...ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งตัดผ่านทุ่งโล่งกว้างที่พาดด้วยคุ้งน้ำไกลอยู่ลิบตา สองมือหอบหิ้วถุงผ้าพะรุงพะรัง ข้างในเต็มไปด้วยขนมและผลไม้หลากสี สายตาของผมจับจ้องไปยังหนองน้ำใสท่ามกลางสายหมอกจาง ๆ เบื้องหน้า

“เฟลิน่า!” ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งส่งใบหน้ายิ้มแย้มทักทายไปยังภาพเงาของหญิงสาวที่นั่งอยู่“รอนานมั้ย”

“ฮาเซล?”สายลมพัดผืนน้ำเป็นไอละอองเย็นแผ่ว ๆ หญิงสาวผมยาวสยายสีน้ำตาลทองหันหน้ามองตามเจ้าของเสียงเรียก เผยนัยน์ตาสีเขียวน้ำทะเลเป็นประกายแวววับส่งยิ้มหวานจับใจมาให้อย่างสดใสเย้ายวน

ผมนิ่งค้างราวกับถูกมนต์สะกดไปชั่วขณะ แต่ถุงผ้าเจ้ากรรมในมือทำท่าจะร่วงเลยได้สติกลับคืนมากะทันหัน“เหวอ!”

“คิก!”เดี๋ยวนะ ผมสาบานได้ว่าแอบเห็นเธอหัวเราะ!ผมกระแอมไปทีหนึ่งทำเป็นไม่สนใจ ก่อนบรรจงวางของลงบนผ้าปูลายดอกที่เธอปูทิ้งไว้แล้วค่อย ๆ หย่อนตัวลงข้างเธออย่างระมัดระวังพลางขยับผ้าพันคอให้เข้าที่...

‘ที่นี่คือสถานที่ที่เรานัดพบกัน...’.......“ไม่ต้องซื้อมามากขนาดนี้ก็ได้!” เธอยังคงหัวเราะคิกคักอย่างเอ็นดู

“ก..ก็ กลัวไม่อิ่มไงเล่า!” ผมหัวเราะเจื่อน ๆ ยิ้มก้มหน้ารู้สึกได้ถึงไอร้อนระอุบนหน้าพลางคิดในใจ ‘น่าอายชะมัด!’ผมและเธอนั่งอยู่ริมหนองน้ำใสแจ๋ว รวงหญ้าสีทองริมหนองพลิ้วไหวด้วยลมหนาวที่ใกล้เข้ามาของฤดูใบไม้ร่วง หมอกจาง ๆ เหนือหนองน้ำลอยระเหยอย่างเปลี่ยวเหงาแต่ทว่าในเวลานี้กลับรู้สึกอบอุ่น

“ว...วันนี้ อ..อากาศดีจังเลยเนอะ!” ชายหนุ่มเพิ่งจะวิ่งมาเหนื่อย ๆ หายใจไม่ทัน พูดไปหัวเราะไปอย่างตะกุกตะกัก พยายามเปิดประโยคสนทนาด้วยคำถามที่สิ้นคิดที่สุดในโลก...

“หรอ แต่ฉันว่ามันก็เริ่มหนาวแล้วนะ” เธอยิ้มก้มหน้ากลั้นขำในท่าทางของเขา พลางรินชาจากกระติกน้ำร้อนส่งให้“น..นั่นสิเนอะ!” เขาหัวเราะร่วนกลบเกลื่อน หัวใจเต้นแทบจะทะลุออกมาจากอกอยู่รอมร่อ รับแก้วชามาถืออังไอร้อนอุ่น ๆ ไว้ในมือเผื่อว่ามันจะช่วยให้ใจเย็นได้บ้าง

“แล้ว...เฟลิน่ากินอะไรมาหรือยัง ?”“ก็กำลังจะกินอยู่นี่ไง... ฮ่ะ ๆ”“เออเนอะ !! ฮ่า ๆๆ”“….”

แม้ลมหนาวที่พัดมาต้องตัวเขาอาจจะเป็นลมหนาวเดียวกันกับที่ต้องตัวเธอ แต่ตอนนี้ความประหม่ากลับรุมเร้าเขาเสียจนเหงื่อโชก ผมเริ่มผายมือขึ้นกลางอากาศเริ่มต้นพูดคุยประโยคสิ้นคิดเรื่อยเฉื่อย อย่างตะกุกตะกักสลับกับก้มหน้าหลบสายตาขี้เล่นตรงหน้า พลางหัวเราะเจื่อน ๆ ทุกครั้งที่จบประโยค บรรยากาศชวนอึดอัดจนเขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพูดอะไรไปบ้าง แลเป็นการสนทนาที่ดูน่าอนาถและน่าเวทนาเป็นอย่างมาก…

