“นั่นซาโฮะซังไม่ใช่เหรอ”


“จริงด้วย วันนี้ก็สวยเหมือนเดิมเลยเนอะ”

“อรุณสวัสดิ์ค่ะซาโฮะซัง”

ฉันปรายตาไปมองเหล่านักเรียนสาวที่ส่งเสียงทักทาย พยายามขยับรอยยิ้มหวานชนิดที่คนมองต้องละลาย บางครั้งหน้าตาที่พอจะไปวัดไปวาได้นี่ก็มีประโยชน์เหมือนกัน

“สวัสดีจ้ะ สบายดีมั้ย”

ถามออกไปแบบนั้น ไม่ได้อยากรู้คำตอบเลยสักนิด

“สบายดีค่ะ ซาโฮะซังล่ะคะ”

“สบายดีจ้ะ”

สบายกะผี ฉันมึนหัวจะตายแล้ว คือสิ่งที่อยู่ในใจ

“ขอตัวก่อนนะ”

ตัดสินใจปลีกตัวออกมา ถ้าต้องฉีกยิ้มต่ออีกสักวินาทีฉันอาจจะเผลอแสดงตัวตนที่แท้จริงออกไปก็ได้ เมื่อเหล่าสาวน้อยเห็นดังนั้นก็ยิ้มตอบพอเป็นมารยาท ก่อนแต่ละคนจะแยกย้ายไปตามทางของตัวเอง

ฉันเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ อีก 10 นาทีจะถึงคาบเรียนถัดไป นั่นแปลว่ายังพอมีเวลาให้เถลไถล คิดได้แบบนั้นก็เลยตัดสินใจเดินไปเข้าห้องน้ำ ถ้าได้ล้างหน้าล้างตาสักหน่อยคงจะรู้สึกดีขึ้นมาก

มือเปิดก๊อกน้ำ ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นของเหลวกะปริบกะปรอยไหลออกมา ลุ้นจนแทบขาดใจว่ามันจะค่อยๆ หยุดไหลหรือจะทำเซอร์ไพรส์โดยการพุ่งออกมาใส่ฉันที่ยืนรออยู่

ดูเหมือนวันนี้จะยังไม่ใช่คราวซวย เพราะน้ำในก๊อกเริ่มไหลแรงขึ้น ฉันใช้มือวักของเหลวดังกล่าวมาล้างหน้า พลางจ้องมองตัวเองในกระจกเพื่อดูความเรียบร้อย

ผมสีน้ำตาลอ่อนยาวถึงเอวยุ่งเล็กน้อย ฉันจึงเอื้อมมือไปสางมัน การรักษาภาพลักษณ์จำเป็นมากในสถานที่แห่งนี้ ก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไปใกล้กระจกอีกนิด แอบชักสีหน้าไม่พอใจเมื่อเห็นดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของตัวเองมีรอยแดงๆ ที่เกิดจากการอดหลับอดนอน

ฉันถอยตัวออกมา จัดระเบียบเสื้อผ้าอีกครั้ง พร้อมแล้วที่จะเดินออกไปข้างนอกแล้วฉีกยิ้มให้กับคนเป็นร้อยที่รอทักทายอยู่ ก็แน่ล่ะ คนที่เป็นประธานนักเรียนก็ต้องโด่งดังจนใครๆ อยากจะพากันเข้าหาอยู่แล้ว

10 นาทีต่อมาฉันก็พาตัวเองมาอยู่ในห้องเรียนจนได้ จัดการหยิบหนังสือวิชาคณิตศาสตร์มาตั้งเตรียมพร้อมสำหรับการเรียน ขยับแว่นที่หยิบขึ้นมาสวมทุกครั้งเพื่อเสริมภาพพจน์นักเรียนดีเด่น ทำเป็นยืดตัวรอบอกทำความเคารพอาจารย์ ทั้งที่ความจริงอยากจะล้มตัวนอนลงบนโต๊ะให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย

สักพักอาจารย์หนุ่มที่คนทั้งโรงเรียนลงความเห็นว่าหน้าตาดีสุดๆ ก็เดินเข้ามา ใบหน้าคมคายขยับรอยยิ้มทักทาย เส้นผมสีดำเปล่งประกายเหมือนเพิ่งออกมาจากซาลอน เรียกเสียงวี้ดว้ายเบาๆ ให้ดังขึ้นรอบห้องได้เป็นอย่างดี ก่อนร่างสูงจะเริ่มหันไปขีดเขียนกระดานดำ“โจทย์ข้อนี้มีใครตอบได้บ้าง” เสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้น

ถ้าไม่ติดว่านักเรียนสาวๆ ในห้องโง่เกินกว่าจะตอบได้ ฉันคิดว่าคงมีคนจำนวนไม่น้อยอยากยกมืออาสา หวังจะให้อาจารย์หน้าหล่อได้จดจำตัวเองในแง่ดีสักครั้งเมื่อไม่มีใครคิดจะตอบคำถาม หรืออันที่จริงน่าจะไม่มีใครมีปัญญาตอบได้ ในฐานะประธานนักเรียนของโรงเรียน นักเรียนดีเด่น และหัวหน้าห้อง ฉันก็เลยต้องยอมยกมือ“ชิรายูกิ ซาโฮะ…คิดไว้แล้วว่าต้องเป็นเธอ”

สึบุรายะ มาโคโตะ เรียกชื่อของนักเรียนสาวเพียงคนเดียวที่ยกมือ(ฉันเอง) ขยับรอยยิ้มน่ามองที่ทำให้สาวๆ หลายคนอิจฉา พลางรอฟังคำตอบด้วยสีหน้าจดจ่อ“X = 724 ค่ะ”

ฉันตอบเสียงเรียบ ทำหน้าตาเหมือนการแก้สมการบนกระดานเป็นเรื่องง่ายจนคนอื่นแอบมองด้วยสายตาอิจฉา

พอได้รับคำตอบที่ถูกต้อง อาจารย์หนุ่มก็พยักหน้ารับ แสดงท่าทีชื่นชมฉันอย่างออกนอกหน้า ก่อนจะหันไปขีดเขียนโจทย์ข้ออื่นต่อ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ทันทีที่ออดหมดเวลาคาบสุดท้ายดัง ฉันก็เก็บข้าวของ รีบตรงกลับบ้านโดยไม่รีรอ แต่หนทางก็ดูช่างยาวไกลเหลือเกิน เมื่อมีมนุษย์อัธยาศัยดีนับร้อยรอบอกลาฉันทุกๆ 1 เมตรที่เดินผ่าน

แต่ในที่สุดก็ลากตัวเองมาถึงจุดหมายจนได้ ฉันเปิดประตูบ้านด้วยความลำบากยากเย็น ก่อนจะเคลื่อนร่างกายที่หนักอึ้งเข้าไปข้างใน เริ่มถอดเนคไทที่คอ ตามด้วยเสื้อนักเรียน ขว้างมันลงบนพื้นโดยไม่หันกลับไปเหลียวแล เพราะอีกสักพักก็มีคนมาคอยตามเก็บให้แล้วหลังจากจัดการเปลี่ยนไปใส่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น ฉันก็ลากหุ่นเพรียวๆ ของตัวเองที่ใครๆ ต่างก็ชมกันนักหนาออกมาที่ห้องนั่งเล่น จากนั้นก็เปิดทีวี ก่อนจะเดินไปต้มน้ำร้อนเพื่อใส่บะหมี่ถ้วยที่เตรียมไว้

เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อม ฉันเลยกลับมาประจำการยังที่ประจำ นั่งชันเข่าพร้อมกับเลื่อนรีโมทไปเรื่อยๆ พยายามหนีรายการโง่ๆ ไม่ประเทืองปัญญาที่คิดเป็นอัตราส่วนร้อยละ 99 ของรายการทีวีทั้งหมดเสียงประตูหน้าบ้านเปิดเรียกสายตาของฉันให้หันไปมองเล็กน้อย แต่ก็รู้ดีว่าคนที่เพิ่งมาเป็นใครโดยแทบไม่ต้องรอให้เจ้าตัวปรากฏตัว

