บทที่ 7

ยามเมื่อผลักประตูกระจกที่ดูแปลกไปเล็กน้อย แต่ก็มั่นใจที่จะก้าวเข้ามาเพียงเพราะได้รับคำยืนยันจากคนข้างกาย มนัสสูดลมหายใจเข้าลึกคล้ายได้กลิ่นแปลกใหม่ และจริงดังนั้น ชายหนุ่มรู้สึกไม่คุ้นที่คุ้นทางอย่างไรชอบกล หากไม่ติดว่ามีเสียงเพลง R&B ดังเข้าหู มนัสคงคิดว่าคนข้างๆ ต้องกลั่นแกล้งเขาเป็นแน่

“อ้าวนัท มาแล้วหรือ?”

เสียงทุ้มของใครคนหนึ่งดังขึ้น กะจากระยะทางแล้วก็ไม่น่าจะไกลกันเท่าไร ทั้งฟังจากเสียงก็น่าจะอยู่ตรงเบื้องหน้าเขาไม่บิดเบ้นัก เช่นนั้นมนัสจึงค่อยๆ ก้าวเดินอย่างระมัดระวัง ยื่นมือไปทางเบื้องหน้าเผื่อมีสิ่งกีดขวาง จนกระทั่งปลายนิ้วแตะลงกับบางสิ่งที่คาดว่าน่าจะเป็นผนังอิฐ ชายหนุ่มจึงค่อยๆ เคลื่อนมือขึ้นสู่ด้านบนจนเป็นพื้นที่โล่งว่าง ลองวางมือลงก็พบว่าเป็นพื้นผิวคล้ายปูนฉาบไว้เท่านั้น

“นี่...เปลี่ยนแปลงร้านขนาดนี้เลยหรือครับเนี่ย?”

ไม่ใช่คำทักทายตามมารยาท แต่เป็นคำถามที่เกิดขึ้นจากความไม่มั่นใจเท่าไรนัก เมื่อแรกย่างก้าวเข้ามาด้านใน ตามปกติแล้วจะมีกลิ่นหอมเจือจางของทั้งเครื่องดื่มร้อนๆ กับกลิ่นขนมอย่างที่เคยเป็น แต่ตอนนี้กลับมีกลิ่นเย็นๆ ชื้นๆ นิดหน่อยให้รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลง และหากจะให้มนัสเดาแล้วล่ะก็ ที่ที่มือเขาวางลงในตอนนี้ก็คงจะเป็นเคาน์เตอร์กระมัง

“ปิดร้านขาดรายได้ไปตั้งนาน ถ้าเปลี่ยนแค่เล็กๆ น้อยๆ ก็คงไม่คุ้มค่าล่ะมั้ง”

มนัสยกยิ้มให้คำตอบนั้น ดวงตาที่แม้จะมองไม่เห็น หากก็คล้ายจะเปิดประกายของความตื่นเต้นระคนค้นคว้าฉายอยู่ในนั้น ก่อนที่คำทักทายจริงจะดังขึ้น พร้อมกับมือที่ยกขึ้นไหว้โดยอัตโนมัติ “สวัสดีครับ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับพี่”

“สวัสดีครับมนัส ไม่ได้เจอกันนานมากจริงๆ ด้วยสินะครับ”

“โถ่ ถึงผมจะพูดสุภาพยังไง แต่พี่ก็ไม่ต้องตอบผมกลับสุภาพอย่างนี้ก็ได้มั้งครับ”

เหมือนจะบ่นไม่จริงจังเท่าไรนัก ทว่าใบหน้านั้นกลับชัดเจนว่าไม่ปรารถนาจะได้ยินคำสุภาพจากอีกฝ่าย ในตอนนั้นเองที่มนัสรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวของคนข้างๆ จึงทำให้รับรู้ว่าตนหลงลืมคนเคียงข้างไป มนัสเคลื่อนมือที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ไปแตะแขน เอ่ยแนะนำให้ชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ได้หันมอง

