*~บทที่ 5~*

หลังจากเหตุการณ์ในค่ำคืนนั้นสิ้นสุดลง เช้าวันรุ่งขึ้นหนังสือพิมพ์ทุกฉบับก็ลงพาดหัวข่าวที่เรียกได้ว่าเป็นประเด็นเด็ดของประเทศ กลบข่าวการเมืองใหญ่ๆ สำคัญๆ ไปโดยทันที


“ อมรวิสุทธิ์เปิดตัวบุตรสาวนอกสมรส แท้จริงคือ ‘ซีรี’ ซุป’ตาร์สาวชาวไทย ทายาทมรดกพันล้าน ” จิตติมาอ่านออกเสียงข่าวนั้นดังๆ เพื่อให้เพื่อนสาวอย่างนันทวดีได้ยิน


“ จ้ะ!! ขอบคุณมาก...ร้านฉันก็มีอยู่แค่นี้ เธอจะให้ได้ยินไปถึงทางเดินเลยหรือไง ? ” เจ้าของร้านคนสวยประชด พลางเอามือข้างหนึ่งปิดหูไว้


“ ฉันก็ว่าแล้วเชียว...ยายซีรีอะไรนี่ดูท่าทางจะไม่ธรรมดา คนอะไรจะมาดังได้ในช่วงเวลาไม่กี่เดือน ถ้าไม่ได้อิทธิพลจากพ่อช่วยถือหาง!! ” จิตติมาพลิกหน้าหนังสือพิมพ์พลางอ่านเนื้อหาที่เหลืออย่างสนอกสนใจ


“ แต่เด็กคนนี้หน้าตาก็สวยใช้ได้เชียวนะ เขาอาจจะดังเพราะความโดดเด่นก็ได้ ” นันทวดีแสดงความคิดเห็น


“ อุ๊ย!! นี่รูปคุณยุทธ เจ้านายคนใหม่ของฉันนี่!! ” หญิงสาวตกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นภาพของชายหนุ่มที่คุ้นตาปรากฏอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์เคียงข้างสาริสาและอมรวิสุทธิ์


“ อ่อ!! นั่นหลานชายคุณอมรน่ะ!! ว่าแต่...เธอไม่รู้จักเขาจริงๆ เหรอ ??? เขาออกจะโด่งดัง ถึงขั้นเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง ” หล่อนถามเพื่อนสาวอย่างสงสัย เพราะไม่เข้าใจว่าเพื่อนของเธอไปหลบอยู่ที่ไหนมา ถึงไม่รู้จักคนดังอย่างเขา


“ ก็วันๆ ฉันทำแต่งาน...กลับถึงห้องก็ดึกดื่น แค่ฉันมีเวลาดูโฆษณาทางทีวีก็ดีแค่ไหนแล้ว...ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า ยายเด็กซีรีกับคุณยุทธก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกันน่ะสิ!! ” ผู้ช่วยสาวคนใหม่ทำตาโต เมื่อรู้ว่ามีเจ้านายเป็นญาติสนิทกับนักร้องดัง


“ แหม!! ฉันล่ะอิจฉาเธอจังเลย ได้อยู่ใกล้ชิดกับเซเลบฯ ถึงสองคน...อย่าลืมถ่ายรูปมาฝากกันบ้างล่ะ!! ” นันทวดีฉีกยิ้ม เมื่อเห็นท่าทีที่ดูตื่นเต้นของเพื่อนสนิท


จิตติมาอมยิ้มในคำพูดของเจ้าหล่อน ก่อนที่ทั้งสองจะเปลี่ยนบทสนทนาเป็นเรื่องอื่น...


ในทุกๆ วันหยุดเสาร์และอาทิตย์ ร้านเดย์ลี่ วิท คัพเค้กส์แห่งนี้ จะเป็นที่สถิตของจิตติมาอดีตสาวนักบัญชีแทนที่อพาร์ทเม้นท์แคบๆ ย่านสาทร ซึ่งนันทวดีผู้เป็นเจ้าของร้านและเพื่อนสนิท ก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับเพื่อนคนนี้ของเธออยู่เสมอ

ตลอดเวลาหลายๆ ปีสองสาวคู่ซี้จะนัดหมายกันไปเที่ยวในทุกๆ วันหยุด ถ้าไม่ไปช้อปปิ้งตามศูนย์การค้าก็ออกต่างจังหวัดอยู่บ่อยครั้ง แต่มีแค่ช่วงเดือนนี้และเดือนหน้าเท่านั้นที่จะต้องงดกิจกรรมพวกนี้ลง เพราะจิตติมาเพิ่งจะได้งานทำหลังจากลาออกจากที่เก่ามาเป็นระยะเวลาเกือบเดือน ดังนั้นร้านคัพเค้กแห่งนี้จึงเป็นสถานที่รวมตัวของพวกเธอทั้งคู่ได้เป็นอย่างดี

แต่ก็ใช่ว่าหญิงสาวจะใช้สิทธิ์ในการเป็นเพื่อนเจ้าของร้านมาพักผ่อนเที่ยวเล่นได้อย่างสบายใจ เธอเองยังอาสาเป็นพนักงานคอยต้อนรับลูกค้าและดูแลร้านทุกอย่าง ไม่ว่าจะจัดเรียงเค้ก ชงชา เสิร์ฟ แม้กระทั่งคิดเงินหรือทำบัญชี จิตติมาก็ยินดีที่จะทำให้


“ นี่เธอยังไม่ได้ทำอะไรในร้านฉันอีกบ้างเนี่ย ? ” นันทวดีหยอกถามเพื่อนสาวคนขยัน

“ ก็คงเหลือแต่ถูพื้น ล้างจาน กับคิดโปรโมชั่นให้ล่ะมั้ง!! ” เจ้าหล่อนตอบ

“ พอเลยถ้าจะคิดโปรโมชั่น!! ขืนปล่อยให้เธอทำมีหวังร้านฉันเจ๊งแน่ๆ ” เจ้าของร้านกันท่าทันทีเมื่อได้ยินเพื่อนสาววางแผนจะคิดการตลาดให้ หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ถกเถียงแกมหยอกล้อกันเหมือนอย่างเคยๆ


ในบางครั้งนันทวดีก็อดคิดไม่ได้ว่า หากเธอไม่มีเพื่อนสนิทคนนี้ หญิงสาวก็คงจะไม่มีรอยยิ้มที่เกิดจากความรู้สึกดีๆ ขึ้นมาได้ เพราะเวลาที่เกิดปัญหาจิตติมาก็เป็นดั่งเพื่อนคู่คิดที่สามารถช่วยเธอในการตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง รวมไปถึงการเปิดร้านนี้ด้วย และก็มีหลายครั้งที่ตัวของเธออยากนำเรื่องชีวิตคู่มาปรึกษา แต่ด้วยความที่เป็นคนเชื่อมั่นในตนเอง และคิดว่ายังพอรับมือกับปัญหานี้ไหว หญิงสาวก็เลยยังไม่ตัดสินใจที่จะนำเรื่องนี้มาปรับทุกข์อย่างเป็นจริงเป็นจัง


“ กรุ๊ง...กริ๊ง ” เสียงกระดิ่งที่แขวนอยู่หน้าประตูร้านดังขึ้นยามที่มีคนเดินเข้า เมื่อได้ยินดังนั้น เหล่าพนักงานต่างก็กุลีกุจอไปทำหน้าที่ของตน บางคนก็ไปประจำอยู่ที่เคาท์เตอร์ บ้างก็เตรียมเมนูให้แก่ลูกค้า จิตติมาเองก็เช่นกัน เธอหยุดการสนทนากับนันทวดีหลังจากที่ได้ยินเสียงกระดิ่ง หญิงสาวเดินไปที่บาร์เครื่องดื่มเพื่อเตรียมน้ำร้อนและชาสมุนไพรไว้ต้อนรับ

ครั้นลูกค้าหนุ่มย่างกรายเข้ามาในร้านพร้อมกระเป๋าเดินทางและเสื้อคลุมตัวโต ก็ทำให้นันทวดีมองออกว่าเขาคนนี้ไม่ใช่ลูกค้าทั่วๆ ไป แต่กลับทำให้หญิงสาวฉีกยิ้มออกมาอย่างดีใจเมื่อได้เห็นชายหนุ่มถนัดตา


“ พี่อัศ!! ” นันทวดีเอ่ยชื่อของชายผู้นั้น


ชายหนุ่มอมยิ้มพร้อมกับโผเข้ากอด ราวกับว่าคนทั้งสองไม่ได้พบเจอกันมานาน


“ ไหนพี่บอกว่าจะมาพรุ่งนี้ไงคะ แล้วทำไมถึงมาก่อนกำหนดล่ะ ? ” หญิงสาวถามไถ่เขาเกี่ยวกับเรื่องการเดินทาง


