพที่ฝันถึง แต่ทุกสิ่งเกือบจะไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง เมื่อเธอลุกขึ้นจากที่นอนตอนแปดโมงครึ่ง เพราะความตื่นเต้นจากเมื่อคืนส่งผลให้นอนไม่หลับ จึงทำให้ต้องรีบเร่งในตอนเช้า

จิตติมาเลือกชุดสีเหลืองสดใสออกมาจากตู้เพื่อเป็นชุดนำโชค อันที่จริงแล้วเจ้าหล่อนคิดว่าสีประจำวันเกิดอาจจะทำให้เธอโชคดีขึ้นมาบ้าง ซึ่งไม่ต่างกับสาววันจันทร์ทั่วไปที่ชอบมองโลกในแง่ดี มักจะมองแต่ข้างหน้า ไม่ค่อยนึกถึงอดีตที่ผ่านมาเสียเท่าไหร่ แม้ว่าบางเรื่องอาจจะเป็นประสบการณ์ที่แสนจะเจ็บปวด หญิงสาวคิดเสมอว่าถ้าตราบใดที่ตนยังมีชีวิตอยู่ ถึงแม้จะล้ม เธอก็จะลุกขึ้นและเดินหน้าต่อไปอย่างเต็มที่ เพื่อชีวิตที่ดีกว่าในวันข้างหน้าที่กำลังมาถึง...

จิตติมารีบลงบันไดออกมาจากอพาร์ทเม้นท์ และตรงดิ่งมายังป้ายรถประจำทางเพื่อที่จะรอรถ เธอชะเง้อหน้ามองดูสายรถที่ต้องการจะไป...คันแล้ว...คันเล่า แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าคันที่ต้องการจะมาเสียที เธอเริ่มกระสับกระส่ายและบ่นพึมพำออกมาเป็นครั้งคราว ยิ่งเธอรู้สึกรีบเท่าไหร่ ก็ยิ่งดูร้อนรนเท่านั้น หญิงสาวเริ่มถอดใจ พลางหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาเพื่อดูจำนวนเงิน โอ้...ไม่นะ!! เธอจะต้องไม่ขึ้นรถแท็กซี่อย่างเด็ดขาด เพราะนั่นจะทำให้ใช้เงินเกินความจำเป็นโดยใช่เหตุ

แต่ก่อนที่จิตติมาจะเผลอตัดสินใจทำบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งสามารถทำให้เธอต้องอดอาหารไปถึงสองมื้อ รถประจำทางสายที่ต้องการก็ได้ขับเคลื่อนมาจากหัวมุมถนนพอดี เยี่ยม!!...ตอนนี้โชคกำลังเข้าข้างเธอบ้างแล้ว( อาจเป็นเพราะสีเสื้อก็เป็นได้!! )หญิงสาวนึกอยู่ในใจ และแสดงออกถึงมันด้วยรอยยิ้มนิดๆ บนใบหน้า

เธอรีบปราดขึ้นไปบนรถทันทีที่จอดสนิท โดยไม่สนว่าจะมีที่นั่งว่างหรือไม่ ซึ่งเจ้าหล่อนเองก็ไม่ใส่ใจ เพราะขอแค่ได้ไปสัมภาษณ์งานให้ทันเวลาก็พอ...

“♪ Keep Smiling, Keep Shining,

Knowing You Can Always Count On Me, For Sure

That’s What Friend Are For ♫ ”

อยู่ๆ เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น หญิงสาวจำได้ดีว่าเธอใช้เพลงนี้เป็นเสียงเรียกเข้าสำหรับบุคคลพิเศษอย่างเพื่อนสนิท หล่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากในกระเป๋าพลางมองดูรายชื่อของผู้ที่ต่อสายเข้ามา

