sleep and sleepless part 2 : ตอนที่ 2

ตอนที่ 2

ชื่อจริงของฉันขื่อ ‘สุวาน’  นางสาวสุวาน ใช่... สุวานที่หมายถึงหมา

จริงๆแล้วพ่อแม่คงไม่ได้ตั้งใจจะตั้งชื่อลูกให้เป็นหมาหรอกนะ เพียงแต่ว่าวันที่พ่อไปแจ้งชื่อฉันที่สำนักงานอำเภอ แกเมาอยู่หรืออะไรนี่แหละ  เลยพูดอ๋อแอ๋ ยานๆ  จากเดิมจะตั้งชื่อตามที่เจ้าอาวาสผูกเลขมาว่านางาสวสุวรรณ ก็เลยกลายเป็น “สุ-วานนนน” เสียได้

แต่ถึงฉันจะโตขึ้น และโดนเพื่อนๆล้อว่าเป็นไอ้ด่าง พุดเดิ้ล ชิสุ ก็ไม่คิดจะเปลี่ยนชื่อที่ไหน เป็นหมาไม่น่าอาย หมาเป็นสัตว์ที่น่ารัก น่าคบหา และซื่อสัตย์ยิ่งกว่าคนเสียอีก

ตั้งแต่เกิดมา...ฉันก็มี “คุณพลอยฟ้า” เป็นเพื่อนมาตลอดตั้งแต่เล็กจนโตฉันมีเพื่อนสนิท 2-3 คน แต่เพื่อนที่สนิทที่สุดก็คือหมา เมื่อเพื่อนสนิทที่สุดของฉันตายไป ฉันก็ไม่เคยรู้สึกไว้ใจใครอีกเลย

มีแต่คนบอกว่า...ฉันชอบยึดติดกับอะไรที่ไม่ใช่มนุษย์มากไป

พี่ชายของฉันบอกว่า...หมาไม่มีอารมณ์ความรู้สึก มันแค่ตามเรามาเพราะสัญชาตญาณเท่านั้น เพราะเราให้ข้าวมัน มันเลยถูกวางเงื่อนไขให้ดีใจทุกครั้งที่เห็นเรา มันชอบมาอยู่ใกล้เรา เพราะมันนึกถึงอาหารตลอดเวลา ที่มนุษย์ให้ค่าหมามากเกินเป็นเพราะมนุษย์มักคิดว่าที่หมาทำนั่นเกิดจากความรัก

พี่ชายของฉัน เป็นคนบูชาเงิน คลั่งความสำเร็จ เขาชอบหนังสือธุรกิจ ชอบดู talk show ประเภทปลุกแรงบันดาลใจ เขาชอบคุยเรื่องสตีฟ จ๊อบส์ มาร์ค ซักเกอเบิร์ค วอเรน บัฟเฟท แต่ก็ยังไม่กล้าเดินออกจากชีวิตมนุษย์เงินเดือน เขาชอบบอกว่า...ถ้าพ่อแม่เอาเวลาในหลายสิบปีที่คบหา มานั่งพัฒนาตัวเองแทนเอาเวลาไปฟาดฟันเชือดเฉือน บ้านเราคงรวยกว่านี้ และเขาคงไม่ต้องมานั่งทำงานหาเงินงกๆ

พ่อกับแม่ของฉันหย่ากันตั้งแต่ฉันอายุได้ 11 ขวบ เร็วสำหรับคนทั่วไป แต่ช้าไปหน่อยสำหรับพวกเรา ตอนนั้นพี่ชายของฉันอายุ 17-18 พอดี น่าสงสารที่เขา ต้องมาทนฟังพ่อแม่ทะเลาะกันตอนดึกๆขณะกำลังอ่านหนังสือสอบเอนทรานส์ ส่วนฉัน... หลังจากสะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะเสียงโครมครามในบ้านเป็นเวลาติดกันหลายปี ก็กลายเป็นโรคไม่หลับไม่นอนตอนกลางคืนชนิดเรื้อรัง แถมอยู่ในบ้านที่ไม่มีพ่อและแม่อยู่ด้วยกัน ก็ทำให้ฉันกลายเป็นโรคขี้เหงาตอนกลางคืนบวกไปอีกโรค