“ เผอิญว่าพี่เคลียร์งานเสร็จแล้วตั้งแต่เมื่อวาน ก็เลยเก็บข้าวของออกจากที่นั่นมาตั้งแต่เช้า อีกอย่างอยากเจอเรากับเจ้าตัวเล็กด้วย ตั้งแต่เราคลอดพี่ก็ไม่ได้มาเยี่ยมเลย...คิดถึงจะแย่!! ” ชายผู้นั้นบอกแก่นันทวดีด้วยความดีใจ ซึ่งจิตติมาเองก็สัมผัสได้ถึงสายตาอันห่วงใยที่เขาส่งให้แก่เพื่อนของเธอ


“ ทุกคน...พี่มีคนจะแนะนำให้รู้จัก นี่คือ พี่อัศ พี่ชายแท้ๆ ของพี่เอง เขาเพิ่งย้ายจากงานราชการที่โคราชเ ลยแวะมาพักที่กรุงเทพฯ ก่อนที่จะขึ้นไปประจำการที่เชียงใหม่ในต้นเดือนหน้า!! ” นันทวดีแนะนำพี่ชายให้แก่พนักงานที่ร้าน ทุกคนต่างยกมือไหว้เขาด้วยความเคารพไม่เว้นแม้แต่จิตติมา


“ นั่นยายเจี๊ยบเพื่อนของเราใช่ไหม...ดูผอมลงไปนะ ไม่ได้เจอกันนานเป็นยังไงบ้างล่ะ ? ” ชายหนุ่มกล่าวทักทายหญิงสาว ราวกับว่าเขาคุ้นเคยกับเธอมาก่อน


จิตติมายิ้มตอบอย่างขวยเขินเพราะไม่คิดว่าเขาจะจำเธอได้ หลังจากที่ไม่ได้เจอกันเกือบสองปีนับตั้งแต่งานแต่งงานของนันทวดีเมื่อปีกลาย


“ ก็...สบายดีค่ะ ” เธอตอบพลางหลบสายตา


ชายหนุ่มอมยิ้มให้กับท่าทีที่ดูเขินอาย ก่อนที่จะหันไปคุยกับน้องสาวของตนเอง


“ แล้วเจ้าตัวเล็กล่ะเป็นไงบ้าง...พี่ยังไม่เคยเห็นหน้าเลย นอกจากในรูปที่เราส่งให้ ?? ” เขาถามถึงหลานชาย

“ หลับอยู่หลังร้านค่ะพี่ แนนเพิ่งจะกล่อมให้หลับไปเมื่อชั่วโมงที่แล้วเอง ” นันทวดีว่า


“ อืม...ไม่เป็นไร ปล่อยให้นอนไปเถอะ ว่าแต่...เรากับนายโชติเป็นอย่างไรกันบ้าง สบายดี...ไม่ได้มีปัญหาอะไรกันใช่ไหม ?? ” ชายหนุ่มถามถึงน้องเขย


“ ค่ะ... ” เธอตอบพร้อมกับยิ้มให้ ทั้งที่รู้ว่าไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเลย ที่จะมาโกหกพี่ชายของตนเอง


“ พ่อกับแม่ก็ถามถึงเราอยู่บ่อยๆ ว่าเมื่อไหร่จะขึ้นไปเยี่ยมที่พิษณุโลก เห็นเราเงียบหายไปเลย ” ชายหนุ่มว่าต่อ

“ ช่วงนี้แนนยุ่งๆ น่ะค่ะ ไหนจะดูแลลูก ไหนจะดูแลร้าน เหนื่อยจะแย่ ” หญิงสาวอธิบาย


“ แล้วสามีเราเขาไม่ช่วยเลยเหรอ ว่าแต่วันนี้เขาไปไหน...นี่มันวันเสาร์นะ ?? ” พี่ชายของเธอถามอีก จนหญิงสาวเริ่มเบื่อที่โดนเซ้าซี้


“ เขาก็ช่วยแหละค่ะ!! แต่วันนี้เขาต้องไปสัมมนากับลูกค้าที่มาจากสิงคโปร์ เย็นๆ โน่นกว่าจะกลับ ” นันทวดีแสดงท่าทีไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด เหมือนกับเหนื่อยหน่ายที่จะต้องมาตอบคำถามเกี่ยวกับโชติวุฒิ


อัศนัยมองหน้าน้องสาวแล้วพยักหน้าเชิงเข้าใจ ก่อนที่จะหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ที่เตรียมไว้สำหรับลูกค้า


“ รับชาสักถ้วยไหมคะ ?? ” เธอเปลี่ยนเรื่อง

ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไรต่อ นอกจากพยักหน้าพลางส่งยิ้มให้เป็นการตอบรับ…


จิตติมาสังเกตเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของนันทวดี เธอรับรู้ได้ถึงบางอย่างในตัวเพื่อนสาวเกี่ยวกับสามีที่ส่งกลิ่นให้สัมผัสได้ถึงความระหองระแหงอย่างนี้มาเป็นพักๆ แต่หญิงสาวก็ยังไม่อยากฟันธงหรือถามอะไร เพราะรู้ดีว่าเพื่อนของเธอก็คงไม่กล้าที่จะเล่าเช่นกัน


++++++++++++++++++++++++++++++


ในขณะที่ฝ่ายหนึ่งรู้สึกกระอักกระอ่วนใจกับปัญหาชีวิตที่พบเจอ อีกฝ่ายหนึ่งกลับสนุกสนานกับรสสวาทของสาวแรกรุ่นที่มุมหนึ่งของมหานครใหญ่ โชติวุฒิบรรเลงลิ้นลงไปยังทุกส่วนของวาดลัดดาแม้กระทั่งในส่วนที่สาววัยกำหนัดอย่างเธอรู้สึกเขินอาย สาวน้อยสะท้านกับลิ้นหฤหรรษ์ของเขา เธอครวญครางไปมาอย่างเสียวซ่านระคนสุข ชายหนุ่มก็ยิ่งละเลงลงอย่างดุดันเมื่อได้ยินเสียงของเธอร่ำร้อง ช่วงเวลาอันสุดแสนหรรษาของคนทั้งคู่ใช้เวลาค่อนข้างยาวนานตลอดทั้งวัน แต่ทว่ากลับประเดี๋ยวประด๋าวในความรู้สึกของทั้งสองคน…


“ จะกลับแล้วเหรอคะคุณโชติ ? ” สาวน้อยร้องถามแฟนหนุ่ม พลางส่งสายตาเว้าวอนร้องขอให้อยู่ต่อ ในขณะที่เขากำลังยืนติดกระดุมเสื้ออยู่ที่หน้ากระจก


“ ครับวาด...พรุ่งนี้ผมมีธุระทั้งวันเลย ไว้วันธรรมดาผมค่อยมาหาคุณใหม่นะ ” ชายหนุ่มบอกแก่หญิงสาว ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วล้วนเป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น


วาดลัดดาแสดงอาการขุ่นเคืองออกมาเล็กน้อย เมื่อได้ยินเขาพูดอย่างนั้น


“ นะครับ คนดี...อย่างอนผมเลยนะ ” โชติวุฒิทิ้งตัวลงไปนั่งบนเตียง พลางโอบไหล่เธอไว้


สาวน้อยยังคงแสดงอาการงอนอยู่อย่างนั้น ไม่ว่าโชติวุฒิจะง้ออย่างไรเธอก็ไม่หาย จนเขารู้สึกเบื่อหน่ายในท่าทีของหล่อน ชายหนุ่มลุกขึ้นแล้วกล่าวลาเป็นมารยาทก่อนเดินออกจากห้องไป ทำให้วาดลัดดารู้สึกไม่พอใจอยู่เพียงลำพัง

ชายหนุ่มขับรถกลับมาถึงบ้านเกือบราวๆ ห้าทุ่ม เขาแปลกใจที่ยังคงเห็นไฟในบ้านเปิดอยู่ ทั้งที่ความจริงคนในบ้านควรจะนอนหลับตั้งแต่สี่ทุ่มแล้ว โชติวุฒิจอดรถแล้วเดินขึ้นบ้าน แต่กลับรู้สึกประหลาดใจและตกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นภรรยาสาวยังไม่ขึ้นนอน แถมยังนั่งอยู่กับอัศนัยและจิตติมา พร้อมกับลูกชายตัวน้อยภายในห้องรับแขก