“ แนน ” เธอฉีกยิ้มเล็กน้อยเป็นเชิงแสดงออกถึงความดีใจ จากนั้นจึงกดรับสาย

“ ว่าไงจ๊ะคุณเพื่อน ??...โทรฯ มาแต่เช้าเชียว!! ” หล่อนทักทายเพื่อนซี้ด้วยน้ำเสียงที่สดใส

“ ฉันก็จะเช็คว่าเธอลุกขึ้นจากเตียงแล้วหรือยัง กลัวว่าจะนอนเพลินเลยพลาดนัดสำคัญยังไงล่ะ!! ” หญิงสาวในสายกล่าวตอบ

“ เสียใจจ้ะ...ฉันตื่นตั้งนานแล้ว ตอนนี้อยู่บนรถเมล์กำลังจะไปสัมภาษณ์งาน ” จิตติมาอมยิ้มนิดๆ ก่อนที่จะยกมือขึ้นเกาหัว เนื่องจากรีบมากเสียจนไม่ได้สระผมออกมา

“ อืม...ยังไงก็ขอให้โชคดีนะ ในที่สุดเธอก็จะมีโอกาสได้ทำงานที่อยากทำแล้ว อย่าปล่อยให้มันหลุดมือไปล่ะ...ทำให้เต็มที่นะ!! ” เพื่อนสาวอวยพร

“ จ้า...ขอบใจมากนะ ” แววตาของเธอดูเป็นประกายเมื่อได้รับกำลังใจ

“ เธอเองก็นะยายเจี๊ยบ...อายุก็สามสิบแล้ว ยังไม่มีงานที่จะทำเป็นหลักเป็นแหล่งเสียที แถมยังไม่มีแฟนด้วย ชีวิตนี้จะมีอะไรเป็นของตัวเองบ้างเนี่ยนอกจากห้องที่อพาร์ทเม้นท์นั่น ?!! ” หญิงสาวถามจิตติมาอย่างเป็นห่วง เพราะเห็นว่าเธอเองก็เริ่มเข้าสู่วัยที่ควรจะมีหลักประกันให้ชีวิตบ้างแล้ว แต่เท่าที่เห็นจากปัจจุบัน เจ้าหล่อนยังคงวิ่งโร่สมัครงานที่นั่นที่นี่อยู่เลย

“ ก็ฉันเป็นคนมีเป้าหมายในชีวิตนี่ ต้องทำให้สำเร็จเป็นอย่างๆ ไป ถ้าเรื่องไหนยังทำไม่ได้ฉันก็จะทำไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสำเร็จ ” เธอว่าด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

“ ย่ะ!!...ขอให้ฝันเป็นจริงละกันแม่คุณ!! จะได้เปลี่ยนเป้าหมายจากหางานเป็นหาอย่างอื่นบ้าง!! ” เพื่อนของเธอเหน็บ

“ แหม...ก็ฉันไม่ได้โชคดีเหมือนอย่างเธอนี่ มีเงินเปิดร้านขายคัพเค้ก แต่งงานมีสามี อยู่กินกันจนมีลูก...เอ้อ!! ว่าแต่เจ้าตัวเล็กเป็นอย่างไรบ้าง ร้องโยเยหรืองอแงบ้างไหม ? ” จิตติมาถามถึงลูกชายของเพื่อนสนิทที่เพิ่งคลอดเมื่อสองเดือนก่อน

“ ก็มีบ้างแหละตามประสาเด็กแรกเกิด แต่พ่อเขาเองก็ดูรักมากเลยนะ...หลงเชียวล่ะ!! กลับมาถึงบ้านก็ต้องมาแหย่ มาเล่นด้วยทุกวัน ” หญิงสาวเล่าเรื่องสามีของตนเองให้ฟัง

“ อืม!! ดีแล้วนี่...คุณพ่อมือใหม่ก็อย่างนี้แหละ เห่อลูกตัวเองเป็นธรรมดา แถมเป็นลูกชายเสียด้วย ” เธอนึกถึงเจ้าตัวเล็ก