“คนนี้เป็นเพื่อนบ้านของผมครับ”

“สวัสดีครับ ชเยศครับ”

ชายหนุ่มที่อยู่ในชุดเชิ้ตขาวกางเกงสแล็กดำและมีเสื้อคลุมสีดำปิดทับด้านหน้าผงกศีรษะพลางยกยิ้ม แม้จะแปลกใจอยู่สักหน่อยกับท่าทีและสายตาที่คล้ายจะมองแต่ริมฝีปากของมนัส อันที่จริงเขาสังเกตเห็นมาตั้งแต่ที่มนัสเข้ามาในร้านแล้ว แม้จะคงรักษามารยาทไว้ด้วยการไม่เอ่ยปากขัดบทสนทนาของเขากับอีกคน กระนั้นดวงตาคู่คมนั่นกลับมองทั้งกลีบปากของเขาและมนัสไม่ให้คลาด

นั่นดูเหมือนจะเสียมารยาทอยู่สักหน่อยนะ แต่บางทีก็อาจจะมีเหตุผลใช่ไหมล่ะ?

“มุ่นครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

ชเยศไม่ได้เข้าใจในทันทีว่าชื่อที่แนะนำคืออะไร แต่เขาก็ยังคงแสดงท่าทีนิ่งเฉยไว้พร้อมกับยกยิ้มบางๆ เพื่อแสดงออกถึงมิตรไมตรี จากนั้นมนัสจึงค่อยหันมาบอกเล่าคร่าวๆ ด้วยรู้ว่าชเยศที่ยืนยันจะติดสอยห้อยตามเขามาที่ทำงานคงจะสงสัยไม่น้อย

ที่ที่ทั้งสองคนรวมถึงมุ่นยืนอยู่ในขณะนี้คือร้านกาแฟเล็กๆ ที่มีมุ่นเป็นเจ้าของ อาจจะด้วยเพราะระยะเวลาที่ปิดร้านเพื่อปรับปรุงนั้นพอๆ กับช่วงที่ชเยศย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่พอดี ชายหนุ่มจึงอาจจะไม่เคยเห็นหรือสังเกตร้านกาแฟแห่งนี้ก็เป็นได้ ระหว่างที่อ่านปากถึงคำบอกเล่านั้น ชเยศก็ส่งเสียงตอบกลับให้มนัสได้รู้ว่าเขากำลังตั้งใจฟัง นัยน์ตาคู่คมจับจ้องกลีบปากอิ่มเอิบไม่ให้คลาด โดยหารู้ไม่ว่าการกระทำเช่นนั้นอยู่ในสายตาของมุ่นตลอดเวลาเช่นเดียวกัน

“แล้ว...คุณทำหน้าที่อะไรในร้านหรือครับ?”

มนัสยกยิ้มแล้วตอบอย่างภาคภูมิใจ “ผมเป็นบาริสต้าของที่นี่ครับ”

“ตอนแรกผมก็ให้เค้าดูแลเรื่องความสะอาดหลังร้าน ล้างจานล้างแก้วไปก่อนประกอบกับดูท่าทีไปด้วย” มุ่นเอ่ยขึ้นบ้าง แต่เป็นเพราะชเยศที่มัวแต่สนใจอ่านริมฝีปากของมนัสจึงไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิด ดวงตาเรียวคมหรี่มอง เว้นช่วงระยะไว้ให้มนัสได้ตอบกลับบ้าง

“ใช่แล้วล่ะ บอกแล้วก็ไม่เชื่อกันว่าชงเครื่องดื่มได้ๆ ให้ไปล้างจานตั้งนานสองนาน”

ชเยศอ่านปากนั้นแล้วก็ให้ได้รู้ว่าน่าจะเป็นการต่อบทสนทนากับอีกคนมากกว่า ดังนั้นแล้วชายหนุ่มจึงหันไปมองมุ่นที่ก้มหน้าก้มตาขีดเขียน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วยกยิ้มให้ชเยศเล็กน้อย หันไปเอ่ยบอกมนัสว่าให้เตรียมตัวได้แล้ว ในส่วนของทางเดินไปหลังร้านที่มีห้องพักพนักงานเขายังคงไว้ซึ่งโครงสร้างเดิม ส่วนหนึ่งก็เพื่อลดทอนการเรียนรู้ใหม่ของมนัสในเส้นทางภายในร้านนั่นล่ะ

จนเมื่อมนัสที่หันมาบอกให้ชเยศยืนรออยู่ตรงนี้หรือจะกลับไปก่อนก็ได้แล้วเดินเข้าไปทางด้านหลัง ตอนนั้นเองที่มุ่นยื่นแผ่นกระดาษที่ตนเขียนไว้ให้ชายหนุ่มเพื่อนบ้านของลูกจ้างคนพิเศษ

ตัวอักษรที่เรียงอยู่บนนั้นทำให้ชเยศย่นคิ้วเข้าหากัน

...ขอโทษนะครับ แต่คุณไม่ได้ยินใช่ไหม?...

“ทราบได้ยังไงหรือครับ?”

“ผมเดาไม่ผิดใช่รึเปล่าครับ?”

มุ่นถามกลับในทันที ปฏิกิริยาของชเยศหลังจากนั้นคือการยืนนิ่งไม่ตอบรับคำใด กินเวลาระยะหนึ่งนั่นแหละกว่าจะพยักหน้ารับพลางจับจ้องมองเขา มุ่นยังคงยกยิ้มจางๆ เหมือนเช่นเคย แล้วจึงเฉลยให้ชเยศคลายความสงสัยลง “ความจริงน้องสาวผมคนหนึ่งก็เหมือนคุณ เธอ...”

“ขอโทษครับ ถ้าคุณพูดด้วยเสียงปกติอยู่ ช่วยลดเสียงลงด้วยจะได้ไหมครับ?”

“ครับ?”

ชเยศคล้ายกังวลใจปะปนกับระแวดระวัง ดวงตาของเขามองไปทางด้านหลังเพื่อให้แน่ใจว่าอีกคนจะยังไม่ออกมาแล้วจึงค่อยเอ่ยบอก “พอดี...คุณนัทไม่ทราบครับว่าผมไม่ได้ยิน”

มิน่าล่ะ...

มุ่นพอจะมองออกว่ามนัสยังคงพูดด้วยความเร็วปกติราวกับคนที่ยืนอยู่ข้างกันฟังเสียงออก ไม่แปลกเลยที่ชเยศจะมีทีท่ามึนงงชั่วขณะในบางหน หากก็ไม่เคยคิดจะขัดคำพูดของมนัสแต่อย่างไร แม้จะดูเหมือนต้องใช้เวลาอยู่สักหน่อยในการอ่านคำ แต่ก็ถือว่ามีทักษะมากพอสมควร

“น้องสาวผมเธอไม่ได้ยินเสียงครับ เป็นเพราะอุบัติเหตุ ช่วงหนึ่งเธอก็ใช้วิธีสื่อสารกับคนอื่นด้วยการอ่านปากเหมือนกัน แต่หลังจากนั้นก็กลับมาสื่อสารปกติได้เพราะใช้หูฟัง”

ชเยศพยักหน้ารับ นึกขอบคุณที่มุ่นเข้าใจจึงได้ค่อยๆ พูดไม่เร็วรี่นัก เพราะเช่นนั้นแล้วถ้อยคำทุกประโยคจึงทำให้ชายหนุ่มเข้าใจได้โดยง่าย หากมีสิ่งหนึ่งที่เขายังคงสงสัย เขาสงสัยในชื่อของมุ่นเล็กน้อย และเจ้าของร้านกาแฟนี้ก็ใจดีกับเขาเป็นอย่างมาก เพราะทันทีที่เขาเอ่ยบอกด้วยเสียงที่เกือบเป็นกระซิบเพราะกะระดับเสียงตัวเองไม่ได้ ชายหนุ่มก็ก้มหน้าลงเขียนชื่อตัวเองส่งให้ชเยศได้อ่านในทันที

“ขอโทษนะครับ...”