“ อ้าว!!...กลับมาแล้วเหรอคะคุณโชติ ? ” นันทวดีกล่าวถามเป็นเชิงทักทาย

“ คุณก็เห็นอยู่ว่าผมกลับมาแล้ว...ยังจะถามอีก!! ” ชายหนุ่มบอกแก่ภรรยา พลางทอดสายตาเหลือบมองไปที่พี่ชายของเธอ


“ สวัสดีครับพี่อัศ ” เขากล่าวทักทายอัศนัย พลางยกมือขึ้นไหว้อย่างเลี่ยงไม่ได้ ก่อนที่จะหันหน้ารีบเดินขึ้นบันไดไปทันที


“ ทำไมกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ ล่ะนายโชติ!! แล้ววันหยุดทำไมถึงไม่อยู่กับลูกเมีย ?? ” อัศนัยถามดักทาง

“ ผมเป็นนักธุรกิจนี่ครับ ไม่ใช่ข้าราชการแบบพี่ที่จะได้ทำงานตามเวลาและมีวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ถ้าผมไม่ออกไปทำงาน ผมจะเอาเงินที่ไหนมาเลี้ยงครอบครัวล่ะครับ!! ” โชติวุฒิตอบกลับด้วยน้ำเสียงประชดประชัน


“ พี่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น...พี่แค่ถาม เพราะอยากให้เราเอาใจใส่ครอบครัวบ้าง ” เขาบอก

“ พี่อัศคะ...พอเถอะค่ะ คุณโชติกลับมาเหนื่อยๆ ให้เขาไปพักผ่อนเถอะ ” นันทวดีรีบปรามพี่ชาย


“ อะไรกันยายแนน...ที่พี่พูดนี่เพราะพี่เป็นห่วงเรากับลูกนะ ” ข้าราชการหนุ่มอธิบาย

“ ช่างเถอะคุณ!! พี่ชายของคุณเขาคงไม่รู้หรอกว่า ชีวิตคนในสังคมเมืองมันเป็นยังไง ต้องปากกัดตีนถีบขนาดไหน คนที่ใช้ชีวิตอยู่แต่ในต่างจังหวัดกับชนบทอย่างเขาคงไม่เข้าใจหรอก!!! ” โชติวุฒิได้ทีจึงพูดเยาะเย้ย

“ คุณโชติ!! มันจะเกินไปแล้วนะ!! ” นันทวดีหันมาขึ้นเสียงกับสามี

“ พอกันได้แล้วค่ะทุกคน...หยุดเลย!! ” จิตติมารีบแทรกห้าม หลังจากที่เธอทนนั่งฟังมาสักพัก

“ พี่อัศคะ...เจี๊ยบว่าเรากลับกันเถอะค่ะ...นี่ก็ดึกมากแล้ว ปล่อยให้พวกเขาได้พักผ่อนกันเถอะ!! ” เธอกล่าวเรียกอัศนัยที่กำลังมองหน้าน้องเขยอย่างไม่พอใจในคำพูดเมื่อครู่


“ กลับเถอะค่ะ...เดี๋ยวอีกสักพักแนนก็จะขึ้นนอนแล้ว ” นันทวดีบอกพี่ชายอีกทาง พลางส่งสายตาให้จิตติมารีบพาเขาออกไป

“ ไปค่ะ...พี่อัศ!! ” หญิงสาวดึงแขนชายหนุ่ม


อัศนัยมองหน้าน้องสาวและน้องเขยอย่างขุ่นเคือง ก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วเดินออกจากบ้านไป โดยมีจิตติมารีบเดินตาม หลังจากที่โบกมือลาให้กับนันทวดี


++++++++++++++++++++++++++++++


ภายในรถกระบะปิดประทุนสีทองที่เคลื่อนตัวออกจากบ้านของคู่สามีภรรยาไปอย่างรวดเร็ว จิตติมานั่งหลังติดเบาะและคาดเข็มขัดนิรภัย เพราะกลัวอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นจากความใจร้อนของคนขับ


“ พี่อัศคะ...ขับช้าๆ ก็ได้ค่ะ!! เจี๊ยบกลัว!! ” หญิงสาวร้องบอกด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูตระหนก จึงทำให้ชายหนุ่มได้สติ เขาจึงค่อยๆ ชะลอรถลง


