*~บทที่ 9~*

แม้ว่าในช่วงเดือนมีนาคมจะตรงกับช่วงเวลาที่ซีกโลกเหนือ และประเทศที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรอย่างประเทศของเราจะโคจรใกล้กับดวงอาทิตย์มากที่สุด แต่ทว่าสายฝนที่โปรยปรายตกลงมาอย่างไม่ขาดสายในตลอดสามวัน ได้สรรสร้างให้สภาพเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานครเฉอะแฉะไปด้วยน้ำที่ท่วมขังตามฟุตบาทและท้องถนน จนทำให้ชาวกรุงหลายๆ คนถึงกับบ่นอุบในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ไม่เว้นแม้แต่ผู้ช่วยครีเอทีฟอย่างจิตติมาที่ถึงแม้เธอจะไม่ใช่สาวแดนศิวิไลซ์โดยกำเนิด แต่เจ้าหล่อนก็รู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งเมื่อต้องขึ้นรถประจำทางที่ทั้งร้อน และอับชื้นด้วยลมฝนมาทำงานทุกวัน

เป็นเวลาเกือบอาทิตย์แล้วที่หญิงสาวประจำอยู่ที่บริษัทโฆษณาแห่งนี้ และสามารถที่จะปรับตัวให้เข้ากับสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น ( เว้นก็แต่เรื่องรถโดยสาร ) เธออาศัยความจำจากสิ่งที่เจ้านายสอนเป็นหลักในเรื่องของการเป็นผู้ช่วย ทั้งติดต่อประสานงาน ค้นหาข้อมูล และรับโทรศัพท์ ซึ่งขณะเดียวกันก็ยังทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่ลูกทีมที่เข้ามาสอบถามในการทำงานบางเรื่องอีกด้วย

ยุทธพอใจกับผู้ช่วยคนใหม่คนนี้มาก แค่เวลาไม่นานที่เธอเข้ามา ก็ได้ช่วยแบ่งเบาภาระของเขาลงไปได้มากทีเดียว ซึ่งชายหนุ่มเองก็คาดหวังให้หญิงสาวได้อยู่ร่วมงานกันไปนานๆ และที่พิเศษกว่านั้นเขาคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเริ่มมีความรู้สึกดีๆ บางอย่างเกิดขึ้นกับเธอ โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรู้สึกนี้คืออะไร แต่มันก็ไม่ได้มากพอที่จะทำให้แน่ใจว่าเป็น ความรัก เพราะขณะเดียวกันชายหนุ่มก็ยังมีความรู้สึกของความเป็นเจ้านายปะปนอยู่

เย็นวันสุดท้ายของสัปดาห์แห่งการทำงาน จิตติมาเก็บข้าวของเตรียมตัวจะกลับบ้าน เธอสำรวจดูความเรียบร้อยบนโต๊ะ และหันมาเพื่อที่จะบอกลายุทธผู้เป็นนาย แต่ดูเหมือนว่าชายหนุ่มกำลังงีบหลับอยู่ที่โต๊ะทำงาน หญิงสาวอมยิ้มและส่ายหัวเล็กน้อยเมื่อเห็นภาพนั้น เธอเข้าใจดีว่าตลอดทั้งวันครีเอทีฟหนุ่มค่อนข้างเหนื่อยกับงานมากพอสมควร แทบจะไม่มีเวลาได้พัก

ผู้ช่วยสาวเดินไปหาเขาที่โต๊ะ พลางเขย่าแขนและร้องเรียกเพื่อให้เขาตื่น ไม่นานชายหนุ่มก็ลืมตาขึ้นมาด้วยท่าทางสะลึมสะลือ

“ คุณยุทธคะ...ห้าโมงเย็นแล้ว กลับบ้านได้แล้วค่ะ ” จิตติมาร้องบอก

ชายหนุ่มงัวเงียเล็กน้อย พลางมองดูนาฬิกาที่ข้อมือ ก่อนที่จะหันกลับมาที่หญิงสาว

“ ฉันว่าคุณไปล้างหน้าล้างตาก่อนดีกว่า เดี๋ยวฉันจะชงกาแฟมาให้ ” เธอเสนอ

“ ขอบคุณนะครับคุณเจี๊ยบ สงสัยวันนี้ผมคงกลับดึกแน่เลย...ดูสิ!! งานผมเต็มโต๊ะอย่างนี้...ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ” ยุทธกล่าวพลางผายมือให้เห็นโต๊ะของเขาที่เต็มไปด้วยแฟ้มงาน และเอกสารมากมาย