แม้พ่อแม่จะหย่ากันไปนานมาก บ้านเงียบสงัด ไม่มีเสียงทะเลาะดังมาให้ได้ยินอีกแล้ว แต่บางครั้งฉันยังรู้สึกเหมือนมีคลื่นเสียงตกค้างจางๆในหัว อย่างกับมีใครแอบเปิดวิทยุทิ้งไว้ แต่เดินหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ไม่รู้ว่าวิทยุเครื่องนั้นมันหลบซ่อนอยู่ตรงส่วนไหน ในซอกหลืบจิตใจ

ฉันสนิทกับคุณพลอยฟ้า มากกว่าพี่แท้ๆของฉันเสียอีก ตกกลางคืนดึกๆ ฉันชอบออกมาเดินเตร่ที่สนามนอกบ้าน คุณพลอยฟ้า จะกระดิกหางดิกๆวิ่งตามมาติดๆ เป็นเพื่อนคุยเล่น ไม่หลับไม่นอนด้วยกันจนเกือบเช้า

คุณพลอยฟ้ากับฉันมีบางอย่างที่คล้ายกัน นั่นคือเราจะหลับไม่ค่อยสนิท หลับๆตื่นๆและสะดุ้งทุกครั้งที่ได้ยินเสียงอะไรดังกุกกักเพียงเล็กน้อย ราวกับช่วงเวลาหลับเป็นช่วงไม่ปลอดภัย เราจึงตื่นตัวอยู่เสมอ คอยเงี่ยหูฟังเสียงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเสียงที่น่าฟัง หรือไม่น่าฟังก็ตาม

ช่วงหลับลึกของฉัน กินเวลาประมาณ  2-3 ชั่วโมงต่อวัน มีแต่คนถามว่า...ทำได้ยังไง ไม่เสียสุขภาพหรือ ฉันก็ไม่รู้ แต่ร่างกายมันคงปรับให้ชินแล้วเวลานอนที่ดีที่สุดคือช่วงรุ่งสาง เมื่อใดที่เห็นเส้นอาทิตย์จางๆที่ขอบฟ้า..ตอนตีห้า เมื่อนั้นแหละ ฉันจะเริ่มหาว

เมื่อคุณพลอยฟ้าตาย และฉันสอบติดมหาวิทยาลัย ฉันก็ออกจากบ้าน ไปเช่าอพาร์ตเมนต์คนเดียว

ทุกๆเช้าฉันจะปั่นจักรยานไปนั่งจิบกาแฟดูกระแสน้ำไหลเอื่อยที่ร้านกาแฟเจ้าประจำ จนเจ้าของร้านแค่เห็นหน้าก็เริ่มชงกาแฟแล้ว ฉันจะสั่งแต่กาแฟดำไม่ใส่น้ำตาลเท่านั้น อยากรับรสชาติและกลิ่นที่บริสุทธิ์ที่สุด จิบกาแฟไป พลิกหน้านิตยสารไป ดื่มด่ำกับแสงยามเช้าจนได้ที่

พอแรงบันดาลใจสูดฉีดเต็มหัวใจสี่ห้อง  ฉันก็จะรีบกลับมานั่งทำงานตั้งแต่ 10 โมงไปจนถึงบ่ายสาม งานหลักของฉันคืองานวาดภาพประกอบ

ฉันไม่เคยทำงานเกินบ่ายสาม ยกเว้นในช่วงเวลาที่เดธไลน์งวดเข้าใกล้จริงๆ ห้าชั่วโมงคือเวลาที่พอดีแล้วสำหรับฉัน เวลาที่เหลือถัดจากบ่ายสาม หากไม่ปั่นจักรยานไปดูภาพที่หอศิลป์ก็ไปให้อาหารปลาที่สวนสาธารณะ พอตะวันตกดิน ก็จะแวะไปนั่งที่ผับ Mid day Mid night ร้านประจำ เจ้าของคือเพื่อนสมัยมหา’ลัยฉันเอง กิจกรรมของฉันที่ผับนั่น ก็ไม่ได้ไปกินเหล้าอะไรหรอก แค่ไปนั่งพูดคุยกับพวกเพื่อนเก่าๆ

