sleep and sleepless part 1 : ตอนที่ 1 : ตื่น

Part 1 : ตื่น


ตอนที่ 1


"เวคอัพ! เวคอัพ!" นั่นน่ะ เสียงนาฬิกาปลุก


เป็นเวลา 7 นาฬิกา...หลังจากที่หลับอยู่ในฝันเบาอ่อนสีขาวเหมือนปุยนุ่นมานานสิบกว่าชั่วโมง


ผมก็ต้องตื่นขึ้นเพื่อใช้เวลาอันน้อยนิดในแต่ละวันให้มันหมดๆไปอีก 1 วัน


ชื่อจริงของผมคือ วิลัช แต่ถูกป้าเปลี่ยนเป็นวิฬาร์ ใช่ครับวิฬาร์ ที่แปลว่าแมวนั่นแหละ แมวเป็นสัตว์นอนกินบ้านกินเมือง ผมใช้ชื่อนี้ก็เหมาะแล้ว


แต่ละวัน ผมต้องนอนวันละไม่ต่ำกว่า 13 ชั่วโมง ใช่ว่าผมเกียจคร้าน แต่จะขอยกเรื่องโรคหัวใจ shutdown มาเป็นข้ออ้าง คือผม... เป็นโรคที่ยากจะรักษาครับ หรือพูดแบบคนมองโลกลบๆ ว่า เป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาหาย ทำได้แค่ประคองหัวใจของผม ให้มันเต้นต่อไปได้นานที่สุด เท่าที่มันจะไหว


วิธีการทะนุถนอมหัวใจมีสามข้อ 1.นอนมากๆ  2.ห้ามทำกิจกรรมใดก็ตามที่จะทำให้หัวใจเต้นหนักๆ และ 3. ต้องไปรับยาที่โรงพยาบาลเป็นประจำทุกเดือน


…วันนี้ก็เช่นกัน


1 @ @ @ @ @ @ @


"คุณทำงานอะไรครับ" หมอถาม ....หมอคนใหม่ที่เพิ่งเจอหน้าผมเป็นครั้งแรก รับดูอาการต่อจากหมอคนเก่าที่เพิ่งเกษียณไป หมอคนเก่าเป็นหมอที่รักษาอาการปู่ผม และเรื่อยมาถึงพ่อผม พอเขาต้องมารักษาผมต่อ ก็สรุปได้ว่า...โรคหัวใจ shutdown เป็นโรคที่สือต่อกันทางพันธุกรรม


"ทำงานเวบไซต์รีวิวสถานที่ท่องเที่ยวครับ"  ...เป็นบริษัทของรุ่นพี่ที่สนิทสนมสมัยมหาวิทยาลัย


"แล้วมีออกนอกสถานที่ไหม"


"ไม่เลยครับ เป็นกอปปี้ไรเตอร์ ดูรูปและทอดเทปจากที่คนอื่นๆส่งมา แล้วเอามาเรียบเรียงใหม่ เขียนให้เหมือนกับว่าไปเที่ยวมาเอง ส่วนใหญ่นั่งเขียนงานอยู่กับโต๊ะครับ"


ภาพคอกสี่เหลี่ยมเล็กบนตึกสูง มีทิวทัศน์อันร่มรื่นตระการตาด้วยขบวนไฟฟ้าแล่นผ่านไปมาบนถนนคอนกรีต


"งานสบายดีนะครับ ก็เหมาะกับคุณแล้ว"


ผมพยายามองในแง่ดีว่านั่นคือคำชม


"อย่าออกแรงเยอะนะครับ พยายามอย่าเดินทางไกล อยู่กับบ้านให้มากๆ แล้วก็นอนให้บ่อยๆวันละ 13 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ ถ้าคุณรักษาหัวใจดีๆ รับรองคุณจะมีชีวิตอยู่ได้ไปอีกนาน"


หมอคนก่อนก็พูดกับพ่อผมแบบนี้  ผมดูแลตัวเองดีจะตาย ยังเสียไปตั้งแต่อายุ 35 จากนั้น


ตั้งแต่พ่อตาย ผมก็ติดแหง็กอยู่กับป้าและลูกพี่ลูกน้องอีกสองคน ซึ่งตอนนี้กำลัง lucky in game อยู่ในบริษัทใหญ่ๆ และมักจะพูดถึงผมกันว่า...อะไรนะ ทำบริษัทเว็บท่องเที่ยวหรอ อ้อ ยังดีที่ยังมีงานทำ