“ พอแค่นี้ก่อนดีกว่าไหมคะ คุณเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว...จะไม่พักผ่อนบ้างเลยเหรอ ? ” หญิงสาวถามเขาด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วง

ชายหนุ่มมองหน้าเธอแล้วยิ้มให้พลางรับรู้ได้ถึงความรู้สึกนั้น เขาพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนที่จะลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาตามที่เธอบอก

หญิงสาวมองดูเขาเดินออกไปจนลับตาแล้วหันกลับมาที่โต๊ะ เธอมองเห็นแฟ้มงานและเอกสารที่วางกระจัดกระจาย ดูแล้วมันช่างน่าขัดใจเสียเหลือเกิน หล่อนจึงถือวิสาสะจัดการส่วนที่รกบนโต๊ะของเขาให้เป็นระเบียบ แน่นอนว่าหน้าที่ของการเป็นผู้ช่วยนั้น นอกจากจะเป็นหูเป็นตาให้แก่เจ้านายแล้ว ก็ควรที่จะเป็นมือเป็นเท้าเพื่อช่วยเหลือ และสร้างภาพลักษณ์ที่ดูดีแก่ผู้เป็นนายอีกเช่นกัน

ผู้ช่วยสาวใช้เวลาไม่นานในการจัดระเบียบเอกสารให้เข้าที่ จากนั้นจึงพบว่าโต๊ะของเขาดูมีความกว้างและเรียบร้อยขึ้นในทันใด เธอกวาดสายตาเพื่อหาจุดบกพร่องอีกครั้ง จนกระทั่งมาสะดุดกับกรอบรูปสีน้ำตาลที่ตั้งอยู่ทางด้านขวามือ ซึ่งภายในกรอบรูปนั้นมีภาพของบุคคลทั้งสามอยู่ด้านใน ซึ่งได้แก่ ยุทธ อมรวิสุทธิ์ และสาริสา โดยบุคคลที่เป็นหญิงสาวคนเดียวในภาพยืนอยู่ตรงกลางระหว่างบิดา และลูกพี่ลูกน้องของเธอ

จิตติมาอดที่จะชื่นชมความงามของดาราสาวผู้นี้ไม่ได้ที่ทั้งสวยและสง่าสมวัย รวมไปถึงผู้ที่เป็นบิดาอย่างอมรวิสุทธิ์ หนุ่มใหญ่ดูน่าเกรงขามและมีมาดของนักบริหารอยู่เต็มตัว ส่วนยุทธ เขาช่างดูหล่อเหลา แลมีราศีของผู้สืบทอดทางธุรกิจอยู่มาก และไม่ทราบด้วยเหตุผลกลใดหญิงสาวถึงรู้สึกไม่อยากละสายตาออกจากภาพของเจ้านายหนุ่ม เธออมยิ้มเล็กน้อยเมื่อสังเกตเห็นรอยยิ้มมุมปากที่ดูมั่นใจของเขา แต่แล้วก็ต้องหยุดความคิดที่เพ้อฝันนั้นลง เมื่อได้ยินเสียงของบุคคลที่อยู่ในภาพส่งเสียงออกมาจากทางหน้าห้อง

“ โอ้โห!! ผมเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าโต๊ะของผมก็ใหญ่อยู่เหมือนกัน ” ชายหนุ่มร้องขึ้นเมื่อเห็นโต๊ะทำงานอยู่ในสภาพที่ไม่คุ้นตา เขาเดินเข้ามาพร้อมกับกล่าวชม

จิตติมาผละสายตาจากรูปภาพไปหาเขาทันทีด้วยความตกใจ พลางรีบฉีกยิ้มให้แก้เก้อ

“ คุณคงไม่ว่าอะไรนะคะถ้าฉันจะขออนุญาตจัดโต๊ะของคุณ ฉัน...จัดเอกสารที่จำเป็นต้องใช้ให้คุณแล้ว...อยู่ทางด้านนี้ค่ะ!! ” เธอรีบอธิบายกลบเกลื่อนพลางผายมือไปทางขวา

“ อ่อ!! ขอบคุณมากเลยครับ...ไว้เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะเข้ามาทำงานที่เหลือต่อเอง ” เขาบอก พลางเอาผ้าเช็ดหน้าซับน้ำที่แก้ม หลังจากที่เพิ่งล้างหน้าเสร็จ