ถ้าวันไหนไปแล้วไม่เจอใครก็คงอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ Mid day Mid night เปรียบเหมือนห้องสมุดกลางคืนสำหรับฉัน ห้องสมุดที่เริ่มเปิดตั้งแต่เที่ยงคืนจนถึงเที่ยงวัน มีเพลงให้ฟังและมีเครื่องดื่มมึนเมาไว้เป็นกับแกล้มตอนอ่านหนังสือ

ถึงประมาณเกือบตีห้า ฉันก็จะปั่นจักรยานกลับห้องนอน  หมดไปอีก 1 วัน ชีวิตเชื่องช้าสุขสงบ ฉันใช้ชีวิตแบบนี้มาตั้งแต่เรียนจบ ตอนนี้อายุได้ 25 ในอพาร์ตเมนต์ที่ให้ความรู้สึกเป็นบ้าน มากกว่าบ้านหลังเดิมที่ฉันเติบโตมา

ฉันอยู่ที่นี่มาตั้งแต่อายุ 19 ตอนแรกเจ้าของอพาร์ตเมนต์ก็ดูใจดีอยู่หรอก แต่พักหลังๆ  คิดแต่หาทางจะไล่ท่าเดียวเจ๊นวลพรรณข้างห้องบอกป้าแกจะไล่ที่ให้หมดเพราะจะปล่อยห้องนี้ให้ฝรั่งเช่า“ทำเลดี ติดแม่น้ำแบบนี้ฝรั่งชอบ เขาให้ราคาสูงกว่าก็ไม่อยากให้เราอยู่แล้วไง เดี๋ยวก็หาเรื่องขึ้นค่าเช่าๆ พอเราจ่ายไม่ไหว ก็ต้องย้ายออกไปเอง”ผู้เช่าที่คุ้นตาทยอยย้ายออกไปทีละห้องสองห้อง มีชาวต่างชาติมาแทนที่ ฉันกับเจ็นวลพรรณดูจะเป็นสองห้องสุดท้ายที่ยังดื้อปักหลักอยู่ฉันว่าจะไม่ยอมย้ายออกจากที่นี่ง่ายๆ ฉันรักที่นี่...และไปไหนคงไม่มีความสุขเท่าอยู่บ้าน ฉันเลยหาทางคุยกับเจ้าของบ้าน เพื่อขอให้ลดหย่อนค่าเช่าลง แต่สิ่งที่ได้รับตอบกลับมาคือ…“ป้าเห็นใจนะ ถึงไงหนูก็อยู่ที่นี่มานาน จ่ายตรงทุกงวดไม่เคยต้องทวง เอางี้สิ หนูไม่ซื้ออพาร์ตเมนป้าไปเลยล่ะ ป้าขายให้ไม่แพงหรอก 2 ล้านเอาไหม”“สองล้าน! หนูจะเอาปัญญาที่ไหนคะป้า”อาชีพฟรีแลนซ์ สภาพการเงินคล่องซะที่ไหน กว่าจะหาเงินมาจ่ายค่าเช่าได้ทุกงวดก็เกือบตายแล้ว นี่ต้องหาเงินมาสองล้าน“มันเป็นไปไม่ได้เลยค่ะป้า”“ถ้าอย่างนั้น” สีหน้าป้าเจ้าของอพาร์ตเมนต์ เหมือนรู้อยู่แล้วว่าฉันต้องไม่มีปัญญาซื้อ “เอางี้ไหม ป้าพอจะมีห้องของญาติป้า อยู่แถวจรัญสนิทวงศ์ ราคาถูกกว่านี้สองเท่า ลองไปดูไหมล่ะ”“หนูไม่อยากอยู่ที่อื่นน่ะสิป้า ป้าพอจะลดค่าเช่าให้หนูหน่อยได้ไหม”“ป้าก็อยากช่วยหนูนะ แต่ถ้าเก็บค่าเช่าแค่นี้ มันไม่พอกับค่าครองชีพจริง หนูคงเข้าใจนะ ถ้าทำธุรกิจไปแล้วเท่าตัวก็เหนื่อยเปล่า สู้ขายทิ้งไปเฃบดีกว่า”“เอางี้ ป้าอย่าเพิ่งขายให้คนอื่นนะคะ หนูจะลองหาเงินมาดู อาจขอผ่อนเป็นงวดๆ”“ป้าขอเงินดาวน์ 30% ได้ไหมล่ะ จากนั้นผ่อนต่อเดือนละ 2 