Missing Pieces


บทที่ 5 - The First Intention

มือกีตาร์หนุ่มหันขวับทันทีเมื่อได้ยินประโยคนั้น “อยู่ห้องเดียวกันเฉย ๆ ”

“พี่คิน เป็นแฟนกับพี่แคลร์เหรอ”

“แค่นั้นจริงเหรอ”มือกลองสาวหรี่ตาลงอย่างจับผิด ขณะที่อัญหันกลับไปหยิบกีตาร์เล่นกับเด็กหนุ่มข้างกายเรียบร้อยแล้ว

“คิน...”เสียงเรียกอ่อนแรงดังขึ้นจากคนเพิ่งได้สติที่ลุกขึ้นนั่งทันที

“ค่อย ๆ ลุกสิ ไหวหรือเปล่า”คินว่า

“ฉันเป็นลมไปเหรอ”แคลร์มองซ้ายขวา ก่อนหยุดสายตาลงที่เพื่อนร่วมห้อง

“ใช่ ดีขึ้นหรือยัง”

“โอเคแล้ว ขอบใจ”ร่างเพรียวยืนขึ้น คว้ากระเป๋าจาคอปบางเฉียบที่ตกอยู่ไม่ไกลจากตัวขึ้นถือ

“จะกลับแล้วเหรอ” เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าคินก็ถามต่อ “กลับยังไง”

“บีทีเอส”

ทั้งสองเงียบไปครู่หนึ่ง คินลังเลว่าควรจะทำยังไง ทว่าเธอก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน “ไปส่งหน่อย”

“พี่คิน ไปแล้วเหรอ” นัทมองด้วยสายตาเหมือนจะชวนให้อยู่ต่อเมื่อเห็นคินคว้าสัมภาระที่วางอยู่ไม่ไกลขึ้นถือ พอเขาย้อนถามว่าจะกลับกี่โมง เธอจึงตอบ “ไม่รู้ดิ คงเรื่อย ๆ แหละ พี่คินจะกลับมาเหรอ”

“ขอเบอร์หน่อยได้ไหม”คนเป็นรุ่นพี่ยื่นสมาร์ทโฟนของตัวเองให้ เขาไม่มั่นใจว่าตัวเองควรย้อนกลับมาอีกไหม ในเมื่อตอนนี้ก็เป็นเวลาเย็นพอควรแล้ว คนที่ไม่มีกิจกรรมอะไรเป็นพิเศษก็กลับบ้านกันเกือบหมดแล้ว

“เขินจัง ขอเบอร์นัทด้วย”มือกลองสาวยิ้มกว้างพลางกดเบอร์โทรศัพท์ให้ แต่ดูจากสีหน้าก็รู้ว่าไม่ได้คิดอะไรอย่างที่พูดแม้แต่น้อย แคลร์นิ่งมองทั้งสองด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

ทั้งสองเดินแยกออกมาโดยไม่ได้พูดอะไรกัน คินรู้สึกประหลาดเล็กน้อยกับความเงียบที่รายล้อมกาย แต่ก็ไม่ได้อึดอัดอะไร ลองมองใบหน้างามจากด้านข้าง มันยังคงซีดเซียวต่างจากยามปกติ

มือกีตาร์หนุ่มยื่นมือออกไป “ฉันถือให้ดีกว่า”

แคลร์หันมามองด้วยสายตาประหลาดใจ ก่อนส่งจาคอปในมือให้ ปลายนิ้วสัมผัสกันแผ่วเบา มือของเธอยังเย็นเฉียบ “ขอบใจนะ”

กระเป๋าที่รับมาแทบไม่มีน้ำหนักจนคินสงสัยว่าข้างในใส่หนังสือไว้กี่เล่ม พวกเขากลับมาตกอยู่ในความเงียบอีกหลายก้าว ได้ยินเพียงเสียงพูดคุยจากกลุ่มคนที่เดินนำหน้าไม่ก็ข้างหลัง บนทางเท้าขนาดไม่กว้างนัก ก่อนแคลร์จะเอ่ยขึ้น