“ นี่!!...เดี๋ยวอีกสักพักฉันก็จะออกไปดูร้านแล้ว ไม่รู้ว่าพนักงานจะมาเปิดร้านหรือยัง ใกล้จะสิบโมงแล้วด้วย เธอเองก็รีบๆ ไปให้ทันล่ะ ” เพื่อนสนิทเร่ง

“ ทราบแล้วจ้ะคุณแม่!! ฉันก็กำลังรีบอยู่นี่ไง เธอเองก็ไปดูร้านเถอะ เวลาเป็นเงินเป็น...ว้าย!!!... ” จิตติมาร้องเสียงหลงเนื่องจากรถโดยสารได้หยุดกะทันหัน ตัวของเธอแทบจะล้มลงไปกองกับพื้น แต่โชคดีที่จับราวไว้แน่น จึงทำให้แค่เสียศูนย์การทรงตัว

“ เจี๊ยบ...ยายเจี๊ยบ!! เกิดอะไรขึ้น ?!! ” เสียงในสายร้องถาม

“ รถหยุดกะทันหันน่ะ...ฉันเกือบล้มแน่ะ ดีที่จับราวเอาไว้!! ” น้ำเสียงของเธอฟังดูตื่นตระหนก จากนั้นจึงเริ่มสอดส่ายสายตามองไปที่ด้านหน้า เพื่อดูว่ามีอะไรที่ผิดปกติหรือไม่

“ โธ่เอ๊ย!!...ฉันล่ะใจหายแทน รถเมล์สมัยนี้ขับน่ากลัวและอันตรายมาก เธอเองก็ต้องระวังหน่อยนะ ” เพื่อนสาวกล่าวเตือน

“ จ้า!!...ขอบใจนะที่เป็นห่วง...แต่แค่นี้ก่อนนะยายแนน ดูเหมือนรถจะมีปัญหา...ถ้าฉันสัมภาษณ์เสร็จแล้ว จะโทรฯ กลับไปนะ ” จิตติมาบอก เมื่อเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของคนขับรถ และพนักงานเก็บค่าโดยสารที่พูดคุยกันอยู่ทางด้านหน้า

“ โอเคๆ ไว้ค่อยคุยกัน โชคดีนะ... ” หญิงสาวอวยพรทิ้งท้าย

“ เช่นกันจ้ะ...บาย ” เธอตอบรับแล้วกดปุ่มวางสายไป...

จิตติมาชะโงกหน้าไปทางคนขับว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น เพราะบัดนี้รถประจำทางที่โดยสารมากลับจอดนิ่งสนิท ราวกับมีเรื่องไม่ชอบมาพากล ทั้งๆ ที่การจราจรบนถนนก็ไม่ได้ติดขัดอะไร หญิงสาวเริ่มรู้สึกใจหาย เพราะกลัวที่จะไปไม่ทันนัด

“ รถยางแตกครับ...ขอโทษผู้โดยสารทุกท่านด้วย เชิญต่อรถเมล์คันอื่นได้ที่ป้ายนะครับ ” เสียงของพนักงานเก็บค่าโดยสารร้องบอกขึ้นในที่สุด สีหน้าของจิตติมาดูเจื่อนลงทันทีที่ได้ยิน...งานเข้าเสียแล้วสิ!! ไม่ทันแน่ๆ การสัมภาษณ์งานในวันนี้ จะทำอย่างไรดีล่ะ ??

แม้ว่าสติสัมปชัญญะของเธอจะดับวูบลงเมื่อสิ้นเสียงของพนักงานเก็บเงินที่ตะโกนบอก แต่ไม่นานสติของหญิงสาวก็ถูกดึงกลับคืนมา เพราะว่าจะต้องรีบคิดแก้ไขปัญหาที่กำลังเผชิญโดยเร็ว จิตติมาเดินลงจากรถด้วยอาการที่กระฟัดกระเฟียดเล็กน้อย แต่ความกระฟัดกระเฟียดที่มีนั้น เธอรู้ดีว่ามันเป็นเหตุสุดวิสัย หญิงสาวจึงไม่สามารถที่จะไปต่อว่าต่อขานกับใครได้ นอกจากจะต้องกล่าวโทษตนเองที่ตื่นสาย

“ ทำไงดี...ไม่ทันแน่ๆ !! ” เธอลุกลี้ลุกลน พลางเขย่งเท้ามองหารถประจำทางคันอื่น

“ หรือต้องเรียกแท็กซี่ดีนะ...โธ่เอ๊ย!! ไม่อยากเปลืองเงินเลย ” หญิงสาวบ่นพึมพำกับตนเอง ตอนนี้เธอกำลังสับสนมาก ใจหนึ่งก็อยากไปให้ทันเวลา ส่วนอีกใจก็ไม่อยากใช้เงินเยอะ

“ อีกสิบนาที...สิบโมง!! ” เธอมองดูนาฬิกา...ไม่ทันแน่ๆ นั่นยิ่งบีบให้ต้องรีบตัดสินใจโดยทันที

“ เอาวะ!!...แท็กซี่ก็แท็กซี่!! ” นั่นคือคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับวินาทีที่เร่งรีบเช่นนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า คนอย่างจิตติมาจะต้องยอมจ่ายเงินเพื่อค่ารถแท็กซี่เพียงคนเดียวเสียเมื่อไหร่ ใช่แล้ว!!!...เธอกำลังมองหาผู้ที่จะมาร่วมหุ้นในการจ่ายค่ารถในครั้งนี้นั่นเอง

“ ขอโทษนะคะ...ไม่ทราบว่า คุณกำลังจะเดินทางไปแถวถนนนราธิวาสฯ หรือเปล่าคะ ? ” เธอถามหญิงสาวชุดดำที่ยืนอยู่ข้างๆ

“ ไม่ค่ะ ” สาวชุดดำคนนั้นหันกลับมาตอบด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มระคนงุนงง

“ ค่ะ...ขอบคุณค่ะ ” เธอกล่าวขอบคุณ แล้วเดินไปถามผู้หญิงเสื้อฟ้าอีกคนหนึ่งที่กำลังอุ้มลูกอยู่...

“ ขอโทษนะคะ...ไม่ทราบว่า คุณกำลังจะเดินทางไปแถวถนนนราธิวาสฯ หรือเปล่าคะ ? ” จิตติมาถามคำถามเดิม

“ ไม่ได้ไปค่ะ จะไปสามย่าน!! ” หล่อนตอบกลับ

“ ค่ะ...ขอบคุณค่ะ ” หญิงสาวกัดฟันขอบคุณอีกครั้งแม้จะถูกปฏิเสธ สีหน้าของเธอแสดงออกถึงความผิดหวังที่เกิดขึ้น

“ ขอโทษนะคะ...คุณ….”

“ ไม่ค่ะ!!! ” หญิงชุดขาวดูมีอายุรีบปฏิเสธอย่างทันควันก่อนที่เธอจะพูดจบ

คนแล้วคนเล่าที่เจ้าหล่อนเดินไปถาม ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย แม้แต่เด็กวัยรุ่นและคนชรา แทบจะเรียกได้ว่าทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นถูกเธอถามมาหมดแล้วทั้งสิ้น แม้บางคนจะเดินทางไปแถวถนนสายนั้น แต่ใครเล่าจะกล้ายอมรับกับคนแปลกหน้าทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกัน ถึงแม้บุคคลที่ยืนร้องถามอยู่ตรงนั้น จะเป็นเพียงแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งก็ตาม