“สกปรก”คนที่เพิ่งเข้ามาใหม่พูดขึ้นพร้อมกับซัดเนคไทและเสื้อนักเรียนที่ฉันถอดทิ้งไว้บนพื้นกลับมา ก่อนร่างสูงจะเดินเข้าไปในห้องของตัวเอง จัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกมานั่งที่ห้องนั่งเล่นเช่นกัน

“กินบะหมี่อีกแล้วเหรอ”

ฉันตวัดสายตาไปมองคนตั้งคำถาม พยักหน้าตอบอย่างไม่ใส่ใจ

“ใช่ ทำไม…มีปัญหาเหรอ”

“เปล่าหรอก อาหารไร้ประโยชน์ก็ดูเหมาะกับเธอแล้ว”

สึบุรายะ มาโคโตะ พูดด้วยน้ำเสียงกวนประสาท ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ฉัน ในมือของเขามีอาหารชั้นดีที่คงจะแวะซื้อตอนขากลับมาจากโรงเรียน

“ไม่คิดจะเอามาฝากกันบ้างเหรอ”

ฉันถาม เหลือบมองของท่าทางน่ากินในถุงพลาสติกข้างๆ ตัว

“อยากกินก็ไปหาซื้อเอาเอง”

แน่นอนว่าคำตอบที่ได้รับไม่ทำให้แปลกใจเลย

ใครจะไปคิดว่าอาจารย์หนุ่มที่เป็นดั่งเจ้าชายของคนทั้งโรงเรียนจะเป็นคนกวนประสาท ขี้รำคาญ และไม่ใส่ใจความรู้สึกคนอื่นแบบนี้ ฉันเองตอนแรกก็ยังตกใจ พอรู้ว่าหมอนี่เป็นนักตีสองหน้าชั้นยอด

“เออ…เสาร์นี้เตรียมตัวให้พร้อมด้วย คุณปู่เรียกพวกเราไปพบ”

ฉันเลิกคิ้วขึ้นทันที นึกสงสัยว่าผู้อาวุโสคนนั้นมีธุระสำคัญอะไรเร่งด่วน

“จะคุยเรื่องอะไรล่ะ”

“ไม่รู้เหมือนกัน”

อาจารย์หนุ่มยักไหล่ตอบ เริ่มหยิบกล่องข้าวราคาแพงขึ้นมา

จงใจเลื่อนมันมาให้ฉันเห็นชัดๆ เพื่อข่มกัน

“อ่อ แล้วก็…เอาแหวนแต่งงานไปด้วย”

พอได้ยินคำนี้ฉันก็ขยับตัวทันที เหมือนเขาจะสังเกตเห็นพิรุธเช่นกัน เพราะจู่ๆ ร่างสูงก็วางตะเกียบในมือ หันมาจ้องหน้าฉันด้วยสีหน้าจับผิด

“คงไม่ใช่ว่าทำหายไปแล้วหรอกนะ” เสียงทุ้มเอ่ยคาดเดา

“เปล่า…ฉันเอาไปจำนำแล้วต่างหาก”

คำตอบของฉันคงจะไปสะกิดต่อมโมโหเข้า

เพราะใบหน้าคมคายตรงหน้าชักสีหน้าหงุดหงิดทันที

“บ้ารึเปล่า!? แต่งงานไม่ทันถึงเดือน เธอก็เอาแหวนไปขายแล้วเหรอ” มาโคโตะตวาด

“อย่าโวยวายสิ เดี๋ยวฉันไปไถ่คืนเร็วๆ นี้ล่ะ”

ตอบด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม เรื่องนี้ต้องยอมรับว่าฉันเป็นคนผิดจริง

“ให้ทันวันเสาร์ก็แล้วกัน ฉันขี้เกียจตอบคำถาม”

พอได้ยินอาจารย์วิชาคณิตศาสตร์ออกคำสั่ง ฉันก็จำใจพยักหน้ารับ นึกประหลาดใจเหมือนกันที่พวกเราอยู่บ้านนี้ร่วมกันมาครบหนึ่งเดือนแล้ว

...ใช่แล้วล่ะ...

...ฉันกับอาจารย์คณิตศาสตร์ของตัวเอง...

...พวกเราเพิ่งแต่งงานกันเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง...