
กินข้าวไม่ตรงเวลาใช่ไหม! มารู้จักโรคกรดไหลย้อน ( GERD ) กันเถอะ
ปัญหาสำคัญของสาวๆ สมัยนี้ ทำงานเพลินจนลืมเวลา รู้ตัวอีกทีก็หิวจนแสบท้อง เมื่อกินแล้วก็รู้สึกแสบร้อนที่อก ท่าทางเธอจะป่วยเป็น 'โรคกรดไหลย้อน' แล้วล่ะค่ะ T^T
สวัสดีค่าาา สาวๆ SistaCafe ทุกคนนนนนนนนน
ยุคนี้เป็นยุคของความเร่งรีบ ทำให้สาวๆ หลายคนใช้ชีวิตไม่ค่อยถูกสุขลักษณะ บางคนนอนดึกตื่นสาย กินไม่ครบมื้อ ( กินมื้อเช้าไม่ทัน กินอีกทีก็มื้อเที่ยงเลย ) ทำงานยาวไปจนดึก มีเวลากินข้าวก็กินๆๆๆๆ แล้วก็นอนเลย รู้ตัวอีกทีก็รู้สึกว่าอาหารไม่ย่อย แสบๆ อืดๆ ท้องชอบกล บางครั้งก็รู้สึกถึงรสเปรี้ยวย้อนขึ้นมาตามลำคอ เดี๋ยว นี่ฉันเป็นอะไรเนี่ย!?
ไม่ต้องไปหาคำตอบที่ไหน เราตอบให้เอง! เธอกำลังเป็นโรค ' กรดไหลย้อน ' หรือ GERD นั่นเอง โรคนี้เป็นกันบ่อยในสังคมเมืองแต่ไม่ค่อยมีใครสนใจรักษาจริงจัง หารู้ไม่ว่า หากปล่อยให้อาการหนักขึ้น อาจเป็นโรคมะเร็งหลอดอาหารได้เลยนะแกร๊!
มารีบรู้ตัว แล้วรักษาให้ทันเวลา เพื่อจะได้เป็นสาวสวยสุขภาพดี มีชีวิตที่สดใสไปนานๆ ~
พร้อมแล้วก็เลื่อนลงมาดูกันเลย
โรคกรดไหลย้อน ( Gastroesophageal reflux disease = GERD ) คืออะไร
Gastroesophageal reflux disease (GERD) คือภาวะที่กรดหรือน้ำย่อยในกระเพาะ ไหลย้อนกลับสู่หลอดอาหาร ( esophagus ) ทำให้หลอดอาหารระคายเคือง ทำให้รู้สึกแสบร้อนที่หน้าอกและอาการอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย
ใครที่กินอาหารเสร็จแล้ว รู้สึกมีอะไรไหลย้อนขึ้นมา แล้วเจ็บแปล๊บๆ นั่นแหละใช่เลย!
สาเหตุของการเกิดโรค
ตามปกติแล้ว หลังกินอาหารเสร็จ ชิ้นอาหารจะผ่านจากลำคอไปยังกระเพาะผ่านหลอดอาหาร จะมีอวัยวะหนึ่งซึ่งเป็นกล้ามเนื้อในหลอดอาหารส่วนล่าง เรียกว่า " หูรูด " ชื่อภาษาอังกฤษคือ lower esophageal sphincter (LES) จะเป็นตัวปิดไม่ให้อาหารหรือกรดใดๆ ย้อนกลับไปยังหลอดอาหาร
เมื่อหูรูดไม่ปิดสนิททั้งหมด กรดหรือน้ำย่อยในกระเพาะจึงสามารถไหลย้อนกลับขึ้นไปยังหลอดอาหารได้ นี่แหละอาการที่เรียกว่า " Reflux ( กรดไหลย้อน ) " ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการต่างๆ ที่ส่งผลร้ายกับร่างกายได้มากมาย
เนื่องจากกรดในกระเพาะนั้นรุนแรงมาก ( ย่อยอาหารได้ ก็ต้องย่อยเนื้อส่วนอื่นๆ ในร่างกายได้! ) ถ้ากรดไหลย้อนบ่อยๆ เยื่อบุหลอดอาหารอาจอักเสบและเป็นแผลได้

จากรูป sphincter คือหูรูดที่ปลายหลอดอาหาร ถ้าในคนสุขภาพดี ( healthy ) หูรูดจะปิดสนิท กรดจะไม่ไหลย้อนกลับไปได้เลย แต่ในคนที่ป่วยเป็นโรค GERD หูรูดจะปิดไม่สนิท ทำให้กรดบางส่วนไหลย้อนขึ้นมาค่ะ
เอ....แล้วทำไมเราถึงเป็นโรค " กรดไหลย้อน " ได้ล่ะเนี่ย!?
ปัจจัยเสี่ยงมีดังนี้
1. ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
2. ไส้เลื่อนกระบังลม ( hiatal hernia ) หรือการที่บางส่วนของกระเพาะอาหาร ตั้งแต่ส่วนต่อระหว่างหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร เคลื่อนที่ผ่านรูบริเวณกระบังลมเข้าไปในช่องอก ทำให้กล้ามเนื้อและพังผืดของกระบังลมมีความหย่อนยานได้
3. โรคอ้วน, ภาวะน้ำหนักเกินเกณฑ์
4. อยู่ในช่วงตั้งครรภ์
5. โรคหนังแข็ง ( Scleroderma ) หรือการที่ผิวหนังแข็งตัวขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ เพราะมีการสะสมของพังผืด คอลลาเจนที่ผนังหลอดเลือดและอวัยวะภายใน
6. สูบบุหรี่
ยังไม่หมดแค่นี้...บางครั้งเราอาจเป็นโรคกรดไหลย้อน จากการกินยาบางชนิด เช่น ยาแก้อาการเมาคลื่น เมาเรือ, ยาแก้โรคหอบหืด, แคลเซียมสำหรับรักษาโรคความดันในเลือดสูง, ยาโดปามีนรักษาโรคพาร์กินสัน, โพรเจสติน รักษาอาการประจำเดือนมาไม่ปกติหรือคุมกำเนิด, ยาแก้โรคนอนไม่หลับ เป็นต้นค่ะ
อาการของโรค
อาการทั่วไปของโรคกรดไหลย้อน ( GERD ) มีดังนี้
1. รู้สึกว่าเศษอาหารยังอยู่ในกระดูกหน้าอก ( breastbone )
2. แสบร้อนบริเวณทรวงอก เจ็บบริเวณหน้าอก
3. วิงเวียน คลื่นเหียน อยากจะอาเจียนหลังกินอาหารเสร็จ
อาการอื่นๆ ที่อาจพบ ( แต่เจอไม่บ่อย ) มีดังนี้
1. สำรอกอาหารออกมา
2. ไอ, หายใจเป็นเสียงฮึดๆ หรือเสียงหวีดเบาๆ ( wheezing )
3. กลืนอาหารลำบาก
4. มีอาการสะอึก
5. เสียงเปลี่ยนไป
6. เจ็บคอ
อาการต่างๆ เหล่านี้อาจเกิดขึ้นได้ ( หรือถ้าเป็นอยู่แล้ว อาการก็ยิ่งแย่ลงไปอีก ) เมื่อสาวๆ นอนหรือเอนตัวทันทีหลังกินอาหารเสร็จ และมักกำเริบในเวลากลางคืนค่ะ

สะอึก อึ๊ก อึ๊ก ( ปิดปากหน่อย )

