เชื่อว่าชาว SistaCafe หลายๆ คนมักจะมีงานอดิเรกที่คล้ายๆกัน
คือการหาคาเฟ่น่ารักๆ ที่มีมุมถ่ายรูปให้อัพอวดให้โลกรู้ลง IG พร้อมกับแคปชั่นเก๋ๆให้คนอิจฉาเล่นๆในความ #ชีวิตดี๊ดีย์
แน่นอนว่า MeliMeli ก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ
ร้านไหนที่ว่าน่ารัก คาเฟ่ไหนที่ว่าควรค่าแก่การไปถ่ายรูป เราไปมาแทบทุกที่ จนบางทีก็แอบนึกเล่นๆ ว่า
ในสมัยนี้ ถ้าเปิดร้านที่หน้าตาเชยๆ ไม่น่าดึงดูด คงไม่รอดแน่ๆ จะเจ๊งไหมนะ
เราเก็บความสงสัยนี้ไว้ในใจ จนกระทั่งได้ไปสัมผัสกับคาเฟ่(?) ในยุคที่คุณยายอายุเท่าๆ เรา...
นั่นทำให้ความคิดของเราเปลี่ยนไปเลย
เอาล่ะ รัดเข็มขัดให้ดีๆนะคะ เพราะเราจะพาออกเดินทางย้อนกลับไปเมื่อหกสิบปีที่แล้วกันค่ะ !!!

จุดเริ่มต้นการย้อนเวลาในครั้งนี้
จึงคว้าโทรศัพท์มาเปิดหาร้านสเต็กที่คิดว่าวันนี้จะต้องไปโดนให้ได้
ขณะที่กำลังจะพิมพ์คีย์เวิร์ดเสิร์ชหาในกูเกิ้ลนั้น อยู่ๆ ชื่อของ สเต็กสาริกา ก็ผุดขึ้นมาในหัว
ใช่ค่ะเมนูนี้เป็นเมนูขึ้นชื่อของร้าน Mizu Kitchen นั่นเอง
เราได้ยินกิติมศักดิ์ของร้านนี้มานานแล้ว ว่าเป็นร้านญี่ปุ่นที่เก่าแก่ และมีเมนูอร่อยที่น่าลิ้มลองหลายเมนู
ไม่รอช้า เรารีบไปเตรียมตัวเพื่อออกจากบ้านไปพิสูจน์ความอร่อยทันที
Note : เนื่องจากในร้านแสงค่อนข้างมืด ภาพที่เราถ่ายมาไม่ค่อยชัด จึงขอยืมภาพมาจากเพจของร้านนะคะ

การเดินทาง
สาวๆสามารถเดินทางโดยรถไฟฟ้า หรือรถไฟใต้ดินได้ทั้งนั้นค่ะ
ถ้าเดินทางมาโดยรถไฟฟ้าก็มาลงที่สถานีศาลาแดง ทางออกที่ 1 ค่ะ ระยะทางไม่ไกล ส่วนใครที่มาโดยรถไฟใต้ดินเหมือน MeliMeli ก็นั่งมาลงสถานีสีลม ทางออกที่ 2 ซึ่งจะมาโผล่ที่หน้าโรงแรมดุสิตธานี หลังจากนั้นก็เดินต่ออีกหน่อย ไม่ไกลค่ะ เลยซอยคอนแวนต์มานิดนึง จะมีทางม้าลายให้ข้ามถนน เราก็ข้ามตรงนั้นเลยค่ะ พอข้ามเสร็จ หันไปทางขวา ก็จะเจอกับร้าน Domino's Pizza ซึ่งตั้งอยู่ปากซอยพอดี
เราไปถึงตอนเที่ยง ซอยพัฒน์พงษ์เวลานี้ไม่น่ากลัวค่ะ ค่อนข้างสงบ ที่จริงตอนแรกเราก็หวั่นๆเหมือนกันที่จะมาคนเดียว แต่เพราะลองเปิด Google Street View ดูแล้ว เห็นว่ากลางวันเป็นแค่ซอยธรรมดาๆ เลยตัดสินใจฉายเดียวค่ะ
ร้าน Mizu Kitchen ตั้งอยู่ทางซ้ายมือ ร้านตั้งอยู่กลางๆซอย เดินไม่ไกล แนะนำว่าเดินชิดซ้ายแล้วมองหาป้ายร้านไว้ตลอดนะคะ เพราะร้านง่ายต่อการเดินเลยมากๆ ไม่มีหน้าต่างกระจก หรือสิ่งอันใดสื่อว่า
ถึงแล้วจ้า เลย นอกจากป้ายหน้าร้านที่ถ้าไม่สักเกตก็จะไม่เห็นค่ะ
ถ้าเห็นว่าประตูปิดอยู่ ไม่ต้องกลัวว่าร้านจะปิดนะคะ ร้านนี้เปิดทุกวันไม่มีวันหยุดค่ะ เราก็เปิดประตูเข้าไปเลยค่ะ หูยยย เริ่มตื่นเต้นละ ข้างในจะเป็นยังไงเนี่ย