‘บ้าจริง! เดทแรกของผมมันช่างบัดซบสิ้นดี!’พูดไปมันก็เหมือนปลอบใจตัวเอง แต่นี่มันเป็นเรื่องเหลือเชื่ออย่างมากแล้วที่คนอย่างผมจะสามารถพูดจาเพ้อเจ้อได้ยาวเหยียดขนาดนี้ อะไรบางอย่างมันบอกกับผมว่าผมรู้สึกมีความสุขและเป็นตัวเองกว่าที่เคยเป็นมาตลอดซะอีก ผมจำไม่ได้แล้วว่าไม่ได้มีความสุขแบบนี้มานานแค่ไหน นับแต่วันที่แม่จากไป...

...................................................................‘ ติ๊ด ๆ ๆ ๆ ติ๊ด ๆ ๆ ๆ ~~!!!! ’ชายหนุ่มเบิกตาโพลง... ความฝันทั้งหมดพังทลายลงตรงหน้า เจ้านาฬิกาปลุกบนหัวนอนร้องดังอย่างบ้าคลั่งราวกับจะจงใจแกล้งผลักไสเขาให้ออกมาพบโลกแห่งความเป็นจริงได้แล้ว………'ฮ่ะ!? ฝัน!!?!'

ตะวันยามเช้าเริ่มสาดแสงลอดเข้ามาตามรูช่องว่างของผ้าม่าน ก้อนผมยุ่งเหยิงสีน้ำตาลเข้มยกผ้าห่มขึ้นมาอุดหูอยากจะร้องไห้กับสิ่งที่เจ้านาฬิกาปลุกหัวนอนทำลายไปเมื่อครู่ ... ‘ ฉันเกลียดเสียงมัน! ’ ฮาเซลนึกในใจพลางวาดวงแขนกดปิดเสียงนาฬิกาดัง ‘ปั้ก!’ อย่างไม่ใยดี...

...........ภายในความมืด......ที่แห่งนี้มีชื่อว่า “คุ้งน้ำแห่งอาร์เมทิส” ทุกค่ำคืนเดือนมืดในหนึ่งปี จะเกิดปรากฎการณ์ประหลาดที่มีแสงสว่างวาบจากขอบฟ้าด้านหนึ่งพาดผ่านท้องฟ้าพุ่งตรงไปสู่ทะเลอีกฝั่งฟาก ตามตำนานกล่าวไว้ว่ามันคือสัญญาณการทำนายจากเทพแห่งดวงดาวที่จะประทานให้แก่โลกในทุกปี...

‘มันคือสถานที่แห่งความสุข...’

เธอเปิดกล่องปิกนิกที่มีแซนวิสแฮมชีสตัดขอบหน้าตาน่ากินอยู่เต็มกล่อง เธอหยิบยื่นให้เขาหนึ่งชิ้น เขาเริ่มจะคลายความประหม่าลงได้บ้างแล้ว ฮาเซลรับมาก้มหน้ากัดไปหนึ่งคำก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองไปที่เฟลิน่า... ก่อนจะกลั้นขำจนตัวโยน

“เดี๋ยวเถอะ! หน้าฉันมันตลกมากนักหรือไง!” เฟลิน่างอนจนแก้มป่อง ยังคงไม่รู้ตัวผมหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาสะบัดเบา ๆ แล้วเช็ดเศษขนมปังที่เลอะมุมปากไปถึงแก้ม(จนเกือบจะไปถึงตาอยู่แล้ว)‘เฟลิน่ามักจะชอบกินเลอะเทอะอยู่เสมอ…’

ว่าแต่ ฉากละครน้ำเน่านี่มันอะไรกัน... นี่เขาเป็นมนุษย์ที่โคตรโรแมนติกได้ขนาดนี้เชียวหรือ...นี่มันราวกับความฝั...........................

“ติ้ด ๆๆๆ ติ๊ดๆๆๆ ~~ ติ๊ดๆๆๆ  ๆๆๆๆๆๆ ~~ !!!!”นาฬิกาเข็มตั้งโต๊ะสีเขียวอ่อนทำงานตามหน้าที่ปลุกซ้ำทุก ๆ 10 นาที ระเบิดเสียงสุดปวดตับขึ้นมาอีกครั้ง...

ฮาเซลพลิกตัวนอนเปื่อยแผ่ตัวเหมือนวาฬเกยตื้น ขยี้ตาพลางขมวดคิ้ว ‘ไม่อยากไปโรงเรียนเล้ยยย...’เขากรีดร้องในใจและเชื่อเหลือเกินว่าเด็ก ๆ อีกค่อนโลกก็คงคิดแบบเขา...