“ แล้วคุณจะรับกาแฟไหมคะ...เดี๋ยวฉันชงให้ ? ” หญิงสาวอาสา

“ ก็ดีครับ!! ผมจะได้ไม่ง่วงตอนขับรถกลับบ้าน ” ยุทธยิ้มรับในข้อเสนอ

จิตติมาพยักหน้าเป็นเชิงตกลง เธอเดินไปยังห้องครัวทางด้านนอกแล้วเริ่มบรรจงตักกาแฟใส่ถ้วย หญิงสาวอมยิ้มเล็กน้อยทุกครั้งที่นึกถึงรูปภาพที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ โดยเฉพาะภาพรอยยิ้มที่ดูมีเสน่ห์ของเขา...รอยยิ้มมุมปากด้วยท่าทีที่มั่นใจ ซึ่งเธอแทบไม่เคยเห็นเลยตลอดช่วงที่ทำงานร่วมกัน แต่แล้วผู้ช่วยสาวก็ต้องรีบหยุดความคิดลงทันควัน ก่อนที่รอยยิ้มของเขาจะทำให้เธอโดนน้ำร้อนลวก

หล่อนยื่นแก้วกาแฟที่เพิ่งชงเสร็จให้แก่ยุทธ กลิ่นหอมอ่อนๆ และรสชาติที่นุ่มละมุนลิ้นของมัน ทำให้ชายหนุ่มหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง เขาชื่นชมถึงฝีมือการชงที่ค่อนข้างจะถูกปาก หญิงสาวกล่าวขอบคุณด้วยความยินดี บัดนี้หัวใจของเธอเริ่มพองโต บางทีหากเธอทำให้เขาพึงพอใจ ก็อาจจะได้เห็นรอยยิ้มที่ดูมีเสน่ห์ของเขาอยางนั้นสักวันหนึ่ง...

ผู้ช่วยสาวก้าวเดินลงบันไดมายังหน้าอาคารบริษัทด้วยท่าทีที่เหม่อลอยราวกับตกอยู่ในภวังค์หลังจากกล่าวลาเขาในเวลาต่อมา หญิงสาวรู้สึกได้ว่าจิตใจของเธอเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัวหลังจากที่เห็นภาพนั้น เธอหลงใหลในรอยยิ้มของเขาอย่างถอนตัวไม่ขึ้น

ซึ่งขณะเดียวกันไม่ทันที่หญิงสาวจะหยุดความคิด และปลายเท้ายังไม่ทันที่จะแตะถึงบันไดขั้นสุดท้าย เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นขัดจังหวะ

“ ว่าไงยายแนน ?? ” จิตติมาทักทายเพื่อนในสาย

“ เลิกงานหรือยัง ? ” นันทวดีถาม

“ เลิกแล้วจ้า!! กำลังเดินออกจากบริษัทพอดี ” เธอกล่าว

“ ...ถ้าอย่างนั้นรออยู่ที่หน้าอาคารนั่นแหละ เดี๋ยวมีคนไปรับ ” คุณแม่ยังสาวสั่งการอย่างรวดเร็ว

“ ใครจะมารับฉัน ?? ” จิตติมาถามเพื่อนสนิทอย่างสงสัย แต่อีกฝ่ายกลับไม่พูดอะไร หนำซ้ำยังวางสายทิ้ง จนเธอถึงกับแปลกใจเล็กน้อย

หญิงสาวจึงเดินมารอรถที่ฟุตบาทด้านหน้าอาคารตามที่เพื่อนของเธอบอก แต่ก็ไม่เห็นใครที่พอจะรู้จัก เธอจึงสงสัยว่าเพื่อนสนิทกำลังคิดแกล้งอะไรอยู่หรือเปล่า ผู้ช่วยสาวจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจากกระเป๋า แล้วทำท่าว่าจะต่อสายกลับไปถาม แต่ทันใดนั้นกลับปรากฏรถกระบะปิดประทุนสีทองคันใหญ่ขับมาจอดอยู่ตรงหน้าของเธอพอดี

“ เจี๊ยบ... ” บุคคลที่อยู่บนรถเปิดกระจกลงมาแล้วร้องเรียก เผยให้เห็นเป็นชายหนุ่มอายุสามสิบกว่าๆ ผิวสองสี สวมชุดสีเหลืองหม่นดูคุ้นตามองมาที่เธอจากฝั่งคนขับ