หน้าร้านเป็นแบบนี้ค่ะ ดูจากป้ายหน้าร้านก็บอกอายุเลย 555 อาจจะดูเหมือนปิดอยู่ แต่เราสามารถเปิดประตูเข้าไปได้เลยนะคะ

เดินจากปากซอย ก็มองป้ายเบียร์ Asahi ไว้ก็ได้ค่ะ ร้านเป็นร้านคูหาเดียวค่ะ
みずきっちん MIZU kitchen
ทันทีที่เปิดประตูเข้ามา เรารู้สึกว่าตัวเองถูกดูดกลับไปเมื่อหกสิบปีที่แล้วทันที ภายในร้านนั้นค่อนข้างมืด แสงไฟเป็นไฟสีส้มสลัวๆ ผนังร้านเป็นไม้ และตกแต่งด้วยม่านสีแดง และโปสเตอร์ กับภาพวาดอาหารของทางร้านที่ดูทันสมัยมากสำหรับยุคก่อน
ข้างในร้านเงียบมากๆ
ทั้งที่อยู่ห่างจากถนนสีลมที่ขึ้นชื่อเรื่องความจอแจมาไม่กี่เมตร
แต่สิ่งที่เราได้ยินในร้านกลับเป็นเพียงแค่เสียงของเครื่องปรับอากาศที่เปิดอยู่เท่านั้น
มีโต๊ะเพียง 4-5 โต๊ะในร้าน ( แต่เห็นมีบันไดขึ้นไปชั้นสอง ไม่รู้ว่ามีโต๊ะไว้รองรับด้วยรึเปล่า ) ซึ่งล้วนแต่ถูกปูด้วยผ้าคลุมโต๊ะสายสก็อตขาวแดงที่เป็นที่นิยมกันในหมู่ร้านอาหารสมัยก่อน กับเก้าอี้บุหนังสีน้ำตาลหน้าตาเชยๆ
แต่ทำไม เราถึงละลายตาจากภาพบรรยากาศตรงหน้าไม่ได้เลย...

มาดูชัดๆ ภาพโปสเตอร์ที่เดาไม่ออกว่ามันแปะมานานเท่าไรแล้วนะ

ภาพฝั่งซ้ายเป็นวัวมาสคอตของทางร้าน
เดินเข้ามาในร้านก็พบว่ามีลูกค้านั่งอยู่แล้ว 1 โต๊ะ เป็นคุณตาฝรั่งที่ผมขาวเต็มศีรษะนั่งอยู่คนเดียว
เราเดินไปนั่งโต๊ะริมผนังไม่ห่างจากคุณตามาก จึงพอได้ยินว่าคุณตาสั่งเมนู สเต็กสาริกา ที่เราจะสั่งเช่นเดียวกัน
คุณป้าเจ้าของร้าน ( คิดว่านะ เพราะทั้งร้านเห็นอยู่แค่คนเดียว ) เดินเข้ามาวางเมนูตรงหน้าเรา แน่นอนว่าถึงจะคิดไว้แล้วว่าจะกินอะไร แต่เราก็เปิดดูเมนูพอเป็นพิธี
สายตาสะดุดกับซุปหัวหอมฝรั่งเศส ที่ได้ยินมาว่าอร่อยไม่แพ้กัน
ที่จริงเราเจอเมนูน่าทานหลายอย่างมาก แต่เพราะว่ามาคนเดียว กลัวจะกินไม่ไหว เลยสั่งอาหารไปแค่สองอย่าง คือสเต็กสาริกา ที่จะเลือกได้ว่าเอาหมูหรือเนื้อ และซุปหัวหอม

ภาพประดับร้านดูคลาสิคสุดๆ คลาสิคแบบของเก่าจริงๆ ไม่ใช่ของใหม่ที่ทำขึ้นเพื่อให้ดูคลาสิคไว้เรียกกลุ่มลูกค้าที่หลงไหลกับ Nostalgia
หลังจากสั่งอาหารไปไม่นานก็มีลูกค้าอีกคนเข้ามาในร้าน เป็นคุณป้าที่มาคนเดียวเช่นกัน สรุปแล้วมื้อนี้ของเรามีเพื่อนร่วมร้านสามคนค่ะ แต่ดูแล้วเราดูจะเป็นคนที่มาผิดที่มากที่สุดเลย555+ อายุของเราเป็นหลานของร้านนี้ได้เลยนะเนี่ย
อ๊ะ! คุณป้าเจ้าของร้านยกอะไรมาเสิร์ฟเนี้ย
อ้อ...สลัดนี่เอง เป็นเครื่องเคียงคู่กับสเต็กที่ยังไม่มาค่ะ แต่เราหิวมากเลยกินก่อนเลย
ไม่นานนักขนมปังที่เป็นเครื่องเคียงอีกอย่างนึงก็มาเสิร์ฟเช่นกันค่ะ
ดูเหมือนคุณป้าเจ้าของร้านจะทำคนเดียวทุกอย่างเลย ตั้งแต่รับออร์เดอร์ ทำอาหาร เสิร์ฟอาหาร
อาหารก็ทำอย่างต่ออย่างค่ะ

