บทที่ 13

กรุ่นกลิ่นหอมของกาแฟลอยละล่องมาตามกระแสลมยามเมื่อชายหนุ่มก้าวเดินเข้าใกล้จุดหมายทุกขณะ

นัยน์ตาคู่คมทอดมองเข้าไปในตัวบ้านของมนัส มองเห็นเจ้าตัวนั่งอย่างเงียบเชียบอยู่ที่ชานบ้าน ที่มือขวาหิ้วหูแก้วกาแฟเอาไว้ ส่วนมือซ้ายก็กำลังลูบไล้กลุ่มขนของลัคกี้ที่นอนซบตักอย่างออดอ้อน มุมปากอิ่มยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ และแม้มนัสจะไม่ได้ขยับปากเอ่ยถ้อยความใด แต่จากอิริยาบถในตอนนี้ก็ทำให้รู้ว่าผ่อนคลายมากแค่ไหน

ทว่าอากัปกิริยาระแวดระวังก็เกิดขึ้นหลังจากที่ลัคกี้ได้กลิ่นของเขาแล้วขยับตัวลุกขึ้น มันอาจจะเห่าดังมากพอให้มนัสที่นั่งเงียบสะดุ้ง วางแก้วกาแฟลงเมื่อลัคกี้กระโดดลงจากชานบ้านแล้ววิ่งมาที่กำแพงรั้ว มันกระโดดขึ้นเกาะกำแพงก่อนใช้ลิ้นเลียมือของชเยศที่ยื่นไปหา

“ลัคกี้?”

มนัสลองเรียก และนั่นจึงทำให้สุนัขแสนรู้วิ่งกลับไปหาเจ้านายของมัน มันกระโดดวนรอบตัวมนัสด้วยอาการดีใจ เสียงหอบแฮ่กและหางใหญ่ที่สะบัดกระทบตัวเขาทำให้มนัสรู้ได้ ดังนั้นแล้วชายหนุ่มจึงคลายยิ้ม หัวเราะแล้วบอกให้ลัคกี้ใจเย็น

“ใจเย็นนะลัคกี้...แม่กลับมาแล้วหรือครับ? ทำไมผมไม่ได้ยินเสียงรถเลย”

ชเยศเม้มกลีบปากเมื่ออ่านปากเป็นคำถามนั้น เขานิ่งไปอีกครู่หนึ่งโดยไม่เอ่ยอะไร ก่อนจะตัดสินใจเดินไปยังประตูรั้วแล้วเปิดออก ท่าทีของเขาเก้ๆ กังๆ ไปบ้างเมื่อเห็นมนัสยืนนิ่งเพื่อรอคอยคำตอบ ริมฝีปากอิ่มเผยอเล็กน้อยด้วยรู้ในคำตอบว่าคนที่เปิดประตูเข้ามาไม่ใช่แม่ของเขา เช่นนั้นกิริยาระแวดระวังจึงเกิดขึ้นหลังจากนั้น

มนัสก้าวเท้าถอยหลัง เช่นเดียวกับชเยศที่ก้าวตรงไปข้างหน้าเพียงไม่กี่ก้าว

ระยะทางไม่ได้ใกล้กันมากขึ้น แต่จังหวะการก้าวนั้นกลับทำให้มนัสอุ่นใจมากกว่าเคย

มันรู้สึก...คุ้นเคย

“ผมเองครับคุณนัท”

เสียงทุ้มแปลกแปร่งอย่างนั้น มีหรือที่เขาจะจำไม่ได้ หากแต่การตอบรับหลังจากได้ยินการแนะนำตัวกลับไม่ใช่ใบหน้าบึ้งตึงหรือแย้มยิ้ม มนัสยังคงไว้ซึ่งใบหน้าเรียบนิ่งอยู่เช่นนั้นในขณะที่ชเยศเดินเข้ามาใกล้มากขึ้น อาจจะเป็นเพราะความนิ่งเฉยอย่างนั้นเองที่ทำให้ความขลาดเขลาสายหนึ่งเกิดขึ้นจากชเยศ ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ ยังคงจับจ้องใบหน้าเรียวมนจนกระทั่งหยุดยืนอยู่ตรงหน้า