มือของฮาเซลปัดป่ายพลางเอื้อมไปคว้านาฬิกามาเหลือบมองเวลาใกล้ ๆ เขาเด้งพรวด... ‘ นี่มันอภิมหาโคตรสายแล้ว! ‘ เห็นดังนั้นแต่เขากลับค่อย ๆ ล่องลอยไปแต่งตัว ดูเอื่อยเฉื่อยผิดปกติมนุษย์นักเรียนตื่นสายทั่วไป ปากบอกสายแล้วแต่ในใจกลับดูไม่เร่งร้อนใจเท่าไหร่ บางทีอาจจะเป็นเพราะฤทธิ์ยา…เขาก้าวเท้าออกจากหอพักรูหนูสวัสดิการคนไร้บ้านที่ทรุดโทรมผุพังขาดการซ่อมบำรุงจากปัญหาการคอรัปชั่นมานานปี เงยหน้าขึ้นมองอาคารรัฐสภาสูงเสียดฟ้าที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าราวกับประชด เขาถอนหายใจ ความเจริญและความเสื่อมโทรมอยู่ใกล้กันถึงเพียงนี้ แต่ที่ที่เขาอยู่กลับเป็นเสมือนแหล่งทิ้งขยะของโลกที่ใคร ๆ ต่างก็แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นไม่รู้เขาคิดไปเองหรือเพราะเขาเติบโตขึ้น เลยมองโลกนี้แปลกไปกว่าแต่ก่อน คอนโดสุดหรูผุดขึ้นรอบใจกลางความเจริญอย่างกับดอกเห็ด เงามืดของตึกสูงเสียดฟ้าพาดผ่านชุมชนสลัมที่เขาอยู่จนแทบไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน เหมือนเป็นสัญญาณบอกว่า ยิ่งบ้านเมืองเจริญเท่าไหร่พวกเขาก็ยิ่งกำลังถูกกลืนกินเข้าสู่เงามืดมากขึ้นเท่านั้นอะไรบางอย่างเริ่มกระซิบบอกเขาว่าโลกมันกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้า ๆ……………………..ฮาเซลชะงักไปเล็กน้อย นี่เขาอยู่ใกล้เฟลิน่าแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่!? ดูเหมือนเธอจะยังไม่รู้ตัวว่าตอนนี้เขากับเธอใกล้ชิดกันมากแค่ไหน มันทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง จนกระทั่งเฟลิน่า..................................… ‘ ปิ้นนนนนนนนนน ๆๆๆ ~~ ’“เฮ้ย! เดินข้ามถนนระวังหน่อยน้อง!” ชายร่างท้วมสวมแว่นดำเบรครถตัวโก่งตะคอกเสียงเดือดดาล ฮาเซลผู้ถูกฉุดดึงสติกลับมากะทันหันหัวใจเต้นโครม ๆ ยิ่งกว่าตอนอยู่ในฝัน รีบก้มหัวขอโทษขอโพย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเดินละเมอ!!? ยานอนหลับที่กินติดต่อกันเป็นเวลานานเริ่มแผลงฤทธิ์ใส่เขาเสียแล้ว อาการของเขาชักเริ่มจะหนักข้อขึ้นทุกที…ฮาเซลหันมองรอบตัว เจอชายสวมชุดสูทดำรัดรูปคนหนึ่งมองมาที่เขาหน้าตาตื่น คงจะตกใจที่เกือบเห็นคนโดนรถชนตายสินะครับ……………..