จิตติมาเริ่มท้อใจ ที่ไม่สามารถชักชวนให้ใครมาร่วมหุ้นค่ารถแท็กซี่กับเธอได้ หญิงสาวมองดูนาฬิกา เหลือเวลาอีกไม่ถึงห้านาที ซึ่งมันเริ่มกระชั้นชิดเข้ามาทุกขณะ ดูเหมือนว่าเจ้าหล่อนจะไม่มีทางเลือกอื่น แต่ก่อนที่แสงแห่งความหวังจะมืดดับลง ณ วินาทีเดียวกัน กลับมีชายหนุ่มรูปร่างสูง ผิวออกเหลือง ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางหมอกควันจากท่อไอเสียของรถราบนท้องถนน เขาสวมชุดสีน้ำตาลเข้ม กางเกงยีนส์สีดำ มือข้างหนึ่งถือซองใส่เอกสาร ส่วนอีกข้างก็ถือกระบอกใส่แบบเขียนงาน ดูท่าทางหนุ่มคนนี้น่าจะทำงานเกี่ยวกับพวกเขียนแบบหรือไม่ก็ออกแบบอะไรประมาณนั้น...

แต่นั่นก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดถึงอาชีพของเขา ตอนนี้สิ่งที่หญิงสาวควรจะทำก็คือ รีบตัดสินใจขึ้นรถแท็กซี่เพื่อไปให้ทันสัมภาษณ์งานเสียโดยเร็ว...แต่ดูเหมือนกับว่า เท้าของเจ้าหล่อนกลับเดินไปหาชายผู้นั้น แทนที่จะเดินไปเรียกรถบนถนนมากกว่า เธอเดินปรี่ไปหาเขาพร้อมกับร้องถามด้วยประโยคเดิม เหมือนกับที่เคยถามมา

“ ขอโทษนะคะ...ไม่ทราบว่า คุณกำลังจะเดินทางไปแถวถนนนราธิวาสฯ หรือเปล่าคะ ? ”

“ ครับ...ใช่ครับ ” ชายหนุ่มตอบเธอกลับด้วยสีหน้าที่งุนงง

จิตติมาฉีกยิ้มออกมาอย่างดีใจ ราวกับว่าเธอรอคำตอบนี้มานาน

“ ถ้าอย่างนั้น คุณช่วยฉันหุ้นค่าแท็กซี่จะได้ไหมคะ เผอิญว่าฉันรีบ และไม่ค่อยมีเงินน่ะค่ะ...นะคะ ?? ” เธออ้อนวอน แววตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความหวัง

ชายผู้นั้นแสดงสีหน้าที่งุนงงออกมาหนักกว่าเก่า

“ ถือว่าตกลงนะคะ...ขอบคุณค่ะ ” เธอรีบกล่าวขอบคุณทันทีก่อนที่เขาจะปฏิเสธ

หญิงสาวตรงรี่ไปที่ถนนเพื่อเรียกรถแท็กซี่ ไม่นานรถสาธารณะคันสีเหลืองก็มาจอดอยู่ตรงหน้า เธอเปิดประตูแล้วแจ้งสถานที่ที่ต้องการจะไป ก่อนที่จะหันกลับมาร้องเรียกชายหนุ่มชุดสีน้ำตาลให้ขึ้นรถไปด้วยกัน

“ คุณคะ...รีบขึ้นรถเถอะค่ะ ฉันเรียกแท็กซี่แล้ว ” เธอตะโกน

ชายผู้นั้นมองไปที่จิตติมาพลางหันซ้าย แลขวา แล้วก็หันกลับมามองที่เธออีกครั้ง ก่อนที่จะชี้นิ้วเข้าหาตัว เพื่อให้แน่ใจว่าหญิงสาวหมายถึงเขาจริงๆ

“ ใช่ค่ะ...ไปกันเถอะค่ะ ฉันกำลังรีบ ” เธอกล่าวพร้อมกับเดินไปจับแขนเขาเพื่อให้ขึ้นรถ ท่ามกลางความสนอกสนใจของผู้คนที่ยืนอยู่ตรงบริเวณนั้น