“ อ้าว...พี่อัศ ” หญิงสาวตอบรับ พลางงุนงงเล็กน้อย

“ แนนโทรฯ หาพี่ให้มารับเราน่ะ...ขึ้นรถสิ ” เขาบอก

จิตติมาฉีกยิ้ม แล้วกล่าวขอบคุณเขา ก่อนที่จะเปิดประตูรถเพื่อก้าวขึ้นไปนั่ง

ครั้นพอรถกระบะคันใหญ่เคลื่อนตัวออกไป ปรากฏให้เห็นครีเอทีฟหนุ่มมองลอดหน้าต่างออกมาจากห้องทำงาน เขามองไปที่รถคันนั้นจนพ้นสายตา ก่อนที่จะจิบกาแฟที่ถืออยู่ในมือเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นจึงหันกลับมามองที่ภาพถ่ายยังโต๊ะทำงานของตน...

+++++++++++++++++++++++++++++

ทางด้านรถของอัศนัยที่วิ่งแล่นไปบนท้องถนน ข้าราชการหนุ่มผู้เป็นคนขับถามไถ่จิตติมาถึงที่ทำงานใหม่ และการปรับตัวในช่วงสัปดาห์แรก หญิงสาวตอบเขาด้วยท่าทีที่ค่อนข้างพอใจในเรื่องของตำแหน่งและหน้าที่การงาน แต่เธอก็ยังไม่มั่นใจนักว่าเป็นสิ่งที่ใช่แล้วหรือยังกับสายอาชีพนี้

“ ...ก็ยังไม่แน่ใจเลยค่ะ แต่คิดว่าอยากทำไปเรื่อยๆ ก่อนมากกว่า ” เธอย้ำอีกครั้ง แม้ว่าในใจขณะนี้กำลังมีสิ่งอื่นให้นึกถึงอยู่ก็ตาม

อัศนัยมองดูเธอแล้วยิ้มให้ พลางรู้สึกพอใจที่ดูเธอมีความสุขดีกับงานที่ทำ แม้จะไม่รู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริง

“ เราเลิกงานช่วงเวลานี้ทุกวันเลยเหรอ ? ” เขาเปลี่ยนเรื่อง

“ ก็เวลานี้แหละค่ะ...แต่ถ้ามีประชุมก็คงมืดหน่อย ” เธอบอก

“ ช่วงนี้พี่ยังทำธุระอยู่ที่กรุงเทพฯ ให้พี่มารับไหม ? ” ชายหนุ่มถาม

“ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ...เจี๊ยบกลับเองได้ ” เธอกล่าว เพราะเกรงใจพี่ชายของเพื่อนสนิท

“ เอาน่า!! ไม่ต้องเกรงใจหรอก อันที่จริง...ตอนเช้าพี่มารับเราด้วยก็ได้นะ ” เขาเสนอตัว

“ อุ๊ย!! ไม่ต้องหรอกค่ะ ลำบากพี่เปล่าๆ เจี๊ยบนั่งรถเมล์มาเองได้!! ” เธอรีบปฏิเสธ เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการรบกวนเขาจนเกินไป

“ ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า...พี่ก็เห็นว่าเราไปทางเดียวกัน ยิ่งตอนเช้าๆ พี่จะได้มีเพื่อนคุยแก้ง่วงด้วย แถมเราก็ไม่ต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย และที่สำคัญ...จะได้มี เงินเหลือเก็บ ยังไงล่ะ!! ” ชายหนุ่มพยายามพูดให้เธอคลายความกังวล แม้ว่าจะต้องงัดไม้เด็ดที่น้องสาวของตนแนะนำขึ้นมาใช้ก็ตาม เหตุเพราะรู้ดีว่าจิตติมาเป็นคนค่อนข้างตระหนี่อยู่พอสมควร

“ ก...ก็ได้ค่ะ ” หญิงสาวตอบรับกับความมีน้ำใจของเขา ถึงแม้เหตุผลที่เธอตกลงจะค่อนข้างจะเห็นแก่ตัวอยู่สักเล็กน้อย