“ไม่เป็นไรครับ อันที่จริง...ผมคิดว่าแค่คุณอ่านปากได้มากขนาดนี้ ก็ถือว่าเก่งมากแล้วนะครับ”

ทั้งที่มันเป็นคำชม หากชเยศกลับไม่ได้รู้สึกยินดีเท่าไรนัก มันจริงที่ว่าเขาไม่ใคร่จะปรารถนาให้ใครรู้ว่าเขาเป็นเช่นไร แต่ในบางกรณีที่จำต้องบอกให้อีกฝ่ายได้รับรู้ เขาก็ไม่ได้ต้องการให้อีกฝ่ายเอ่ยปากชมหรือแสดงอารมณ์ความรู้สึกใดที่เกี่ยวข้องกับเขา

เช่นนั้นแล้วหลังจากที่มุ่นพูดจบ ทั้งสองคนจึงไม่มีบทสนทนาใดต่อกันหลังจากนั้น ชเยศยืนอิงกรอบเคาน์เตอร์ปูนที่ด้านหน้าโปะด้วยก้อนอิฐสีน้ำตาลเป็นช่องห่างกันอย่างเป็นระเบียบ รอคอยให้คนที่เขาติดตามเตรียมตัวทำงานจนกระทั่งเดินออกมา เมื่อนั้นชเยศจึงถือว่าหน้าที่ในการมาส่งอีกคนเสร็จสิ้น

อันที่จริงหากว่าเขายังไม่เริ่มรับงานและมีงานรอให้กลับไปทำล่ะก็...บางทีเขาอาจจะนั่งรอจนกว่ามนัสจะเลิกงานก็ได้กระมัง

“ผมกลับแล้วนะครับ”

“ครับ”

มนัสตอบรับเพียงเท่านั้น ไม่ได้เอ่ยรั้ง และก็ไม่ได้อวยพรให้เดินทางโดยปลอดภัย แต่นั่นก็ดีมากแล้วสำหรับชเยศ เขาเพียงอยากให้มนัสตอบรับเล็กๆ น้อยๆ ก็พอ กระนั้นชายหนุ่มก็ยังเอ่ยถามว่าเลิกงานเวลากี่โมง หากว่าไม่ติดอะไรจะได้มารับมนัสกลับ แต่คำตอบที่ได้รับก็ทำให้เขาอดจะอมยิ้มไม่ได้

เพราะมนัส ไม่ว่าจะอยู่นอกบ้านหรือในบ้าน ล้วนไม่เคยเปลี่ยนแปลง

“ไม่ต้องมารับหรอกครับ ผมดูแลตัวเองได้ แล้วก็อีกอย่าง อีกแปบนึงคุณแม่คงจะพาลัคกี้มาส่งที่นี่ เพราะงั้นคุณไม่ต้องมารับผมก็ได้”

การที่เปิดรับชเยศให้เข้ามาในชีวิตและคอยดูแลเดินเคียงข้าง ไม่ได้หมายความว่ามนัสจะฝากชีวิตความเป็นอยู่ไว้กับคนๆ นี้ เขายังมีระยะห่างกางกั้นไม่ให้ชเยศทำตามอำเภอใจ และชายหนุ่มก็รู้สึกดีมากจริงๆ ที่ชเยศไม่ดื้อรั้นเหมือนช่วงอาทิตย์แรกที่พบเจอกัน

เพราะอย่างนั้นแล้วเมื่อปฏิเสธออกไปพร้อมเหตุผล ชเยศจึงนิ่งคิดไปครู่สั้นๆ แล้วตอบรับว่าเอาตามนั้น ก่อนจะหันไปบอกลามุ่นที่ยืนมองคนสองคนคุยกัน แล้วจึงค่อยออกจากร้านไปในที่สุด

“ดูเป็นคนดีนะ?”