ใช่ครับ ผมมีเงินนิดๆ มีงานจ๋อยๆ แค่พอไว้บอกคนว่า 'ยังมีงานทำ' ก็ เท่านั้น


ผมไม่มีเวลาไว้ปั่นเงินทอง ไม่มีโอกาสใช้สร้างเนื้อตัว มีความทะเยอทะยานแต่คว้าไม่ถึง เพราะต้องหมดเวลาวันหนึ่งไปกับการนอนถึง 50% ขณะที่คนธรรมดาสามัญอาจใช้เวลากับการนอนเพียง 25-30 % ต่อวันเท่านั้น


ชีวิตผม...คงมีจะอยู่เท่านี้แหละ จนกว่าผมจะตายไป


2 @ @ @ @ @ @ @


"เฮ้ย วันนี้จะไปบางแสนหน่อยว่ะ"


นั่นคือเสียงของเพื่อนผม...ไอ้ตี้  ทำงานอยู่ออฟฟิศเดียวกัน นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ หน้าที่ของมันคือถ่ายรูป ทำกราฟฟิก จิปาถะไปเรื่อยแล้วแต่สั่ง แต่บนจอนั่น โปรแกรมที่เห็นมันเปิดบ่อยสุดคือหน้าเกมส์ออนไลฯ


"บางแสนอีกละ คราวนี้มุมไหนวะ ร้านกาแฟชิลๆ เค้กเก๋  หรือร้านเหล้าฮิปๆ"


"คราวนี้ศาลเจ้า"


ผมหัวเราะเหอะๆ


"เจ้าแม่สามมุก ศักดิ์สิทธิ์นะโว้ย คนไปบนเรื่องความรักเยอะ"


ความรักเป็นเรื่องห่างไกลตัว ... เหมือนเวลาได้ข่าวเกาหลีเหนือกับใต้ปะทะกัน


ความรักคงไม่มีวันมาเฉียดใกล้คนอย่างผม เมื่อหมดเวลาครึ่งวันของชีวิตไปกับการนอน  และตื่นไปทำงานแบบเฉื่อยๆ ก่อนจะกลับมานอนอีก เป็นวิถีชีวิตที่ slow จนอาจเรียกว่า หยุดอยู่กับที่เลยก็ได้


“กูว่าปีนี้ ต้องมีเรื่องอะไรดีๆเกิดขึ้นกะกูและมึงแน่”


ไอ้ตี้พูดอะไรแปลกๆ... ผมกับไอ้ตี้คบกันมายาวนาน ตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัย พอพวกเราเรียนจบ ก็ถูกรุ่นพี่เรียกตัวมาทำงาน พูดตรงๆเลยคือ... ช่วยหางานให้ทำน่าจะดีกว่า


5 ปีถัดผ่านไปพวกเราก็ยังอยู่ที่นี่ มีเงินเข้าธนาคารทุกเดือน 20,000 นิดๆ กับโบนัสน้อยๆ ณ ปลายปี เท่าที่รุ่นพี่พอมีให้ และเท่าที่ผมกับไอ้ตี้จะพอมีพอกินโดยที่ไม่ต้องไปคำนึงถึงอนาคตมันมากนัก


ที่ผมไม่คิดถึงอนาคต ไม่ใช่ว่าผมอยากเท่ห์ ใช่ว่าจะ slow life หรือหายใจเข้าออกเป็นธรรมะ ปล่อยวางและอยู่กับปัจจุบัน แต่เพราะผมไม่มีอนาคตให้คิดถึงต่างหาก!  ตัวคนเดียวโดดๆ ไม่มีพ่อแม่ให้เลี้ยงดู ไร้คู่เคียงข้าง จะให้ไปปาร์ตี้ ใช้ชีวิตกินเที่ยวเสเพลแบบหนุ่มโสดเสรีก็ทำไม่ได้


วงจรชีวิตในแต่ละวัน ทำงาน 8 ชั่วโมง เดินทางอีก 1 ชั่วโมง กินข้าว 1 ชั่วโมง เหลือเวลาว่างๆฟรีๆแค่ 1 ชั่วโมง ที่ผมจะนั่งดูทีวี หาไรทำไปเรื่อย ก่อนจะผล็อยหลับยาว   ผมจึงเลือกที่จะใช้ชีวิตกินนอนที่ออฟฟิศเป็นส่วนใหญ่ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง นอนมันในถุงนอนใต้โต๊่ะทำงานนี่แหละ ฟังเสียงไอ้ตี้เล่นเกมส์ไปจนหลับ  โลกของผมแคบมาก มีแค่ผม รุ่นพี่หัวหน้างานสองคน กับไอ้ตี้!




โลกของผมแคบมาก มีแค่ผม... หัวหน้าที่เป็นรุ่นพี่มหา'ลัย กับ...ไอ้ตี้ โชคดี ไอ้ตี้ก็โลกแคบเหมือนผม มันคงไม่มีปัญหาไปหาแฟนกับใครเขา ก็เล่นติดเกมส์เสียจนหลุดโลก พูดภาษาคนไม่เป็น ขนาดเพื่อนด้วยกันยังอยากเผ่นแล้วผู้หญิงที่ไหนจะเอามัน


"เฮ้ยวิ  กูมีแฟนแล้วว่ะ"


วินาทีนั้นเหมือนมีคนเอาระฆังมาตีเสียงดังเหง่งหง่างใกล้หู มึนไปชั่วขณะ ก่อนจะเงยหน้าถาม


"แฟนในจินตนาการ?""


"คนเว้ย! มึงจำ WD5102 เพื่อนในเกมส์ที่กูพูดถึงบ่อยๆได้ปะ"


ผมพยักหน้าหงึกหงักเหมือนหุ่นกระบอกถูกชัก


"มึงเป็นแฟนกับคนที่รู้จักกันผ่านเกมส์ออนไลน์"


มันพยักหน้าหงึกหงักอย่างอารมณ์ดี


3@ @ @ @ @ @ @


โลกของความรักข่างไร้พรมแดน บทจะมีแฟนก็มี คนเป็นคู่ย่อมไม่แคล้ว ผมฟังไอ้ตี้นั่งบ่นเรื่องเนื้อคู่ที่เพิ่งขุดหากันเจอ เบลอถึงขนาดตามมันขึ้นไปฟังถึงบนรถทั้งที่หมอก็เพิ่งเตือนมาหยกๆว่าห้ามเดินทางไกล


“ตอนแรกกูไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นผู้หญิง ก็เล่นเกมส์กันไปเรื่อย อยู่ๆวันหนึ่งจะขอซื้อไอเท็มเกมส์กัน ติดต่อซื้อขายเสร็จ ป๊าด! พอให้เลขบัญชี โอนเงิน กูเห็นชื่อ เอ้า ชื่อผู้หญิงนี่หว่า”


ไอ้ตี้สาธยายถึงที่มาที่ไปในการพบรักกับสาวในเกมส์ ยาวถึงชั่วโมงเศษๆ รถแล่นจากกรุงเทพฯ ผ่านมอเตอร์เวย์มาโผล่ที่บางแสน  รู้สึกตัวอีกทีก็เห็นภาพทะเลครามท้องฟ้าขาวทอดยาวอยู่เบื้องหน้า


ลมเย็นและกลิ่นคลื่นพัดมาแซะใบหน้าที่เย็นชืด


ผมไม่ค่อยได้ออกจากบ้านไปไหน เพราะอุปสรรคทางร่างกาย ผมเดินทางไกลไม่ได้เพราะมักจะรู้สึกว่าเหนื่อยเกินไป ที่ปลอดภัยที่สุดของผมคือบ้าน แต่พอได้สูดกลิ่นอายของสถานที่ใหม่ๆ ก็เริ่มจะลืมเลือนความกลัดกลั้นงุนงงปนเลี่ยนนิดๆกับเรื่องรักสุดน้ำเน่าของไอ้ตี้


“ยินดีด้วยว่ะ ในที่สุดมึงก็มีแฟน”


จริงๆผมใจหายที่มันจะมีแฟน ก็ชีวิตผมมีแค่ไอ้ตี้ พ่อแม่ไม่มี พี่น้องก็ไม่เหลือ ญาติก็ห่างเหินกันไป


“กูก็นึกว่ากูจะเป็นโสดไปตลอดชีวิต”


ไอ้ตี้ควักกล้องออกมาถ่ายรูปน้ำทะเลด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป ผมสังเกตเห็นมันลั่นชัตเตอร์ด้วยความถี่กว่าทุกครั้ง ไอ้ตี้ที่มีฉายาว่าตากล้องขี้เกียจเพราะมักจะไม่ค่อยยอมถ่ายอะไรง่ายๆแต่วันนี้กลับกระตือรือร้น แววตาแช่มชื่น  อย่างนี้แหละคนมีความรัก มองอะไรก็สวยไปหมด


“มึงไม่ลองขอพรเจ้าแม่ดูล่ะวะ” ไอ้ตี้โบ้ยปากไปทางศาลเจ้าแม่เขาสามมุกที่สถิตอยู่ ณ บริเวณเชิงเขา ตั้งขนาน และหันด้านหน้าของศาลไปทางทะเลสีขาวสุดลูกหูลูกตา


ผมพอจะรู้เรื่องที่ลือเลื่องกันถึงชื่อเสียงของเจ้าแม่เขาสามมุก อยากขอพรเกี่ยวกับรักให้ไปหาท่าน ผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องการบนบานศาลกล่าว เพราะตั้งแต่จำความได้ก็ตระเวนกับพ่อไปทุกที่เพื่อขอพรเรื่องสุขภาพ เราต่างอยากมีอายุยืนเหมือนคนปกติ อยากมีสุขภาพแข็งแรง แต่ไม่มีเทพหนองค์ใดดลให้ฝันของผมและพ่อเป็นจริง เราจึงได้แต่ประคับประคองร่างกายและหัวใจดวงนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะหยุดเต้นไปเอง


“ไหนๆมึงก็มาถึงนี่แล้ว นานๆมึงจะออกจากห้องสี่เหลี่ยมทั้งที ไป เข้าไปกันเหอะ”

4 @ @ @ @ @ @ @

ภายในนั้น รูปปั้นของเจ้าแม่นอนเนื่องอยู่ในถ้ำอันเย็นเยือก แม้ผมเป็นคนไม่เชื่อเรื่องพลังงานพิเศษ แต่ยอมรับว่าผมก็เดินเข้าไปในนั้น ด้วยความรู้สึกขลังและขนลุกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

ผมหยิบธูปมาจุดประมาณกำหนึ่ง ควันธูปห่อคลุมดวงตาแสบพร่าไปหมด ผมเดินไปปักธูปขอพรด้วยสมองที่ว่างเปล่า

“ผมขอ... ให้เจอคนที่ใช่”

“แค่นี้ได้ไงวะ มึงต้องระบุไปด้วย ว่าใช่อะไร หน้าตา หน้าอก หรือนิสัย สูงเท่าไหร่ ตัวสั้นตัวยาว มึงพูดกว้างๆอย่างนี้ เดี๋ยวเจ้าแม่ก็ประทานเงาะป่าซาไกกระเหรี่ยงมาให้มึง”

“กูไม่อยากได้อะไรมากมายหรอก กูก็แค่อยากเจอคนที่จะทำให้กูอยากตื่นนานขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น!”

ขอพรเสร็จ ผมเดินออกจากถ้ำอันเป็นที่สถิตของศาลเจ้าแม่ โดยไม่ได้คาดหวังอะไร ปล่อยหัวว่างโล่ง... เหมือนกับตอนที่เดินเข้าไปทีแรก ตรงประตูทางออก มีหญิงสาวคนหนึ่งสะพายเป้สีแดง สวมชุดสีเชอเบตส้มอมชมพูสด เธอกำลังเอาว่าวสีขาวเขียนด้วยปากกาเมจิกสีแดงแขวนไว้ที่ปากถ้ำ

แดดที่จ้าอยู่ภายนอก ตัดกับความมืดสลัวภายในถ้ำ ผมเริ่มรู้สึกตาพร่า ก่อนที่ทุกอย่างจะเลือนวูบ

5 @ @ @ @ @ @ @

ผมรู้สึกตัวอีกที... นอนอยู่บนรถซาเล้ง ที่แล่นสะเทือนไปตามถนนที่โค้งเลียบริมฝั่งทะเล เจ้าของรถคือลุงผิวดำมัน กำลังขับพาผมไปไหนสักแห่ง ...ได้กลิ่นคล้ายๆปลาเค็มโชยมา

“เฮ้ยมึงรู้สึกตัวแล้วเหรอ”

ไอ้ตี้นั่งอยู่ข้างผม หน้าตื่นๆ นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างแหและถังปลาหมึก

“ผู้หญิง... ผู้หญิงไหนวะ”