หมื่น”“ป้าคะสองหมื่นหนูไม่ไหวจริงๆ ทุกวันนี้หนูหารายได้เฉลี่ยแค่เดือบละหมื่นห้าเอง”“ก็ให้แฟนหนูคนนั้นช่วยออกสิ”“แฟนหนู... ” ฉันนิ่งคิดนิดหนึ่ง ก่อนจะบอก “เลิกกันไปแล้วค่ะ”“อ้าว เหรอๆ เอ้อเด็กสมัยนี้ คบกันแป๊ปๆก็เลิกเนอะ แล้วทำไงถึงไปเลิกกันซะได้ล่ะ” สีป้าเหมือนรู้อยู่แล้วอีกเช่นเคย แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้เผื่อว่าจะได้อัพเดทข้อมูลข่าวสารเสียหน่อยฉันยิ้ม ตอบเสียงดังฟังชัด “ทัศนคติไม่ตรงกันค่ะ”6 @ @ @ @ @ @ @ทัศนคติตรงกันหรือไม่ตรงฉันไม่รู้หรอก... รู้แต่มันเป็นคำตอบที่ง่ายที่สุด และไม่ได้เป็นการปรักปรำว่าใครเป็นฝ่ายผิดอย่างชัดเจนชีวิตคู่เป็นเรื่องจุกจิก มีทัศนคติเฉพาะตัว คนทุกคนล้วนมีอุดมคติเกี่ยวกับรัก สำหรับบางคนรักเป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีวิต ขณะที่อีกคนอยากให้รักเป็นทุกอย่าง คนโน้นมีความรักพร้อมแจกจ่ายให้ใครหลายคน คนนี้มีความรักเหลือไว้เพื่อคนเพียงคนเดียว และไม่สามารถเปิดใจรักใครอื่นได้อีกฉันเลิกกับแฟนคนล่าสุด...เพราะเขาไม่ค่อยมีเวลาให้ เอาแต่ทำงานลูกเดียว เขาไม่ได้ทำอะไรผิด ก็คนวัยสามสิบจะคิดอะไรได้นอกจากเรื่องปากท้องเศรษฐกิจและการสร้างเนื้อสร้างตัว เมื่อฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่สำคัญกับชีวิตเขา ก็เลยขอให้เขาเก็บกระเป๋าออกจากอพาร์ตเมนต์ของฉันไปฉันเลิกกับแฟนคนก่อนหน้า....เพราะไม่อยากต้องคอยระแวงตลอดเวลาว่าเขาจะมีคนใหม่ ฉันจับไม่เคยได้คาหนังขาเขา แต่ฉันไม่อยากเอาเวลาไปนั่งจับผิดคิดลึกจนนับวันจะยิ่งเหมือนเมียหลวงในละครหลังข่าว เลยตัดใจบอกเลิกฉันเลิกกับแฟนคนก่อนๆหน้า ....เพราะเขาเป็นคนอีโก้สูง ถือตัวว่าเรียนจบจากเมืองนอก เลยชอบพูดจาข่มและตัดสินคนอื่นไปทั่ว ฉันอยู่กับเขาแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองโง่ตลอดเวลา เลยค่อยๆห่างกันไปฉันเลิกกับแฟนคนก่อนๆโน้น...เพราะปัญหาทางด้านการเงิน เราเป็นฟรีแลนซ์เหมือนกันทั้งคู่ เขาชอบมาหยิบยืมเงินฉันอยู่เรื่อยๆ เดือดร้อนเป็นหนี้เป็นสิน เมื่อคบกันแล้วตั้งตัวไม่ได้ เราก็ต้องเลิกและฉันเลิกกับแฟนคนแรก...