“รุ่นน้องเมื่อกี้นี่ใครเหรอ”

“คนในวง” คินเลิกคิ้ว ไม่คิดว่าเธอจะสนใจเกี่ยวกับพวกนัท

“นายชอบเหรอ” ใบหน้างามหันมาสบด้วย ยังคงดูนิ่งอย่างที่มักจะเป็นเสมอ

“หา” มือกีตาร์หนุ่มชะงักไปกว่าสมองจะแปลความหมายได้ “เพิ่งรู้จักไม่กี่วันเอง ทำไมถึงคิดงั้นล่ะ”

“ก็เห็นขอเบอร์ด้วย ปกติแล้วถ้าเดินออกจากโรงเรียนมาแล้วก็ไม่น่ากลับไปแล้ว ถ้าไม่คิดอะไรก็ไม่น่ากลับไปนี่”

“กลับไปซ้อม ใกล้วันออดิชั่นแล้ว”

“แล้วนายก็เดินมาส่งฉัน?” นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย

“เธอเพิ่งเป็นลมไป กลับคนเดียวอันตราย”

ทั้งสองไม่มีคำพูดใดอีกครั้ง ระยะทางลดน้อยลงไปทุกที จนกระทั่งหยุดอยู่หน้าทางเข้าชานชาลาที่ต้องแตะบัตรจึงจะผ่านไปได้ แคลร์ยื่นมือเตรียมรับกระเป๋าคืน แต่เมื่อเด็กหนุ่มเห็นคนจำนวนมากที่รายล้อมกาย เขาคิดว่ายอมเสียเงินสิบห้าบาทขึ้นไปส่งอีกฝ่ายถึงหน้ารถไฟฟ้าคงดีกว่า

“นายนี่นิสัยดีเนอะ”แคลร์เปรยขึ้น

“ไม่ว่าใครก็ต้องทำแบบนี้ไม่ใช่เหรอ” คินยื่นกระเป๋าให้ เมื่อได้ยินเสียงรถไฟฟ้าใกล้เข้ามา ก่อนพาหนะที่ว่าจะปรากฏขึ้นที่ปลายสายตา

“มีไม่กี่คนหรอก” แคลร์รับกระเป๋าพร้อมส่งยิ้มให้ เป็นรอยยิ้มงดงามแบบที่เขาไม่เคยเห็นเธอยิ้มแบบนี้มาก่อน “ขอบใจนะ”

ร่างเพรียวเดินเข้าบีทีเอสไป คินหลบให้ฝูงชนที่ทั้งกรูกันออกมาจากโบกี้ และคนที่จะเข้าสู่ภายใน คินมองเห็นแคลร์อย่างเลือนราง ท่ามกลางผู้คนที่เดินผ่านไปมา บนใบหน้าของเธอยังคงมีรอยยิ้ม

ฝูงชนอัดกันในขบวนรถจนแน่น ภาพเธอกลืนหายไปในคนหมู่มาก รอบกายเขามีเพียงความว่างเปล่า เหลือเพียงไม่กี่คนที่เข้ารถไฟฟ้าขบวนนี้ไม่ทัน ตอนนี้เย็นแล้วก็จริง แต่ยังไม่ถึงเวลาที่คนจะเยอะเป็นแถวยาวขนาดที่รถไฟฟ้าสองขบวนยังรับคนทั้งหมดไม่ได้

ประตูรถไฟฟ้าเลื่อนปิดลง พาหนะคันยาวแล่นออกไป คินเหม่อมองผ่านบานหน้าต่างที่มองเห็นได้ไม่ชัดเจนเพราะนอกจากจะติดฟิล์มหนาแล้ว ยังมีบานกระจกกั้นขวางระหว่างชานชาลากับขบวนรถ หัวใจของคินเต้นผิดจังหวะ จู่ ๆ ก็บีบตัวอย่างรุนแรงจนเหมือนถูกบางสิ่งอัดกระแทก