ห่างกันเพียงเล็กน้อย ทิ้งระยะห่างแต่พอดี หากก็ยังสัมผัสถึงกลิ่นอายของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน

“ผม...อยากจะขอโทษ”

“กลับมาก็ดีแล้วล่ะครับ ฟ้าเป็นห่วงคุณมาก”

ริมฝีปากของชเยศแห้งผากเกินไป จากถ้อยความนั้นกลับเป็นการรึงรัดเขาไว้ไม่ให้ขยับเอ่ย แม้กระทั่งการขยับเคลื่อนไหวของร่างกายก็ยังนิ่งเฉย กินระยะเวลามากพอที่มนัสจะถอนหายใจให้กับความเงียบงันแล้วตั้งท่าจะหันตัวเดินเข้าบ้านไป จังหวะนั้นเองที่ชเยศตัดสินใจเอื้อมมือไปรั้งอีกฝ่ายเอาไว้

“ผมขอโทษที่วันนั้นพูดไม่ดีกับคุณ”

ริมฝีปากอิ่มเอิบคลายยิ้มเล็กน้อย ส่ายหน้าเบาๆ แล้วตอบกลับ “เป็นผมเองต่างหากที่ต้องขอโทษ” มนัสเว้นระยะในการพูดเล็กน้อย “เป็นผม...ที่วุ่นวายกับคุณ”

“ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับคุณนัท”

คนที่มีปัญหาทางดวงตานิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะขยับแขนให้มือของชเยศที่พันธนาการไว้คลายออกไป แต่แทนที่ชายหนุ่มจะเดินเข้าบ้าน เขากลับยกมือขึ้นจับที่มือของชเยศ วินาทีต่อมาค่อยกุมกระชับไร้ถ้อยความ บีบนวดเบาๆ หมายให้รับรู้ว่าเรื่องราวในวันนั้นไม่มีอะไรที่ทำให้เขาขุ่นข้องหมองใจเลยสักนิด

กิริยาที่แสดงออกถึงการให้อภัยอย่างนี้ ทำให้หัวใจของชเยศคล้ายเย็นลงไปมาก

มันทำให้เขาตัดสินใจและกล้ามากพอที่จะหลุบตาลงมองมือขาวขณะที่เขากลับไปเป็นฝ่ายกุมเอาไว้ ก่อนจะเกลี่ยเรียวนิ้วขาวให้ค่อยๆ กางออก จนกระทั่งกลายเป็นแบมือในที่สุด

สัมผัสต่อมาที่มนัสรับรู้ไม่ใช่มือของชเยศอีกต่อไป แต่มันกลับเป็นสิ่งแปลกปลอมที่วางลงบนฝ่ามือของเขา

“คุณชเยศ?”

“ช่วยผมทีนะครับ คุณนัท”

เสียงนั้นแทบกลายเป็นกระซิบในตอนที่ชเยศจับมือของมนัสให้กุมมันเอาไว้ คราวแรกชายหนุ่มไม่เข้าใจในความหมายนัก ทว่าเมื่อนิ่งนานผ่านไป สิ่งที่เรียกว่าหูฟังก็ยังคงอยู่ในมือของเขาที่กำไว้หลวมๆ

ชเยศจับจ้องใบหน้าที่คล้ายจะกำลังอยู่ในการตัดสินใจ ก่อนจะได้ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายพยักหน้ารับ แม้ไม่ได้เอ่ยถ้อยคำใดหลังจากนั้น หากมือของมนัสก็ยังพยายามที่จะเรียนรู้และจดจำรายละเอียดของหูฟังให้มากที่สุด ก่อนชายหนุ่มจะขยับปากเป็นชื่อของเจ้าของหูฟังให้ขยับเข้ามาใกล้ เช่นเดียวกับเขาที่ยกมือที่ว่างเปล่าขึ้นแตะโครงหน้าของชเยศ คละเคลื่อนแตะประทับกระทั่งถึงใบหู แล้วจึงส่งหูฟังที่อยู่ในมืออีกข้างหนึ่งขึ้นจับไว้ แล้วค่อยๆ สวมกับใบหูของชเยศอย่างเบามือ

มือของมนัสสั่นนิดๆ ไม่ต่างจากหัวใจที่เต้นแรงของชเยศเลยแม้แต่น้อย

หากเพียงแค่ใส่หูฟังอีกข้างหนึ่งแล้วกดปุ่มใช้งาน...