ภาพผู้หญิงสะพายเป้สีแดง หน้าปากถ้ำศาลเจ้าแม่

ปรากฏลางๆในหัว

แรงสะเทือนที่หลังหยุดลง หลังจากรถซาเล้งของลุงจอดตรงจุดหนึ่ง

“เขาฟื้นแล้วใช่ไหมคะ” แล้วเจ้าของชุดสีแดงคนนั้นก็ปรากฏตัวขึ้น เธอขี่จักรยานตามซาเล้งของลุงมาติดๆ เธอจอดจักรยานข้างรถ ชะโงกหน้าเข้ามามองผมที่นอนแอ้งแม้งหมดสภาพอยู่ เธอยิ้ม... ใบหน้าของเธอสวยและคมอย่างประหลาด เหมือนจะสวยมาตรฐาน แต่ก็มีบางมุมที่ชวนให้พิศวง

“ปลอดภัยดีละนี่ ไม่ต้องเข้ารพ.แล้วมั้ง” ลุงชาวบ้านส่งเสียงโหวกเหวก

“ครับๆ ขอบคุณมากครับ” ไอ้ตี้รีบควักแบงค์ให้ลุง แต่ลุงส่ายหน้า โบกมือปัดเป็นการใหญ่

“ไม่ต้องหรอก โฮ้ย ก็ช่วยๆกัน” ลุงช่วยกันกับไอ้ตี้ หิ้วปีกผมลงจากรถซาเล้ง ไอ้ตี้ทั้งหันไปขอโทษขอโพยและขอบคุณทุกคนที่ช่วย พร้อมทั้งสาธยายอาการป่วยของผมไปเสียอย่างละเอียดเกินความจำเป็น

“เพื่อนผมร่างกายไม่แข็งแรงครับ เป็นโรคนอนนานวันละ 13 ชม.”

“โรคบ้าอะไร โรคนอนนาน โรคขี้เกียจอ่อนแรงล่ะสิไม่ว่า กินกระทิงแดงก็คงหายแล้วล่ะมั้ง” ลุงพูดติดตลก อย่างไม่เข้าใจกึ่งไม่เชื่อในโรคที่ผมเป็น แต่หญิงสาวในชุดแดงกลับพูดในสิ่งที่แตกต่างออกไป

“น่าอิจฉาจัง ฉันอยากเป็นโรคนี้บ้าง ถ้าได้นอนยาวๆคงหลับฝันสบาย”

ดวงตาปรับโฟกัส ตื่นจากอาการสโลสเลของคนเพิ่งเป็นลม และผมเห็นหน้าเธอชัดขึ้นเหมือนกล้องที่ปรับเลนส์ให้ซูมเข้าไปที่ใบหน้าของนางแบบ ชัดเข้า ชัดเข้า ใต้ดวงตาที่สวยงามได้รูป ผมเห็นรอยเขียวคล้ำขนาดใหญ่ ของเส้นเลือดที่พาดผ่านใต้สองตาของเธอ

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ก็ขอไปก่อนนะคะ”

เธอพูดจบก็สะพายกระเป๋าเตรียมจะจากไป

“ครับๆ ขอบคุณมากครับ” ไอ้ตี้มองหน้าผม และเหมือนมันรู้งาน มันรีบหยิบโทรศัพท์ออกมา “เออไม่ทราบว่าคุณพอจะมีไลน์หรือ...”

ไม่ทัน เพียงวับเดียว เธอคนนั้นก็กระโดดขึ้นจักรยาน หันมาโบกมือ ทิ้งรอยยิ้มชวนจดจำไว้ ปล่อยให้จักรยานสีฟ้าคันนั้นพาเธอจากไป

ผมยังยืนอยู่ริมถนน หน้าอนามัยตำบล ด้วยอาการเหมือนคนกึ่งหลับกึ่งฝัน ตอนนั้นผมยังนึกอะไรไม่ออก นอกจากรวบรวมสติสัมปชัญญะมากสุดเท่าที่มี ใช้สมองแทนชัตเตอร์ กดถ่ายรูปเก็บทุกรายละเอียด เป้สีแดง ทรงผมเกล้ามวย เสื้อคลุมสีเชอเบต รอยแตกเล็กๆบนไฟท้ายรถจักรยานสีฟ้า

ไม่ว่าหัวใจจะมีเวลาเต้นอยู่อีกนานเท่าไหร่ แต่ก่อนที่มันจะหยุด ...ผมต้องรู้ให้ได้ว่าเธอชื่ออะไร