คลื่นไส้หลังกินอาหารเสร็จ ก็เป็นอีกอาการหนึ่งของโรคนี้ค่ะ
วิธีตรวจ / ทดสอบว่าเป็น " กรดไหลย้อน " หรือเปล่า
ถ้ามีอาการอ่อนๆ ก็อาจไม่ต้องตรวจสอบอะไร แต่ถ้าอาการกำเริบรุนแรง หรือเคยรักษาหายแล้วกลับมาเป็นอีก ให้ไปพบแพทย์ เพื่อรับการทดสอบที่เรียกว่า " การส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหาร " หรือ upper endoscopy ( EGD )
การส่องกล้องครั้งนี้ เพื่อดูสภาพเยื่อบุในหลอดอาหาร, ดูสภาพกระเพาะอาหาร, และลำไส้เล็กโดยใช้กล้องขนาดเล็ก ( เป็นกล้อง endoscope ที่ยืดหยุ่นได้ ) ซึ่งจะเป็นท่อยาวลงไปในลำคอ ซึ่งอาจจะต้องทำการทดสอบอีก 1 อย่างหรือมากกว่า ดังนี้
2. ทดสอบแรงกดดันในหลอดอาหารส่วนล่าง (esophageal manometry)
3. การตรวจอุจจาระ ( stool occult blood test ) หากได้ผลเป็นบวก ( positive ) อาจวินิจฉัยได้ว่า ภาวะเลือดออกนั้นมาจากจุดไหน ( หลอดอาหาร, กระเพาะอาหารหรือลำไส้ )

การส่องกล้องตรวจดูกระเพาะอาหาร จะสอดท่อลงไปในลำคอแล้วดูผ่านจอแบบนี้ค่ะ
วิธีรักษาโรค
ทางเดียวที่จะรักษาโรคกรดไหลย้อนได้ คือต้องเปลี่ยนวิถีชีวิต ( lifestyle ) ของตัวเอง หากยังไม่รู้จะเปลี่ยนยังไง ลองดูตัวอย่างได้ดังนี้
> ถ้าเธอมีน้ำหนักเกินเกณฑ์หรือเป็นโรคอ้วน การลดน้ำหนักช่วยได้! ( ต้องไดเอทแล้วล่ะนะ อดทนค่ะเพื่อสุขภาพที่ดี )
> หลีกเลี่ยงการกินยาบางชนิด เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟ่น นาโพรเซ่น ให้ใช้ไทลินอลแทนหากต้องการบรรเทาปวด
> เธอสามารถกิน ยาลดกรด หลังมื้ออาหารหรือหลังเข้านอนได้ แม้อาจจะบรรเทาอาการได้ไม่นาน ผลข้างเคียงคืออาจเกิดอาการท้องเสียหรือท้องผูกได้ค่ะ
*ยาชนิดอื่นๆ ก็ใช้ได้ แม้จะออกฤทธิ์ช้ากว่ายาลดกรด แต่บรรเทาอาการได้ยาวนานกว่า

ยาลดกรด ( antacids )
โรคแทรกซ้อนที่ตามมาหลังเป็น " กรดไหลย้อน "
บางครั้งโรคนี้อาจมีอาการแทรกซ้อนได้ ดังนี้
> โรคหอบหืดอาการรุนแรง
> เยื่อบุในหลอดอาหารเปลี่ยนไป ทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้
> ภาวะหลอดลมหดเกร็ง ( Bronchospasm )
> ปัญหาเกี่ยวกับฟัน
> ฝี / แผลหนองในหลอดอาหาร
> หลอดอาหารตีบเพราะมีแผลเป็น

โรคหอบหืด ( asthma )
เมื่อไหร่ที่อาการรุนแรงจนต้องพบแพทย์
ถ้าเธอเปลี่ยนไลฟ์สไตล์หรือกินยาแล้ว แต่โรคกรดไหลย้อนยังไม่หาย ให้ไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาโดยด่วน
*หากมีอาการต่อไปนี้ ยิ่งต้องรีบไปโรงพยาบาล*
> มีเลือดออก
> อาการสำลัก ( ไอ, หายใจติดขัด )
> รู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออกทันทีหลังกินอาหารเสร็จ
> มีอาการอาเจียนบ่อยๆ
> เสียงแหบลง
> เบื่ออาหาร
> กลืนอาหารลำบาก, กลืนอาหารแล้วเจ็บ
> น้ำหนักลดฮวบโดยไม่ทราบสาเหตุ