“อ๊ะ!”

คลื่นรบกวนก็ดังลั่นให้ชเยศสะดุ้งไหว ชายหนุ่มอุทานเสียงดังมากพอที่จะทำให้มนัสตกใจ หากกิริยาหลังจากนั้นนั่นต่างหากที่ทำให้มนัสขมวดคิ้วมุ่น

“อย่าถอดมันออกสิครับ”

ชเยศขบกรามแน่น พยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะอยู่เฉยเมื่ออ่านปากที่ออกจะตำหนิติเตียนเขา มนัสเมื่อรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวที่หยุดลงเป็นที่เรียบร้อย เขาจึงสวมหูฟังให้อีกฝ่ายอีกครั้ง และถึงแม้จะไม่รู้ว่าชเยศมองเขาอยู่หรือไม่ แต่ชายหนุ่มก็ยังพยักหน้าให้สัญญาณ ก่อนจะกดลงที่ปุ่มเพื่อเปิดให้หูฟังได้ทำงานอีกครั้ง

แว่วเสียงลมหายใจหอบดังขึ้นจากคนตรงหน้า นั่นจึงทำให้มนัสยังไม่ผละตัวออกห่างไปไหน เขาใช้มืออุ่นจัดทั้งสองข้างกุมรอบใบหูของชเยศไว้นิ่งนาน ปล่อยให้ชเยศยกมืออันสั่นเทาขึ้นกุมมือของเขาไว้ จนในที่สุดลมหายใจหอบจึงค่อยๆ เบาลง เบาลง จนกลายเป็นการหายใจที่ปกติสม่ำเสมอดังเดิม

“เชน?”

ดวงตาคู่คมมองกลีบปากนั้น ไม่แน่ใจนักว่าสิ่งที่ดังก้องในหูตอนนี้คือสิ่งที่เขาจินตนาการขึ้นหรือคือความจริง เช่นนั้นแล้วชายหนุ่มจึงหลับตาลง บีบมือมนัสเบาๆ ราวกับให้สัญญาณบางสิ่ง

และนั่นจึงทำให้เสียงเรียกหนึ่งดังขึ้นอีกครั้ง

“คุณชเยศ”

ทุ้ม...นุ่มนวล...เสียงของมนัสน่าฟังมากเพียงใด ชเยศก็เพิ่งรู้เอาเมื่อตอนนี้เอง

ชายหนุ่มค่อยๆ คลี่ริมฝีปากคลายเป็นรอยยิ้ม ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ พลางก้มหน้านิ่ง แต่เพราะอย่างนั้นจึงทำให้มนัสที่มองไม่เห็นอะไรได้แต่นิ่งงันด้วยความสงสัย ชายหนุ่มผละมือออกห่างจากหูของชเยศแล้ว เขาทิ้งมือลงข้างตัวได้ครู่เดียวก็ขบปากแน่น ขยับประชิดร่างของอีกฝ่ายแล้วยกมือขึ้นปิดดวงตาเอาไว้ ให้ชเยศหยุดการหัวเราะลงแล้วนิ่งเฉย

“คุณบอกผมสิ คุณได้ยินเสียงแล้วใช่รึเปล่า คุณชเยศ”

บนใบหน้าคมคายยังคงมีรอยยิ้มประดับแต้ม ชเยศนึกอยากให้มนัสมองเห็นก็คราวนี้ เขาอยากให้อีกฝ่ายมองเห็นจริงๆ ว่าเขายิ้มได้มากแค่ไหนจากการช่วยเหลือของมนัส ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำถามนั้นให้อีกคนรับรู้ถึงการขยับไหวของใบหน้า ก่อนจะจับมือของมนัสที่ปิดตาเขาไว้ให้ลดลง แล้วตอบกลับไปด้วยเสียงของตัวเองที่ไม่ได้ยินมานานหลายปี