อัศนัยอมยิ้มที่คำพูดหว่านล้อมของเขาใช้ได้ผล จริงอยู่ที่ว่าจิตติมาเป็นคนค่อนข้างตระหนี่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเธอจะชอบเอาเปรียบผู้อื่นเสียเมื่อไหร่ ซึ่งนั่นก็เป็นข้อแตกต่างที่ทำให้เธอไม่เหมือนกับคนขี้เหนียวทั่วไป เขาจึงค่อนข้างพอใจกับนิสัยของเธอตรงนี้ และก็ไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจถ้าจะใช้ถ้อยคำเชิญชวนที่คุ้มค่ากับการออมเป็นการชวนเชื่อเพื่อให้เธอนั่งรถไปด้วยกัน

ไม่นานรถของชายหนุ่มก็มาจอดส่งบริเวณหน้าอะพาร์ตเมนต์ หญิงสาวลงจากรถและกล่าวขอบคุณเขา จากนั้นจึงเดินขึ้นบันไดไปยังห้องพัก อัศนัยมองดูจิตติมาจนลับตา ก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อต่อสายหานันทวดี

“ เป็นไงบ้างคะ...เรียบร้อยไหม ?? ” เสียงของน้องสาวถามขึ้น

“ เรียบร้อย...พี่เพิ่งส่งเพื่อนเราขึ้นอะพาร์ตเมนต์ไป ” ชายหนุ่มบอกแก่เธอ

“ ดีมากค่ะ!! แล้วตกลงยายเจี๊ยบอนุญาตให้พี่ไปรับไปส่งหรือเปล่า ?? ” หญิงสาวถามอีก

“ อืม...เขาตกลง ” อัศนัยกล่าว

“ เยี่ยมไปเลย!! ทีนี้...พี่ชายของแนนก็จะได้เป็นฝั่งเป็นฝากับเขาสักที ” นันทวดีร้องออกมาอย่างดีใจ

“ นี่!! เขาแค่ตกลงจะนั่งรถไปกับพี่ ไม่ได้ตกลงคบกับพี่เสียหน่อย ” ชายหนุ่มท้วง

“ แหม!! เท่านี้ก็สำเร็จไปครึ่งทางแล้วค่ะ ที่เหลือพี่อัศก็ต้องแสดงฝีมือจีบยายเจี๊ยบให้ติดนะคะ เดี๋ยวแนนจะคอยช่วยเป็นกำลังเสริมอีกทาง ” เธอสนับสนุน

“ เฮ้อ!! พี่ไม่น่าบอกเราเลย...รู้อย่างนี้เงียบไว้ แล้วปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเสียดีกว่า ” เขาบอก

“ ถ้าขืนปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ แล้วชาติไหนพี่จะได้มีแฟนกับเขาล่ะคะ ?? เอาน่าพี่อัศ!! มาถึงขนาดนี้แล้วก็ต้องรีบทำคะแนนนะคะ เดี๋ยวน้องช่วย!!! ” เธอกระตือรือร้น

อัศนัยรับคำน้องสาว ซึ่งเขาเองก็ตั้งปณิธานไว้ว่าจะพยายามทำให้เต็มที่เหมือนกัน เพราะที่ผ่านมาชายหนุ่มแทบจะไม่เคยแสดงท่าทีใดๆ ที่บ่งบอกออกมาเลยว่า เขาชอบจิตติมา นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกัน เมื่อนันทวดีพาเพื่อนสนิทคนนี้มาเที่ยวที่บ้าน แล้วก็มาพบกันอีกครั้งเมื่อน้องสาวของเขาแต่งงาน และล่าสุดก็คือครั้งนี้ เมื่อเขาได้ลงมาทำธุระที่กรุงเทพฯ และได้พบกันโดยบังเอิญที่ร้านคัพเค้กของนันทวดีอีกครั้ง ซึ่งการพบกันในครั้งนี้อาจจะเป็นบุพเพสันนิวาส หรืออะไรก็ตามแต่ที่คนทั่วไปจะเรียก แต่สำหรับเขา...เขาเชื่อว่าเป็นโอกาสโอกาสที่ใครสักคนหนึ่งหยิบยื่นให้ เพื่อที่จะได้ไม่ปล่อยเธอให้หลุดมือไปเหมือนกับครั้งก่อนๆ ได้อีก

+++++++++++++++++++++++++++++

ทางด้านนันทวดี หลังจากวางสายของพี่ชายไป เธอก็ออกจากร้านและขับรถกลับมายังบ้าน แต่แล้วเธอก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าสามีของเธอกลับมาถึงอยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มนั่งเล่นกับลูกน้อยบนโซฟาหนังสีดำในห้องนั่งเล่น หญิงสาวผู้เป็นภรรยาจึงเดินเข้าไปถามด้วยความสงสัย