“หือ?” มนัสชะงักไปชั่วครู่เมื่อได้ยินคำนั้นจากเจ้าของร้าน ก่อนจะได้อมยิ้มแล้วตอบรับชัดถ้อยชัดคำดี “ถึงจะน่ารำคาญไปบ้าง...แต่ผมก็คิดว่าเขาเป็นคนดีจริงๆ นั่นแหละครับ”

หากไม่ทันที่มุ่นจะได้ว่าอะไรหลังจากนั้น ลูกค้ารายแรกรับการเปิดร้านใหม่ก็เดินเข้ามาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ลูกค้าเก่าแก่ที่มักเข้ามาซึมซับกลิ่นอายหอมกรุ่นของกาแฟฝีมือคุณบาริสต้ามนัส ทำให้การเริ่มต้นใหม่อีกครั้งดูจะเป็นไปได้ด้วยดีและสุขใจกันทุกฝ่าย

“ค่อยๆ ทำล่ะ ถึงตำแหน่งการทำจะเปลี่ยนไปบ้าง แต่พวกของทั้งหมดพี่ก็วางไว้แบบเดิมนั่นแหละนะ”

มุ่นว่าอย่างนั้นก่อนจะหันไปเช็คกระป๋องชาที่วางเรียงบนเคาน์เตอร์ ปล่อยให้มนัสได้ทำตามหน้าที่ของตัวเองโดยไม่หันกลับไปมองอีก ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะความไว้วางใจด้วยกระมัง มนัสแม้จะมองไม่เห็นแต่ก็ใช่ว่าจะไม่คล่องแคล่ว ประสาทสัมผัสและการรับรู้ ยิ่งบวกกับความเคยชินแต่เดิมจึงทำให้ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี ถึงจะกังวลนิดหน่อยตอนที่จัดร้านใหม่ว่ามนัสจะเรียนรู้ทิศทางได้ไวหรือไม่ แต่จากเท่าที่ดูก่อนเริ่มงานเมื่อครู่แล้ว…

สำหรับมนัส คงไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้ในความสามารถนั้นจริงๆ

*

“เป็นไง อึ้งไปเลยไหม งานของไอ้นัทน่ะ”

ทันทีที่ก้าวเท้าเหยียบพื้นบ้าน สิ่งแรกที่ชญาภาทำคือการถามที่คล้ายจะเย้าน้องชายตัวเองหน่อยๆ ชเยศหัวเราะเหอะแล้วแค่นยิ้ม เดินตรงเข้าไปหาอีกคนที่นั่งดูรายการเพลงอย่างสบายใจแล้วทิ้งกายลงนั่ง ตอบกลับด้วยถ้อยคำที่แสบสันไม่น้อยสำหรับชญาภา

“พี่นี่...ไม่รู้สักเรื่องจะร้อนไหม?”

“หนอย ไอ้เจ้านี่ ฉันเป็นพี่แกนะ!”

“ครับๆ ผมรู้แล้ว”

ยียวนนัก ชญาภาไม่เห็นเลยว่าน้องชายของเธอจะสุขุมนุ่มลึกเหมือนที่ทางบ้านของน้องชายเคยบอกไว้ตรงไหน การปรับตัวเข้ากับความเป็นอยู่ของที่นี่นั่นน่ะถือว่าเป็นไปได้ด้วยดีทีเดียว แต่เธอก็ไม่คิดว่านั่นจะรวมไปถึงการพูดจายอกย้อนของน้องชายแบบนี้

ให้ตายเถอะ ถ้าไม่ติดว่าเจ้าหมอนี่หูไม่ได้ยินนะ แม่จะเอ็ดตะโรเสียงดังให้มันแสบแก้วหูจนชาไปเลย!