ภายในรถแท็กซี่สีเหลืองที่ขับเคลื่อนอย่างรีบเร่งอยู่บนท้องถนน เพื่อต้องการไปให้ถึงที่หมายตามเวลา จิตติมากระสับกระส่าย พลางร้องบอกคนขับให้รีบขับเป็นระยะๆ เมื่อเธอรู้สึกว่ารถที่นั่งมาเริ่มจะช้าลง

“ นี่คุณจะรีบไปไหน ? ขับรถเร็วมากไปมันอันตรายนะ!! ” ชายหนุ่มที่ตกกระไดพลอยโจนหันไปถามเธอทันทีที่เริ่มรู้สึกตัว พลางตั้งคำถามกับตนเองว่า เขาได้ขึ้นมาบนรถคันนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ???

“ ก็ฉันรีบนี่ ฉันกลัวว่าจะไปไม่ทันสัมภาษณ์งาน...เอ้อ!! ว่าแต่คุณจะลงตรงไหน ?? ” จิตติมาถามชายผู้นั้น

“ ผมลงที่หน้าบริษัทโฆษณาตรงนั้นก็ได้ ” เขากล่าว

“ ดี...ตรงที่เดียวกับฉันเลย จะได้หารกันคนละครึ่ง ” เธอว่า

“ คุณมีสัมภาษณ์งานที่บริษัทนั้นเหรอ ? ” ชายหนุ่มสงสัย

“ ใช่!! ฉันรอโอกาสที่จะได้ทำงานบริษัทโฆษณามานานมากแล้ว ที่จริงฉันลงสมัครไว้หลายที่ และบังเอิญเมื่อวานบริษัทนี้ก็โทรฯ นัดให้ฉันมาสัมภาษณ์ ” จิตติมาอธิบาย

ชายหนุ่มมองหน้าเธอ แล้วพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจก่อนที่จะถามต่อ…

“ แล้วคุณได้สัมภาษณ์งานในตำแหน่งอะไรล่ะ ? ”

“ ตำแหน่งผู้ช่วยครีเอทีฟ ” เธอกล่าวด้วยสีหน้าที่แจ่มใส พลางยิ้มให้ชายผู้นั้น

“ แล้วคุณมีประสบการณ์เกี่ยวกับการทำงานด้านนี้...มากน้อยแค่ไหนกันเชียว ? ” เขาถามพลางทำหน้าสงสัย

“ คุณถามเหมือนกับว่าคุณเป็นฝ่ายบุคคลอย่างนั้นแหละ แต่ช่างเถอะ...ฉันจะเล่าให้คุณฟัง... ” หญิงสาวเริ่มเล่าเรื่อง

“ ที่จริงแล้ว...ฉันอยากทำงานเกี่ยวกับด้านนี้มาก แม้ว่าฉันจะเพิ่งค้นพบตนเองว่าชอบเกี่ยวกับเรื่องสื่อฯ หรือการโฆษณาก็ตอนเรียนมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะเรื่องการออกแบบป้ายนิเทศ การโฆษณาคณะ หรือการประชาสัมพันธ์ต่างๆ ฉันเป็นคนคิดเองทั้งหมดเลยนะ ยิ่งสมัยที่เรียน ฉันเคยทำโฆษณาส่งเข้าประกวดด้วยแหละ แข่งกับพวกเด็กนิเทศฯ คนอื่นๆ แล้วฉันก็ได้ตำแหน่งที่สามมาครอง...ดูสิ!! ผลงานฉันยังมีอยู่เลย มีประกาศนียบัตรด้วย...เห็นไหม ?? ” เธอเปิดแฟ้มผลงานให้เขาดู ทำให้ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าเธอจบจากคณะบัญชีมา