เขาสบตาเข้ากับใครคนหนึ่งบนรถ ใบหน้าที่คุ้นเคย คนสำคัญที่ไม่ได้พบกันมานานแล้ว

รถยังคงแล่นไกลออกไป ใครคนนั้นหันกลับมามองเต็มตัว ขณะที่คินเผลอเดินตามจนกลายเป็นวิ่ง เขารู้สึกตัวเมื่อชนเข้ากับคนแปลกหน้า เด็กหนุ่มก้มตัวขอโทษอีกฝ่าย เมื่อคู่กรณีจากไป รถไฟฟ้าก็หายลับไปจากสายตาแล้ว

หัวใจของเขายังคงบีบตัวอย่างหนัก

แม้จะมองได้ไม่ชัดเจนผ่านกระจกหนา แต่อีกฝ่ายเป็นคนสำคัญขนาดที่ว่า ไม่ว่าเห็นจากมุมไหน เขาก็จะจำได้ทันที

และตอนนั้นเธอก็หันกลับมามองด้วยจริง ๆ เขามั่นใจว่าไม่ผิดไป ตอนนั้นพวกเขาสบตากันจริง ๆ

ในหัวของคินพลันรู้สึกว่างเปล่า สองขากลับไร้เรี่ยวแรง เหมือนถูกดึงให้จมลึกลงไปในความทรงจำ เขาลืมไปว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหนและกำลังจะไปที่ไหน

ความรู้สึกเหมือนตอนที่เขาอยู่ข้างเธอ บนรถไฟฟ้าที่ไม่ค่อยมีใครมากนัก บางครั้งระหว่างทั้งคู่ ไม่มีถ้อยคำสนทนาใด แต่ความเงียบนั้นกลับโอบกอดเขาไว้อย่างอ่อนโยน คินไม่อาจละสายตาจากเธอได้ เพียงประโยคที่ไม่ได้มีความหมายใดสำคัญ กับน้ำเสียงเล็ก ๆ หรือกระทั่งสัมผัสแผ่วเบาของลมหายใจบนต้นแขน กลับเป็นสิ่งมีค่าเกินกว่าสิ่งใด

อย่างกับว่าเวลาถูกหยุดไว้ ราวกับว่าเธอจะอยู่ข้างกายเขาแบบนั้นตลอดไป เหมือนเขามองไม่เห็นสิ่งใดอีกนอกจากเธอ เป็นโลกที่มีเพียงพวกเขาเท่านั้น รถไฟฟ้าแล่นไปสุดปลายทาง เสมือนเป็นดินแดนสุดขอบโลกที่ไม่มีใครมาถึง

ท้ายที่สุดเธอก็จากไป ในทุกครั้ง แม้จะรู้ว่าเดี๋ยวก็ได้เจอกันอีก ทว่าโลกของคินที่มีเพียงเธอคนเดียวในตอนนั้นพลันว่างเปล่า เขาได้แต่มองแผ่นหลังเล็ก ๆ จากไปจนสุดสายตา บางครั้งเธอหันกลับมาเพื่อบอกให้เขาเดินไปจากที่นั่นเสียที

เมื่อแยกจากเธอแล้ว คินนั่งรถไฟฟ้ากลับหอตัวเองด้วยความรู้สึกว่างเปล่า ไม่ก็กลับไปหาเพื่อนสักคนหรือนั่งตามร้านกาแฟ ทั้งที่ในเวลาแบบนั้นควรจะอ่านหนังสือ ทว่าเขาไม่อาจทำได้ ทำได้เพียงจมอยู่กับความทรงจำที่เพิ่งเลยผ่าน เสียงของเธอ ความอบอุ่นของเธอ กับความสัมพันธ์ที่ดูเปราะบาง เฝ้ารอเวลาให้ได้พบกันอีกครั้ง

โลกของเขาในตอนนั้นเป็นแบบนั้น


เสียงรถไฟฟ้าขบวนถัดมาและผู้คนที่กลับมาสู่ความวุ่นวายอีกครั้ง ปลุกเด็กหนุ่มให้ได้สติ

หากกลับหอตอนนี้เขาก็ไม่ต้องเสียสิบห้าบาที่เข้ามาสู่ชานชาลาไปฟรี ๆ อย่าว่าแต่ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว กว่าจะกลับไปถึงโรงเรียนก็คงไม่ได้ซ้อมเท่าไหร่ ท้องฟ้าสีส้มแดงเบื้องหน้าราวกับจะย้ำเตือนความจริงข้อนั้น

แต่ว่า...