อาการหนักล้าววววววว ไปหาหมอด่วนเลยจ้า
การป้องกันโรค
1. หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่กระตุ้นให้เกิด ' กรดไหลย้อน ' เช่น แอลกอฮอล์, คาเฟอีน ( ชา กาแฟ ), น้ำอัดลม โซดา, ช็อกโกแลต, ผลไม้และน้ำผลไม้รสเปรี้ยว, เปปเปอร์มินต์, อาหารที่มีรสจัดหรือไขมันสูง, ผลิตภัณฑ์ประเภทนมแบบ full-fat, มะเขือเทศและซอสมะเขือเทศ
2. เปลี่ยนพฤติกรรมการกิน เช่น อย่าเอนตัวลงนอนหรือออกกำลังกายทันทีหลังกินอาหารเสร็จ, กินอาหารให้เสร็จอย่างน้อย 3-4 ชั่วโมงก่อนเข้านอน ให้กระเพาะอาหารย่อยให้เรียบร้อย เพราะการนอนทันทีหลังกินจะทำให้น้ำย่อยสูบฉีดต้านกับหูรูดหนักขึ้น, ลดจำนวนมื้อในแต่ละวัน
3. ไม่ใส่เสื้อผ้าหรือคาดเข็มขัดแน่นเกินไป เพราะจะทำให้อึดอัดหน้าท้อง อาหารไม่ย่อยและก่อให้เกิดโรคกรดไหลย้อนได้ ถ้าน้ำหนักเกินก็ลดซะ เพราะไขมันหน้าท้องจะกดกระเพาะ ทำให้น้ำย้อยไหลย้อนเข้าหลอดอาหารได้
4. นอนให้หมอนสูงจากศีรษะประมาณ 6 นิ้ว การนอนให้หัวสูงกว่ากระเพาะ ทำให้อาหารไม่ไหลย้อนกลับ โดยวางหนังสือ ก้อนอิฐหรือท่อนบล็อกไว้ที่หัวเตียง หรือจะใช้หมอนรูปลิ่มใต้ฟูก อย่าใช้หมอนนิ่มๆ หลายใบซ้อนกัน เพราะหัวอาจจะลื่นหลุดจากหมอนระหว่างนอนหลับได้
5. หยุดสูบบุหรี่ซะ! เพราะสารเคมีในบุหรี่ทำให้หลอดอาหารอ่อนแอลง
6. ผ่อนคลายความเครียดด้วยการเล่นโยคะและทำสมาธิ

ชีสเค้กราดซอสสตรอว์เบอร์รี่เยิ้ม เยิ้มมม~~~ เห็นน่ากินแบบนี้ ทั้งน้ำตาล ไขมัน สูงมาก! กินได้แต่นานๆ ทีก็พอค่ะ

เล่นโยคะผ่อนคลายความเครียดก็ดีนะ สุขภาพแข็งแรง ตัวยืดหยุ่น ป้องกันโรคได้อีก *-*
==========================
จบลงไปแล้วกับความหมาย อาการ สัญญาณ วิธีรักษาและการป้องกันโรค ' กรดไหลย้อน ' เริ่มใส่ใจและรักษาตั้งแต่วันนี้ สังเกตอาการของตัวเองและคนรอบข้าง ถ้าใครส่อแววว่ากินอาหารไม่ตรงเวลา อดมื้อกินมื้อจนกระเพาะทำงานผิดปกติ อาจเสี่ยงเป็นโรคกรดไหลย้อนได้ รีบพาไปหาหมอหรือเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตซะ แสบร้อนที่อกบ่อยๆ ทรมานนะเออ TT
เพราะเราอยากให้สาวๆ ซิสต้าสวยและสุขภาพดีไปนานๆ ขอให้สุขภาพแข็งแรงทุกคนรับคริสต์มาสและปีใหม่นี้นะคะ วันนี้ขอลาไปก่อน บ๊ายบาย ^^/
==========================
บทความที่เกี่ยวข้อง