“ แล้วทำไมคุณถึงเลือกเรียนบัญชีล่ะ ? ” เขาสงสัย

“ ก็ตอนนั้นฉันยังไม่รู้ตัวเองนี่ว่าชอบอะไร ก็เลยเลือกเรียนไปเพราะคะแนนสอบเอนทรานซ์มันถึง แต่ตอนนี้ก็มานั่งเสียดายนะ ถ้าฉันรู้ตัวเร็วกว่านี้ ฉันก็คงได้ทำงานในสิ่งที่ชอบไปแล้ว ” เธอว่า

ชายหนุ่มมองดูเธอแล้วยิ้มให้ ซึ่งเธอเองก็มองดูเขาแล้วยิ้มตอบเช่นกัน

“ แล้วคุณทำงานอยู่ที่ไหนเหรอ ? ” จิตติมาถามกลับ

“ ผมก็ทำงานอยู่ที่บริษัทนั้นแหละ ” เขากล่าว

“ ดีจัง...ถ้าฉันได้ทำงานที่นี่ เราคงมีโอกาสได้เจอกันมากขึ้น ” หญิงสาวกล่าวทิ้งท้าย

“ ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ยังไงก็ขอให้คุณโชคดีนะครับ คุณ... ” ชายหนุ่มพยายามนึกชื่อของเธอ แต่ก็ลืมไปว่าเธอยังไม่ได้แนะนำตนเอง

“ ฉันเจี๊ยบค่ะ แล้วคุณล่ะ ?? ” เธอผายมือมาที่เขา

“ ผมยุทธครับ ” เขาตอบรับ

“ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ” หญิงสาวฉีกยิ้ม

“ ยินดีเช่นกันครับ ” ชายหนุ่มพยักหน้า

ทั้งสองคนต่างมองตาพลางส่งยิ้มให้กันและกัน ณ วินาทีนั้นความรู้สึกแปลกๆ บางอย่างในตัวของจิตติมาก็เกิดขึ้น หญิงสาวเริ่มมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อชายผู้อยู่ตรงหน้า แม้ว่าจะไม่รู้จักเขาเลยก็ตาม แต่กลับมีบางอย่างที่ทำให้รู้สึกได้ว่า เธอไม่ได้คิดหรือรู้สึกไปเองแต่อย่างใด เพราะความรู้สึกที่ว่านี้ ไม่ได้มีขึ้นบ่อยนักกับบุรุษเพศ...

“ คุณครับ...ถึงหน้าบริษัทแล้ว ” คนขับรถแท็กซี่ร้องบอกขัดจังหวะ

“ อ๋อ!! ครับ / ค่ะ ” เขาทั้งคู่ขานรับ พลางกุลีกุจอหยิบเงินจากกระเป๋า

“ ไม่เป็นไรครับ เดี่ยวผมจ่ายเอง ” ชายหนุ่มรีบบอกทันที

“ ไม่ได้หรอกค่ะ...หารครึ่งดีกว่า ฉันเป็นคนชวนคุณนะ ” เธอแย้ง

“ ผมตั้งใจจะขึ้นแท็กซี่ตั้งแต่ทีแรกแล้วครับ แล้วอีกอย่างคุณเองก็ยังไม่มีงานทำ เอาเป็นว่าผมจ่ายให้คุณดีกว่า ” เขาเสนอ

จิตติมามองหน้าชายผู้นั้น แล้วฉีกยิ้มออกมาอย่างดีใจก่อนกล่าวขอบคุณ

“ ...ไว้ถ้าฉันได้ทำงานที่นี่ ฉันจะเลี้ยงข้าวคุณเป็นการตอบแทนนะคะ ” เธอสัญญา

“ ยินดีครับ ” ชายหนุ่มตอบตกลง

“ ถ้าอย่างนั้นฉันไปก่อนนะคะ เดี๋ยวจะไม่ทันสัมภาษณ์...ไว้เจอกันค่ะ ” จิตติมากล่าวลา แล้วเปิดประตูรถออกไป ก่อนที่จะหันกลับมาโบกมือให้เขาอีกครั้งเป็นการทิ้งท้าย...