เธอรู้สึกหายใจได้ทั่วท้องขึ้นก่อนที่จะเหลือบหันไปมองที่เขา พลางคิดในใจว่าอยากจะพูดบางสิ่งบางอย่างออกไป แต่แล้วก็ตัดสินใจที่จะไม่ทำเพราะคิดว่าตนไม่ใช่คนในครอบครัว


“ แนนมีปัญหาอะไรกับนายโชติบ้างหรือเปล่า ?? ” อัศนัยกล่าวถามอย่างไม่รีรอทำให้หญิงสาวถึงกับสะดุ้ง ราวกับว่าเขาอ่านใจของเธอได้


“ ก็...เปล่านี่คะ...ยายแนนไม่เห็นจะพูดอะไรเลย!! ” จิตติมาบอกแค่ส่วนหนึ่งเพื่อรอดูท่าทีของเขา


“ คนอย่างยายแนนปากแข็งจะตาย มีอะไรก็ไม่ค่อยพูดหรอก เราอยู่ที่นี่ไม่ได้สังเกตอะไรบ้างเลยเหรอ ? ” อัศนัยถามเธออีกครั้ง

“ เจี๊ยบก็สังเกตและรู้สึกมาได้สักพักแล้วล่ะค่ะว่าทั้งสองคนเริ่มเปลี่ยนไป...ความคิดเห็นเขาไม่ตรงกันและทะเลาะกันบ่อยขึ้น... ” เธอบอกเล่าเท่าที่สังเกตได้ พลางนิ่งไปสักครู่หนึ่ง


“ …แต่เจี๊ยบก็ไม่กล้าถามยายแนนตรงๆ หรอกค่ะ...เพราะดูเขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่าเรื่องนี้จะเป็นปัญหาชีวิตสักเท่าไหร่ ” จิตติมาอธิบายต่อ


“ คือพี่ก็รู้หรอกนะว่ายายแนนเป็นคนยังไง ถ้าอะไรที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรงมันก็จะจัดการด้วยตัวของมันเอง แต่ที่พี่เป็นห่วงจริงๆ ก็คือ หลานของพี่ เพราะพี่ไม่อยากให้เขาเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมแบบนั้น ” ชายหนุ่มเป็นห่วงหลานชายที่ยังเล็กอยู่


“ ตัวยายแนนเองก็เป็นห่วงลูกอยู่เหมือนกันนะคะพี่...ไม่ใช่ไม่เป็นห่วง!! แต่ก็คงต้องค่อยๆ จัดการไปทีละเรื่องน่ะค่ะ ” จิตติมาแก้ต่างให้เพื่อนสาว


“ พี่กลัวว่ามันจะสายไปน่ะสิ!!... ” อัศนัยทอดถอนใจก่อนที่จะพูดต่อ

“ ...พี่เองก็ไม่ค่อยมีเวลามาดูแลน้องกับหลานเสียเท่าไหร่ เพราะชีวิตพี่ก็อยู่แต่ต่างจังหวัด ต้องเดินทางตลอด ยังดีที่ช่วงนี้พอมีเวลามาดูได้บ้าง แต่พอเดือนหน้าพี่ก็ต้องขึ้นเหนือแล้ว และก็ไม่รู้ว่าจะได้มาอีกเมื่อไหร่...ยังไงก็ฝากเราดูแลน้องของพี่ด้วยนะ ถ้าหากมีอะไรให้รีบติดต่อพี่ทันที แล้วพี่จะลงมารับช่วงเอง ” ชายหนุ่มหันมาขอร้อง แววตาของเขาแสดงออกถึงความเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด


หญิงสาวมองเขาด้วยความเข้าใจ เธอไม่คิดว่าผู้ชายดีๆ ที่เป็นห่วงเป็นใยครอบครัวอย่างอัศนัยจะหลงเหลืออยู่บนโลก หล่อนพยักหน้าให้เขาเป็นการรับปาก โดยที่ไม่รู้ว่าตนเองจะทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายนี้ได้ดีเพียงใด แต่เธอก็สัญญาเอาไว้ว่าจะทำมันให้ดีที่สุด เพื่อเด็กทารกตัวน้อยๆ ที่ไม่รู้ประสาคนหนึ่ง ได้เติบโตขึ้นมาท่ามกลางพื้นฐานสังคมที่ดีภายใต้วิถีอันใกล้


++++++++++++++++++++++++++++++