“ผมได้ยินแล้วครับคุณนัท” คำตอบนั้นทำให้มนัสคลายยิ้ม “ผมได้ยินเสียงคุณ...ได้ยินเสียงของลัคกี้ด้วย”

มนัสหัวเราะออกมาเต็มเสียง แค่ดูจากสีหน้าก็เห็นแล้วว่ามีความสุขมากแค่ไหน ชเยศยังคงได้ยินเสียงของอีกคนอย่างชัดเจน ถึงแม้จะยังปวดโสตประสาทที่ใช้ในการรับรู้ผ่านเสียงอยู่บ้างก็เถอะ ทว่าเสียงมนัสที่เขาได้ยินชัดอยู่ในตอนนี้ก็ทำให้แทบลืมความปวดปลาบนั้น

บางสิ่งกลับเข้าสู่ใจเขาอีกครั้ง...บางสิ่งที่เรียกว่า...ความสุข

“คุณรู้ใช่รึเปล่าครับว่าทำไมผมถึงไม่ยอมใส่หูฟังสักที”

ชเยศเกริ่นขึ้นหลังจากยืนอยู่ตรงนี้นานพอจะทำให้ขบคิดอีกประเด็นหนึ่งได้ และคำถามนั้นก็ทำให้รอยยิ้มที่แต้มบนดวงหน้าเรียวมนลดเลือนลงไป มนัสนิ่งไปเสี้ยววินาทีก่อนพยักหน้ารับ

“ครับ ผมรู้”

“ผม...ยังไม่พร้อม”

“ผมเข้าใจ”

“แต่ถ้าผมพร้อม...วันนั้นคุณจะช่วยผมอีกครั้งได้รึเปล่าครับ คุณนัท”

“เชน...คุณเชนครับ คุณ”

เสียงทุ้มเอ่ยปลุก ทั้งยังเขย่าไหล่ผายของคนที่ตอนนี้นอนพลิกกายตะแคงหนีให้ตื่นขึ้น ได้ยินเพียงเสียงครางแผ่วในลำคออย่างคนหงุดหงิดใจ หากเมื่อเขายังคงไม่ย่อท้อที่จะปลุกอีกฝ่ายให้ตื่นขึ้น สุดท้ายมนัสจึงได้ยินเสียงพ่นลมหายใจพร้อมกับการขยับเคลื่อนไหวร่างกาย

มนัสชักมือกลับในทันทีที่ลมหายใจกรุ่นร้อนของอีกคนรินรดระบายบนหลังมือ แว่วเสียงหัวเราะเบาๆ ขณะที่อีกฝ่ายลุกขึ้นนั่ง “ผมตื่นแล้วครับ”

“ฟ้ากำลังทำกับข้าว ออกไปนั่งรอข้างนอกเถอะครับ”

ดวงตาเซื่องซึมด้วยง่วงงุนมองไปยังเสี้ยวหน้าของคนที่หันหลังเตรียมจะลุกขึ้น ทว่ามือกว้างกลับคว้าแขนแล้วรั้งมนัสเอาไว้ให้นั่งอยู่อย่างนั้น มนัสขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ แต่อาจจะเป็นเพราะฝ่ามือที่กำรอบแขนของเขานั่นคล้ายจะบีบลงเล็กน้อย ชายหนุ่มจึงไม่ดื้อรั้นที่จะหยัดยืน เขาขยับตัวนั่งลงที่ขอบฟูก ยกมือลูบหลังมือกว้างแล้วตบเบาๆ อย่างให้กำลังใจ

“ฝันร้ายหรือครับ?”