“ กลับมานานแล้วเหรอคะ ? ” เธอถาม เพราะไม่คิดว่าเขาจะกลับมาถึงบ้านเร็วอย่างนี้

“ ก็สักพัก ” ชายหนุ่มตอบห้วนๆ ราวกับว่าไม่อยากใส่ใจกับคำถามนั้น

“ วันนี้ไม่มีนัดทานข้าว หรือกินเลี้ยงอะไรเหรอคะ ? ” หญิงสาวถามอีก

“ ถ้ามีผมก็คงไม่มานั่งให้คุณเซ้าซี้อยู่อย่างนี้หรอก!! ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสบอารมณ์

“ ฉันถามคุณดีๆ นะคะ ” นันทวดีพยายามข่มความรู้สึกไม่ให้โมโห

“ ผมก็ตอบคุณอยู่นี่ไง!! จะเอาอะไรกับผมอีก ? ” โชติวุฒิถามกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

ภรรยาสาวไม่คิดที่จะพูดอะไรต่อ เพราะขืนพูดไปก็จะยิ่งทำให้ทุกอย่างมันดูแย่ลงมากขึ้นไปอีก เธอจึงรีบเดินขึ้นไปบนห้องเพื่อสงบสติอารมณ์ไม่ให้หงุดหงิดไปมากกว่านี้

ซึ่งในส่วนของโชติวุฒิเองที่ผ่านมาเขาก็ไม่ได้มีนัดกับลูกค้าอะไรมากมายอย่างที่นันทวดีเข้าใจ ทว่าความจริงแล้วช่วงเวลาเหล่านั้นเขากำลังมีความสุขอยู่กับนักศึกษาสาวอย่างวาดลัดดาต่างหาก แต่พักหลังๆ สาวน้อยเริ่มวางแผนอนาคตชีวิตคู่ของเธอและเขามากขึ้น จนชายหนุ่มเริ่มรู้สึกเบื่อและอยากตีตัวออกห่างจากเธอในเร็ววัน โดยที่เขาไม่รู้เลยว่ามันกำลังจะนำไปสู่ความผิดพลาดอันร้ายแรงที่จะเป็นตราบาปแก่สาวน้อยผู้นี้ไปตลอดกาล

+++++++++++++++++++++++++++++

ในช่วงค่ำของวันนั้น หลังจากที่หลายๆ ชีวิตกำลังเดินทางกลับสู่รังนอนของตนเอง ก็ยังมีอีกหลายชีวิตที่ยังคงง่วนอยู่กับการทำงาน และสนุกสนานไปกับแสงสีของช่วงค่ำคืนก่อนวันหยุดสุดสัปดาห์ที่กำลังจะมาถึงในวันพรุ่ง ดังเช่นห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่งกลางกรุง ที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่แวะเวียนกันมาจับจ่ายสินค้า พบปะ และสังสรรค์ รวมไปถึงการได้มีส่วนร่วมในงานเปิดตัวห้องเสื้อแห่งใหม่ที่กำลังจะมีขึ้นในช่วงเวลาอีกไม่กี่อึดใจ แน่นอนว่างานเปิดตัวร้านในครั้งนี้จะต้องมีการเดินแบบคอลเลคชั่นเสื้อผ้าตัวใหม่ เก๋ไก๋ สีสันตระการตา รวมไปถึงการได้พบเจอเหล่าบรรดาคนดังและบุคคลในวงการบันเทิงอีกมากมาย ที่มารวมตัวกันเป็นแขกผู้มีเกียรติให้กับห้องเสื้อใหม่แห่งนี้

มิรินทร์ จิรวงษ์วิโรชหรือหมูเล็กอดีตนางแบบสาวประเภทสองผู้มีชื่อเสียง และกูรูด้านแฟชั่น ได้ผันตนเองมาขึ้นแท่นเป็นดีไซเนอร์ และเจ้าของห้องเสื้อนามMirint(มิรินทร์)ตามชื่อของตน และแน่นอนว่างานเปิดตัวในครั้งนี้ย่อมมีคนดังมาร่วมงานกันอย่างมากมาย รวมไปถึงนักร้องสาวพันปีอย่างรสรินทร์ และซูเปอร์สตาร์สาวคลื่นลูกใหม่อย่างสาริสามาร่วมเดินแบบในครั้งนี้ด้วย