“เชน ที่บ้านโทรมาถามว่าเป็นยังไงบ้าง”

ชเยศอ่านปากชญาภาชัดทุกคำ กระนั้นก็ยังทำเป็นไม่รู้เรื่องด้วยการเสสายตามองไปยังหน้าจอโทรทัศน์ที่มีศิลปินฝั่งตะวันตกปรากฏอยู่บนนั้น ศีรษะของเขาโคลงไปโคลงมาเป็นจังหวะราวกับได้ยินทุกถ้อยดนตรีที่เรียงร้อย หากความจริงแล้วชเยศก็เพียงแค่นึกจินตนาการถึงเพลงที่ชอบฟังในอดีตเท่านั้นเอง

ส่วนหนึ่งก็เพื่อดึงความสนใจให้ออกห่างจากคำบอกกล่าวของพี่สาวนั่นล่ะ

ชญาภาเองก็จนปัญญาเหมือนกัน เธอระบายลมหายใจพลางคิดว่าจะสรรหาคำใดไปอธิบายกับครอบครัวของชเยศดี โดยเฉพาะผู้เป็นมารดาที่มักจะโทรหาอยู่บ่อยครั้งเพื่อไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบของลูกชายเธอ ในกระแสเสียงยามเมื่อส่งผ่านสายมานั้น ชญาภารู้ดีว่าเธอเป็นห่วงมากเพียงใด เพราะเจ้าน้องชายตัวดีนี่ที่ไม่ยอมติดต่อทางใดสักทางกับที่บ้าน ทั้งๆ ที่ก่อนเดินทางมาที่นี่ได้สัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะไว้แล้วแท้ๆ ว่าจะส่งข้อความไปหาอยู่เรื่อยๆ

ทว่าจังหวะหนึ่งที่กำลังเหนื่อยหน่ายกับนิสัยของน้องชาย ชญาภาก็นึกบางอย่างได้

มือเรียวสวยเอื้อมแตะแขนชเยศเรียกความสนใจ ให้ใบหน้าคมคายหันมามองทั้งเลิกคิ้วเป็นคำถาม ชญาภาเม้มกลีบปากให้ได้รู้ว่าเรื่องที่เธอกำลังพูดคงจะจริงจังไม่น้อยเลย เช่นนั้นแล้วชเยศจึงขยับตัวหันเข้าหาพี่สาวแล้วจดจ้องที่กลีบปากอย่างรอคอย

จนที่สุดแล้ว...

“เรื่องหูฟังน่ะ--- อะ...เชน...ช..ชเยศ!”

เพียงแค่เริ่มต้น น้องชายของเธอก็หยัดกายขึ้นยืนแทบจะในทันที สองเท้าก้าวเดินตรงไปยังประตูห้องนอน เปิดออกแล้วพาตัวเข้าไปด้านในคล้ายไม่รู้ไม่เห็นสิ่งที่ชญาภากำลังพูด และถึงแม้ว่าชเยศจะไม่ได้ยินก็ตามที แต่ชญาภาก็ยังระอาจนต้องแผดเสียงร้องเรียกอย่างหงุดหงิดใจนั่นแหละ

ให้ตายเถอะ บางทีชญาภาก็คิดว่าน้องชายของเธอปิดกั้นมากเกินไป แต่จะทำยังไงได้เล่า ในเมื่อน้องชายคนนี้น่ะ...ไม่เคยบอกเล่าความรู้สึกเบื้องลึกให้เธอได้รับรู้เลยนี่นา

และไม่น่าเชื่อเลยว่า เพียงแค่คำว่าหูฟังที่หลุดมาจากปากของเธอ จะทำให้ดวงตาคู่สวยมองเห็นสีหน้าที่เรียบเฉยหากก็ติดจะเย็นชาจากใบหน้าคมคายของน้องชาย

To be continued