สลัดผักในจานเล็กๆ น่ารัก

สลัดผักที่ราดด้วยน้ำสลัดใส รสชาติเปรี้ยวๆ อร่อยดี

ขนมปังปิ้งร้อนๆ หอมเนยสุดไรสุด
ขณะที่กำลังกินขนมปังอยู่นั้น ( สลัดหมดไปสักพักแล้ว 555+ ) ซุปหัวหอมก็ถูกนำมาเสิร์ฟค่ะ น่ากินมากๆกลิ่นหอมกรุ่น และมีควันลอยอยู่ แน่นอนว่าร้อนค่ะ555 เราต้องทิ้งไว้สักพักถึงจะตักชิมได้
รสชาติเราว่าอร่อยเลยล่ะ มีขนมปังบางๆ ลอยอยู่ด้านบน และเนื้อหัวหอมที่กรุบๆ ไม่นิ่มจนเละให้เคี้ยวเล่นๆ เข้าใจเลยว่าทำไมในเน็ตถึงบอกว่าเป็นเมนู Must try ของทางร้าน

ภาพของซุปหัวหอมค่ะ เห็นว่าเสิร์ฟในชามแบบนี้ แต่รสชาติดีมาก สั่งเหอะ อยากให้ลอง !!!

ดูชัดๆ กับซุปหัวหอมที่มีหัวหอมซอยให้เราได้เคี้ยวกรุบๆ
ระหว่างที่กำลังเพลิดเพลินกับเจ้าซุปหัวหอมอยู่นั้น เสียงฟู่ๆของกระทะร้อนก็ดังขึ้นจากทางหลังร้าน เรารู้ทันทีเลยว่า สเต็กของเรากำลังเดินทางมาถึงแล้วค่ะ !!!
สเต็กสาริกาเสิร์ฟในกระทะร้อน ราดซอสเกรวี่ ที่เราจะราดเองหรือให้คุณป้าเจ้าของร้านราดให้ก็ได้ค่ะ ( เราขอให้คุณป้าราดให้ ) ผักเคียงจานเป็นแครอทต้ม มันบด และเข้าผักสีเขียวๆ อีกอย่างที่เราไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร -__-"""
แนะนำว่าให้กินสเต็กพร้อมกับมันบดนะคะ รสชาติเข้ากันมาก โอ๊ย นึกถึงแล้วอยากกินอีกเลย
เนื้อหั่นง่ายมาก ไม่เหนียวเลย กินแล้วเอ็นจอยมากๆ

สเต็กร้อนฉ่า มาพร้อมกับผักที่เข้ากับน้ำเกรวี่มากๆ
นั่งกินไปเพลินๆ แล้วก็อดนึกถึงสมัยก่อนไม่ได้ ร้านนี้รุ่งเรืองมากในอดีต คนแน่นเอี๊ยด แต่ตอนนี้กลับดูเงียบเหงา เราจิตนาการถึงผู้หญิงที่ทำผมทรงสวอน สวมชุดกระโปรงลายจุดบานๆ นั่งหัวเราะกับคู่เดทที่ทำผมสไตล์ Greaser ขณะที่ในมือของเธอกำลังหั่นสเต็กสาริกาแบบที่เรากิน ภาพของผู้คนที่แต่งตัวสไตล์นี้นั่งอยู่เต็มทุกโต๊ะ เสียงของมีดที่กระทบกับจานดังเป็นจังหวะ สลับกับเสียงพูดคุยกันของเหล่าลูกค้าหนุ่มสาวในสมัยนั้น
ดูเหมือนว่าตอนนี้ทั้งโต๊ะและเก้าอี้ในร้านดูพยายามส่งเสียงเรียกร้องให้มีคนมานั่ง และทานอาหารกับพวกมันเหมือนครั้งก่อน...

หลังจากทานอาหารเสร็จ เราเดินออกจากร้านด้วยความรู้สึกที่ต่างออกไป บางทีเราอาจจะหลงลืมอะไรบางอย่างไป เราอาจจะลืมไปว่าเสน่ห์ที่แท้จริงของร้านอาหาร และคาเฟ่ ที่จริงแล้วไม่ได้อยู่ที่หน้าตาของอาหาร และการตกแต่งร้านเพื่อให้เราไปถ่ายรูปอัพลงไอจี แต่อยู่ที่ว่ามันสามารถถ่ายทอดอารมณ์ และความรู้สึกของคนรุ่นก่อน ให้คนรุ่นหลังอย่างเราได้เข้าใจได้อย่างไร
เราตัดสินใจแล้วว่า เราจะต้องมาร้านนี้อีกหลายๆ ครั้งแน่นอน...
FB: みずきっちん MIZU kitchen
Comments