เพราะเราทะเลาะกันตลอดเวลาด้วยเรื่องที่หาสาเหตุไม่ได้ เหมือนพูดผิดหูนิดเดียวก็พร้อมจะระเบิดอารมณ์ใส่ โมนส์วัยรุ่นคุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา พอถึงจุดที่ทนไม่ไหวก็เซย์กูดบายชีวิตของฉันผ่านการคบ และเลิกกับผู้ชายมาหลายหน ต้องจบแล้วทน ต้องทนแล้วจำ จำแล้วก็เจ็บมาหลายรอบ แต่ฉันก็ยังไม่เข็ด ฉันยังมองหาคนรักใหม่ มาเติมเต็มชีวิตอยู่เสมอการอยู่อย่างเหงาๆคนเดียวมันชวนให้หดหู่ อยู่ๆก็จินตนาการถึงตัวเองตอนแก่ ที่เพื่อนๆต่างตาย แยกย้ายหายไปหมด ฉันควรจะมีเพื่อนสักคนเอาไว้มองหน้าตอนตื่น หาอะไรให้ทาน คุยเล่น ออกไปข้างนอกหาอะไรทำด้วยกัน แต่กรรมอะไรนั่นทำให้ไม่มีใครอยากอยู่กับฉันไปจนแก่…เป็นเพราะมรดกทางอารมณ์ที่ฉันได้รับตกทอดมาจากพ่อแม่หรือเปล่าแฟนคนก่อนบอกว่าฉันเป็นคนคาดหวังสูงกับคนรัก แต่ไม่คาดหวังกับความรัก ฉันก็ไม่เข้าใจมากนัก แต่รู้ว่าเลิกมองหารักแท้ไปตั้งแต่อายุ 22 ฉันรู้ว่าโลกอาจไม่ได้สร้างมนุษย์ให้เกิดมาคู่กับใคร คู่แท้ อาจเป็นแค่เทพนิยายปกรณัมที่รังสรรค์ขึ้นจากความคิดฝันแต่ความเหงาไม่เข้าใครออกใคร ณ นาทีนี้ ขอแค่มีใครสักคนมาเคียงข้าง มันยากสักแค่ไหนกันกะอีแค่จะหาเพื่อนชีวิต ซึ่งหน้าฉันก็ไม่ได้แย่ หุ่นก็ไม่ได้อ้วนเผละ นิสัยก็...ไม่ค่อยดีแต่ก็ไม่ถึงกับเลวหรอกนะฉันเคยคิดจะลงประกาศหาคู่ในอินเตอร์เน็ต แต่มาคิดๆแล้ว ตอนนี้มีประกาศอื่นที่ฉันควรหันไปใส่ใจมากกว่า…‘ประกาศขึ้นค่าเช่าเป็น 9000 บาท นับตั้งแต่เดือนธันวาปี 2559 เป็นต้นไป’ซวย! ตอนนี้ฉันต้องหาทางทำอะไรก็ได้เพื่อจะไม่ต้องย้ายออกจากอพาร์ตเมนต์หลังนี้เงิน! จะหาเงินจากไหนมาซื้อ สมบัติเก่าหรือ ไม่ดีกว่า...จะไปปรึกษาพี่ชายก็กลัวจะโดนด่าเช็ด แม่...หรือจะบากหน้าโทรไปขอความช่วยเหลือจากแม่ ไม่เอา! ไม่ดี! ไม่ดีสักทางงาน...คงต้องทำงานให้หนักขึ้น จากเมื่อก่อนที่ทำวันละ 5 ชั่วโมง อาจต้องเพิ่มเป็น 10 แต่ปัญหาคือจะหาคนมาป้อนงานเพิ่มจากไหนแล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดัง เบอร์แปลก อาจเป็นลูกค้าใหม่ก็ได้“ฮัลโหล หวัดดีค่ะ”“ใช่ เอ่อ ใช่คุณสุวรรณเปล่าครับ” อีกฝ่ายพูดละล่ำละลักฟังดูจากน้ำเสียง ไม่น่าใช่ลูกค้าแล้วล่ะ ถ้าเป็นในแวดวงหนังสือเขาจะเรียกฉันว่า “Sea Swan”“สุวานค่ะ”“ผะผมนึกว่า ในกูเกิล เขียนชื่อคุณผิดซะอีก” น้ำเสียงสั่นๆลนๆ เหมือนคนตื่นเต้น เก็บอาการไม่อยู่หาในกูเกิลด้วย! น่ากลัวชะมัด...