ชั่วไม่กี่อึดใจเขาก็เดินมาถึงโรงเรียนจนได้ ‘ตาลุงหมีหื่น’ เดินแว้บปาดหน้าเข้าโรงเรียนไปพอดี‘ตาหมีหื่นนี่ก็มาสายเหมือนกันแฮะ’ ฮาเซลบ่นในใจอย่างเอือม ๆ‘ตาลุงหมีหื่น’ คือตาลุงหัว(เกือบ)ล้าน อายุประมาณ 50 ปี อ้วนพุงพลุ้ยจนสงสัยว่าน่าจะตัดแบ่งออกมาเป็นคนสองคนได้ ชอบสวมเสื้อสีแสบตาลวดลายน่าเวียนหัว ถ้าใครเดินผ่านแล้วเผลอไปจ้องแกคงจะรู้สึกเหมือนกำลังถูกสะกดจิตฮาเซลไม่ค่อยชอบเขาเท่าไหร่ นอกจากชอบทำโทษเขาแปลก ๆ ตามอำเภอใจแล้ว ‘ตาลุงหมีหื่น’ ฉายานี้ไม่ใช่ได้มาเพราะโชคช่วย เขาคือคนที่ชอบเรียกเด็กนักเรียนหญิงเข้าไปหาที่ห้องพักอยู่บ่อย ๆ ข่าวลืออื้อซ่าหนาหูขนาดนี้ยังไม่ละอายใจมาโรงเรียนได้ทุกวัน แถมตำรวจก็ยังทำอะไรไม่ได้แต่อย่างว่าคงไม่มีเจ้าของโรงเรียนคนไหนไล่ตัวเองออกจากโรงเรียนหรอกมั้ง...แม้รู้ว่า ผอ. โรงเรียนนี้โคตรจะห่วย แต่สวัสดิการรัฐทำให้เขาต้องมาเข้าเรียนที่นี่อย่างเลือกไม่ได้ มันเป็นโรงเรียนที่ไม่ใหญ่นัก ตั้งแต่ชั้นปีที่ 1-6 มีนักเรียนเรียนเพียง 200 คน เท่านั้น ต้นเหตุมาจากหลังจากสงครามในปี 2315 ทำให้ประชากรของโลกลดลงแบบฮวบฮาบ ยุคที่เขาอยู่ตอนนี้เป็นยุคที่เพิ่งจะฟื้นตัวหลังสงครามเท่านั้น...ฮาเซลเดินอาด ๆ มาตามทางจนถึงห้องเรียน เหลือบมองนาฬิกาตอนนี้เป็นเวลา 10 โมง คาบแรกเพิ่งจะจบไปพอดิบพอดี เพื่อน ๆ กำลังส่งเสียงเจี้ยวจ้าวจอแจ ฮาเซลเดินอ้อมไปที่โต๊ะหลังห้อง เหวี่ยงกระเป๋านั่งลงอย่างสบายอารมณ์“ว่าไง!ฮาเซล ยังมาเช้าเหมือนเดิมเลยนะ!” หนุ่มผิวแทนผมตั้งชี้โด่เด่ เอ่ยปากทักทายอย่างกวนโอ้ย ฮาเซลพยักหน้าพร้อมหันไปยิ้มให้ 1 ทีไม่ขาดไม่เกิน‘ ราฟ ’ เจ้าหนุ่มหัวหนามอารมณ์ดีตัวแสบประจำห้อง เพื่อนสนิทจากชุมชนสลัมที่เคยเล่นด้วยกันมาตั้งแต่สมัยยังเด็ก เดินมานั่งลงข้าง ๆ ใบหน้ายิ้มแย้ม (ซึ่งจริง ๆ แล้วผมก็เห็นมันยิ้มตลอดแหละ)“เฮ้ย เป็นอะไรอ่ะ หน้าโคตรซีดเลย!?”“อืม... แฮงค์ยานิดหน่อยน่ะ” ผมเอามือกุมหน้าแล้วฟุบหัวลงกับโต๊ะ โลกยังคงหมุนติ้ว ๆ“แกยังใช้ยานอนหลับนั่นอยู่อีกหรอ ฉันนึกว่าแกเปลี่ยนเป็นตัวใหม่ที่เบาลงแล้ว?”“มันเอาไม่อยู่น่ะ...” ผมตอบกลับเหนื่อย ๆ“ฉันว่าแกต้องการหมอนะ” ราฟเดินมาตบบ่า บอกไม่ถูกว่ากำลังเป็นห่วงหรือกวนตีน“ฝันนั่น... มันกลับมาอีกแล้ว” ผมเงยหน้าขึ้นมองไปที่เพดานอย่างไร้จุดหมาย“โลกเวทย์มนต์กับนางในฝันของแกนั่นน่ะหรอ!?” ว่าแล้วมันก็หัวเราะ“ม..ไม่ใช่!” ผมพูดปฎิเสธแต่กลับเขินจนหน้าแดง ช่างไม่เนียนเอาซะเลย...“ฉันสาบานได้ว่าไม่เคยฝันสมจริงแบบนี้มาก่อน”“คือ.. ทุกอย่างมันดูสมจริงมาก ๆ เลยนะ!”“แต่มันก็แค่ฝันไม่ใช่หรือไง?” ราฟยักไหล่“ก็ใช่...” ฮาเซลส่ายหน้าหน่าย ๆ อย่างยอมรับ.......“แต่ถ้าเป็นฝันจริง”“ทำไมฉันถึงฝันแบบนี้มาเป็นปีแล้วล่ะ?”


ใครที่อยากอ่านบทต่อไปไวๆ

อย่าลืมกดแชร์ & คอมเม้นท์ให้กำลังใจนักเขียนด้วยนะคะ