ทุกสิ่งทุกอย่างที่หาได้จากแคทวอล์กระดับประเทศ รวมไปถึงเสื้อผ้าสวยๆ ของร้านที่ตัดเย็บขึ้นมาอย่างประณีตได้ถูกนำมารวบรวมไว้ทางด้านหลังเวที เพื่อเตรียมตัวที่จะออกสู่สายตาของผู้ที่มาร่วมงาน และอีกไม่ช้าเกินรอ ทั้งนายแบบและนางแบบที่มีชื่อเสียง ช่างหน้า ช่างผม รวมไปถึงทีมงานมืออาชีพทุกคน ต่างก็พร้อมใจกันทำหน้าที่ที่ดีไซเนอร์ได้มอบหมายเป็นอย่างดี แม้แต่นักร้องสาวผู้มีชื่อเสียงทั้งสองก็เช่นกัน ทั้งคู่ถูกจับแยกให้นั่งอยู่กันคนละมุม เพราะเจ้าของห้องเสื้อสาวรู้ดีว่าทั้งสองคนไม่ค่อยลงรอยกันเสียเท่าไหร่ และเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้งานล่มและล้มไม่เป็นท่า อดีตนางแบบสาวจึงขอร้องให้ผู้จัดการส่วนตัวของทั้งคู่คอยดูแลคนของตนอย่างใกล้ชิด

แต่ด้วยความโชคดีของรสรินทร์ที่ได้ถือกำเนิดเกิดขึ้นก่อน และมีชื่อเสียงมานานกว่า เธอจึงได้รับเกียรติให้เป็นนางแบบกิติมศักดิ์เดินแบบในชุดสุดท้าย หรือที่ภาษาแฟชั่นเรียกกันว่า ชุดฟินาเล่ ของการเดินแบบในครั้งนี้ และนั่นอาจจะเป็นเพราะความโก้เก๋ของคำศัพท์ บวกกับความหรูเลิศอลังการของชุด จึงทำให้สาวเจ้าถึงกับรู้สึกดีอกดีใจอยู่ไม่น้อยที่เธอได้รับความสำคัญจากเจ้าของร้าน แน่นอนว่าพี่ไก่ผู้จัดการส่วนตัวของเธอก็ดีใจกับสิ่งที่ดาราสาวได้รับเช่นกัน

“ เชอะ!! อีคางคก ทำเป็นลิงโลดยังกับได้ใส่เอง!! ”ป้าติ่งผู้จัดการส่วนตัวของสาริสาค่อนขอดถึงพี่ไก่อยู่อีกด้าน ขณะที่กำลังรอนักร้องสาวออกมาจากห้องแต่งตัว

สาวน้อยเดินออกมาพอดีกับที่ได้ยินป้าติ่งพูด เธอถึงกับหันไปมองและพบว่า ผู้จัดการส่วนตัวของอีกฝ่ายทำท่าทีกระดี๊กระด๊า และประจบสอพลอมิรินทร์อย่างออกนอกหน้า เช่นเดียวกับที่ผู้จัดการฝีปากกล้าของเธอว่าไว้จริงๆ

“ ป้าติ่งคะ...คือ...หนูมีเรื่องจะบอก ” สาริสากระซิบกระซาบด้วยท่าทางที่แสดงออกว่าเธอกังวลอะไรบางอย่าง พลางลากชุดราตรีเกาะอกสีม่วงเข้มที่หลวมโพรก และดูรุ่มร่ามออกมาจากห้องแต่งตัว

“...ช่วงนี้น้ำหนักหนูลดลง ชุดที่จะต้องใส่ก็เลยดูหลวมๆ ไปอย่างที่เห็น พอจะมีเข็มกลัดไหมคะ ?? ” สาวน้อยอธิบาย พลางให้ผู้จัดการของเธอช่วยสำรวจ

“ ตายละคุณลูก!! นี่หนูโหมงานหนักจนซูบลงขนาดนี้เลยเหรอ ?!! โถ ๆ ๆ ไม่เป็นไร..เดี๋ยวคุณแม่เรียกทีมงานให้นะคะ ” ไม่ทันที่ผู้จัดการของเธอจะร้องบอก เสียงนักร้องสาวดาวค้างฟ้าก็กรีดร้องออกมาอย่างไม่พอใจจากห้องเปลี่ยนชุดอีกฟากหนึ่ง เมื่อซิปของชุดฟินาเล่สีฟ้าแสนสวยรูดปิดแผ่นหลังของเธอไม่ได้ ทำให้นักร้องสาวรุ่นลายคราม และผู้จัดการส่วนตัวถึงกับหน้าถอดสีอย่างเห็นได้ชัด พอๆ กับความเครียดที่เข้ามารุมจับสมองของอดีตนางแบบสาวเจ้าของห้องเสื้อ

“ พี่หมูเล็กคะ!! ช่วยขยายชุดให้โรสหน่อยได้ไหม ? ” นักร้องรุ่นใหญ่อ้อนวอน

“ นี่แม่โรส!! ชุดของฉันตัดถูกต้องตามมาตรฐานย่ะ อีกอย่างฉันก็ตัดตามไซส์ที่ผู้จัดการของเธอได้แจ้งฉันมา เว้นเสียแต่ว่าตัวเธอจะบวมขึ้นเอง!! ” เจ้าของห้องเสื้อกล่าวอย่างหงุดหงิด

ป้าติ่งได้ยินดังนั้นเห็นว่าเป็นโอกาสที่ดี จึงร้องเรียกทีมงานออกมาดังๆ เพื่อดึงความสนใจ

“ ว้ายย!! ตายแล้ว น้องทีมงานขา รบกวนช่วยหยิบเข็มกลัดให้ป้าหน่อยได้ไหมคะ พอดีช่วงนี้น้องซีรีผอมลง...ชุดที่ใส่เลยไม่กระชับหุ่นของน้องเขา ” ป้าติ่งส่งเสียงดังเพื่อให้ดีไซเนอร์สาวได้ยิน

“ อะไรกันป้าติ่ง!! เกิดอะไรขึ้น ? ” อดีตนางแบบสาวหันมาถามผู้จัดการแปดหลอดตามคาด

“ อ่อ!! ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่ชุดที่น้องซีรีใส่หลวมไปนิดหน่อยเท่านั้นเอง ป้าต้อง กราบ ขออภัยคุณหมูเล็กด้วยนะคะ ที่ให้น้องทำงานหนักจนน้ำหนักลดลงอย่างนี้ ” ป้าติ่งอธิบายด้วยท่าทีเจ้ามารยา

“ อ๋อ!! ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่ติดเข็มกลัดเท่านั้นเอง...เอ๊ะ!! อะไรนะคะ ชุดที่น้องซีรีใส่หลวมไปเหรอ ? ” มิรินทร์ถามอีกครั้ง

ป้าติ่งไม่พูดอะไร ได้แต่ฉีกยิ้มให้พร้อมกับพยักหน้า

อดีตนางแบบสาวมองมาที่สาริสาและรสรินทร์ เธอมองสองคนนี้ไปมา จนกระทั่งคิดวิธีที่จะแก้ปัญหาได้ นักร้องสาวรุ่นใหญ่รู้โดยทันทีว่าวิธีแก้ปัญหาของดีไซเนอร์ผู้นี้ต้องไม่เป็นที่พึงพอใจแก่เธอเป็นแน่ รสรินทร์กับพี่ไก่มองหน้ากันราวกับรู้ในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

“ โรสจ๊ะ!! รบกวนถอดชุดคืนพี่จะได้ไหม ? ” เจ้าของห้องเสื้อถามนักร้องสาว พลางผายมือเป็นเชิงให้เธอคืนชุดที่ใส่

“ ต...แต่ โรสต้องเป็นคนใส่มันไม่ใช่เหรอคะ ? ” รสรินทร์ถามย้ำ

“ โรสสสส ” ดีไซเนอร์สาวลากเสียงเรียกชื่อเธออีกครั้ง

รสรินทร์รู้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์จะต้องออกมาในลักษณะแบบนี้ เธอมองสาริสาด้วยหางตาอย่างเคียดแค้น ก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปยังห้องแต่งตัวเพื่อถอดชุดคืนให้กับเจ้าของห้องเสื้อตามที่ถูกสั่งไว้ ซึ่งขณะเดียวกันสาริสาก็ถูกขอให้ถอดชุดเพื่อคืนเช่นเดียวกัน จากนั้นเจ้าของเสื้อสาวนามมิรินทร์ก็จัดการสลับชุดของเธอทั้งสองคน