หวังว่าคงไม่ใช่โรคจิต“เดี๋ยวค่ะ แล้วนี่ใครพูดคะ” ฉันเริ่มขึ้นเสียง ถ้ามาร้องอูวอาวใส่แม่จะบล็อคเบอร์ให้“คือ ผม ผมคือคนที่คุณช่วยไว้วันที่ไปเขาสามมุกน่ะครับ”ภาพใบหน้าของชายคนนั้นปรากฏลางๆขึ้นทีละส่วน ตา จมูก ปาก... เหมือนอยู่ใต้ผ้าม่านสีขาวบาง เขาคือใครก็ไม่รู้ แต่เราเจอกันที่เขาสามมุก   “ใช่คนที่เป็นลมหน้าถ้ำเจ้าแม่หรือเปล่า”เหตุการณ์เล็กๆที่จำแทบไม่ได้ มันเกิดขึ้นตอนฉันไปเที่ยวบางแสนคนเดียว  เขายืนโอนเอนไปมาเหมือนใบมะพร้าวที่ถูกลมพัด พอฉันเดินออกจากถ้ำ เขาก็ล้มตึง จมูกทิ่มลงแทบเท้าฉันพอดี ฉันดึงเท้าหลบไม่ทัน เลยต้องใช้ผ้าใบช้อนหน้าเขาไว้ไม่ให้กระแทกพื้น โชคดี รองเท้านิ่มพอที่จะไม่ทำจมูกใครหัก“ครับ ผมเอง คือผมตามหาคุณมานานมากเป็นเดือนแล้ว”” น้ำเสียงเขาเจืออาย “ผมแค่อยากขอบคุณที่ช่วยผมไว้วันนั้น”“อ้อ เรื่องเล็กน้อย ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก” ถึงขนาดต้องมาตามหากันแบบนี้ “ฉันก็แค่...” เอาเท้า เอ้ย! “เอามือรับหน้าคุณไว้ก่อนคุณจะล้ม แล้วนี่คุณหายดีแล้วใช่ไหมคะ”“ครับ คือ ผมรู้สึก... “แล้วเขาก็เงียบไปนาน ก่อนจะได้ยินเสียงกองเชียร์รอบข้างกระทุ้งให้เขาพูดอะไรต่อ ก่อนที่จะปล่อยออกมาเป็นชุดเหมือนกับคนที่กำลังอ่านอะไรสักอย่างอยู่“ผมรู้สึกว่าถ้าไม่ได้เจอคุณ เลี้ยงข้าวคุณสักมื้อ ผมคงตายตาไม่หลับครับ”“โห... ขนาดนั้นเลย ถ้าอยากขอบคุณจริงๆส่งของขวัญมาก็ได้นะคะ เดี๋ยวให้ที่อยู่”“คะคือ ผม...ผม อยากเจอคุณจริงๆนะครับ” น้ำเสียงเขาที่พูดประโยคนี้ดูจริงใจจนฉันไม่อาจกล่าวคำปฏิเสธไปโดยง่ายอ้างโน่นนี่ไปเรื่อย..“ก็อยากไปอยู่นะคะ แต่ว่าพอดีฉันติดไปกินเลี้ยงกะเพื่อนน่ะค่ะ เลิกก็... ตีสองตีสามโน่นเลย”“ผมรอได้ครับ”“เฮ้ย เอาจริง คุณจะมาหาฉันตอนตีสองเหรอคะ”“สะดวกกี่โมงครับ ที่ไหนก็ได้ว่ามาเลย”“ก็วันนี้ฉันกะไปทานข้าที่ร้าน  Mid day Mid night  อะค่ะ น่าจะไปถึงที่นั่นประมาณเที่ยงคืน”เขาตกลงอย่างไม่ลังเล “ครับๆ แล้วเจอกันที่นั่นนะครับ”ตื๊อชะมัด คนบ้าอะไรจะรุกเข้าหาขนาดนี้ ชักกลัวแล้วสิ...แต่ไม่เป็นไร ที่ผับมีเพื่อนเยอะแยะ ถ้าตานี่ดูท่าจะเป็นคนไม่ดี ก็ให้พวกเพื่อนจัดการ ว่าแล้วฉันก็ตอบตกลงไปขำๆ“ค่ะแล้วเจอกัน” ใจเต้นตุบอย่างประหลาด ใครจะรู้ว่า...การตอบตกลงไปแบบขำๆวันนั้นจะเปลี่ยนชีวิตของฉันไปในแบบที่ไม่อาจฟันธงว่าดี ...หรือร้าย


#โปรดติดตามตอนต่อไป