คินหยิบโทรศัพท์โทรหานัท เธอตอบว่าคงยังอยู่โรงเรียนอีกสักพัก มือกีตาร์หนุ่มจึงรีบก้าวเท้าเร็ว ๆ จนแทบกลายเป็นวิ่งเพื่อกลับไป

คินคิดถึงเพลงของเขากับอัญในวันนั้นที่หลังจากนั้นก็ไม่เคยกลับไปประสานกันได้อีกเลย เขาไม่รู้ว่ามันเกิดจากอะไร แต่คินเชื่อว่าเขาควรจะใช้เวลาอยู่กับคนในวงให้มากที่สุด เผื่อว่าความคุ้นเคยจะทำให้ท่วงทำนองของพวกเขาเข้ากันได้

ผูกมิตร ทำให้เชื่อใจ หรือไม่ก็ทำให้รัก

คำตอบของซันเมื่อคินถามถึงวิธีในการได้ชิ้นส่วนจิตวิญญาณมา ย้อนกลับมาในหัว

ความรู้สึกของเขายังคงคลุมเครือ การทำทุกสิ่งเหมือนเป็นเพียงหน้าที่ แต่คินก็รู้สึกตัว ท่ามกลางสิ่งเหล่านั้น เขากลับมามีความรู้สึกเล็ก ๆ อาจเป็นเพียงวูบเดียวแล้วจางไปเหมือนเปลวธูป แต่ความรู้สึกนั้นก็เกิดขึ้นจริง ทั้งความสนุกตอนอยู่กับวง ความไม่สบายใจยามเห็นพวกอัญใส่ใจกับวงอื่นอย่างมาก ความชื่นชมต่อรอยยิ้มของแคลร์ หรือความหวั่นไหวเมื่อเพียงสบตากับใครบางคนที่อาจเป็นคนสำคัญคนนั้น นั่นอาจเป็นเพราะเขาอยู่ใกล้อัญที่มีชิ้นส่วนที่ขาดไปก็ได้

ทว่าสิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้ก็มีเพียงกลับไปอยู่ข้างพวกนัท หากต้องการมิตรภาพหรือความเชื่อใจ เขาก็คงต้องมอบให้อีกฝ่ายก่อน จึงจะได้รับกลับมา ส่วนการจะทำให้บทเพลงของพวกเขากลับมารวมเป็นหนึ่ง หรือทำให้ท่วงทำนองของเขามีความพิเศษต่ออีกฝ่ายมากกว่าใครทั้งหมด...

ก็มีแต่ต้องพยายามให้มากขึ้นเท่านั้น

ร่างสูงออกแรงวิ่งมากขึ้นโดยไม่สนสายตาใคร

คินไม่อาจย้อนกลับไปสู่อดีต และไม่อาจรู้ว่าสิ่งสำคัญในอนาคตคืออะไร แต่ตอนนี้มีสิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจ คือความตั้งใจที่จะอยู่กับ d’artifice  ร่วมสร้างบทเพลงด้วยกันให้ถึงที่สุด คินอยากรู้จักพวกนั้นให้มากขึ้น ต่อให้ไม่อาจเอาท่วงทำนองสมบูรณ์แบบกลับคืนมา แต่เขาก็อยากอยู่ข้าง ๆ อัญ แม้ว่าเขาจะไม่มีทางคว้าชิ้นส่วนที่หายไปนั้นได้เลย


#โปรดติดตามตอนต่อไป