ชเยศเงียบ เขาไม่รู้ว่าควรตอบกลับว่ายังไง ฝันร้ายน่ะหรือ...ใช่ เขายังคงฝันถึงมัน หากแต่ฝันในครั้งนี้กลับมีแรงกระตุ้นให้ชเยศตัดสินใจในอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มพรูลมหายใจ รู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นกระหน่ำรุนแรงขณะที่พยายามขยับปากเปล่งเสียง มันเป็นเรื่องที่ยากมากเกินไป ยากเกิน...ที่เขาจะยอมรับในการตัดสินใจของตัวเอง

แต่ถึงอย่างนั้น... “ผมพร้อมแล้วครับ”

ถ้อยคำนั้นเบาเพียงกระซิบ หากภายในห้องเล็กๆ ที่มีเพียงความเงียบงันอย่างนี้มนัสก็ยังได้ยินชัดเจน เขารู้ว่าการตัดสินใจนี้ทำให้ชเยศอึดอัดใจมากแค่ไหน ทุกสิ่งชัดเจนมากยิ่งขึ้นเมื่อมนัสกุมมือของเขาเอาไว้แล้วบีบเบาๆ อยู่หลายครั้งหลายหน และสิ่งที่ได้กลับมาก็คือมือกว้างที่บีบมือตอบไป

บีบแน่น...ราวกับกลัวว่าหากปล่อยมือออกจากกัน มนัสจะทิ้งเขาให้เดียวดาย

“แน่ใจหรือครับว่าจะให้ผมช่วยคุณ”

“ครับ ผมแน่ใจ”

ถึงจะตอบทันทีทันใดแบบนั้น แต่เสียงทุ้มที่ไม่ได้แปลกแปร่งเหมือนเมื่อก่อนแล้วก็กลับสั่นไหว มนัสเอียงศีรษะเล็กน้อยขณะครุ่นคิดว่าควรจะเริ่มต้นเช่นไร อันที่จริงเขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตัวเขาเองซึ่งเป็นคนนอกสมควรที่จะได้เป็นคนปลดแอกที่กักขังชเยศเอาไว้

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังได้รับความไว้ใจ วางใจที่จะได้เป็นคนไขกุญแจ

“กี่ปีแล้วครับที่คุณเป็นอยู่อย่างนี้...หกปีใช่ไหม”

มนัสไม่ได้ยินเสียงตอบรับ มีเพียงมือกว้างที่บีบมือเขามากกว่าเดิม

“มันเป็นอุบัติเหตุ คุณรู้ใช่ไหมเชน...คุณไม่ได้ผิดอะไรเลยสักนิด ผมอยากให้คุณนับว่าเหตุการณ์นั้นคือความโชคดีของคุณ ได้รึเปล่าครับ?”

“ผมจะคิดอย่างนั้นได้ยังไง มันไม่ใช่ความโชคดีของผม แต่มัน...” คือนรกที่กักขังทารุณให้หัวใจเขาทรมาน

ชเยศสะดุดลมหายใจเมื่อรู้สึกได้ถึงก้อนสะอื้นที่ตีตื้นขึ้นลำคอ เขาส่ายหน้าไปมา ปิดเปลือกตาลงซ่อนความรู้สึกเจ็บปวดสายหนึ่งที่แล่นปราดเข้าใส่ มันทำให้ดวงตาของเขาร้อนผ่าวจนทรมาน แต่ถึงอย่างนั้นคนที่มองไม่เห็นก็ยังรู้สึกได้ มนัสคลายยิ้ม ยกมือขึ้นแตะปลายนิ้วลงยังหางตาทั้งสองของชเยศ ผะแผ่วบางเบาราวกับสายลมพัดผ่าน หากความอุ่นร้อนที่ปลายนิ้วนั่นเอง ที่ราวกับเป็นตัวฉุดดึงให้ความรู้สึกจากก้นบึ้งของชเยศกระจายตัวเสียที

“แต่คุณยังอยู่ตรงนี้ เพราะคุณยังอยู่ตรงนี้ไงเชน นั่นถึงเป็นความโชคดีของคุณ”

“ไม่...”

“แต่ไม่ใช่กับเขา”

“ไม่ๆ ไม่ใช่ ไม่...”

เสียงทุ้มสั่นเครือน่าใจหาย มนัสได้แต่ข่มเก็บความสงสารอาทรนั้นไว้แล้วขยับปากเปล่งเสียง“เชน...ช้างไม่อยู่แล้วนะ พี่ชายของคุณ...เสียไปนานแล้ว”

เท่านั้น...เพียงเท่านั้นความรู้สึกที่กักกั้นมันไว้ก็พังทลาย ความเป็นจริงที่แสนโหดร้ายและชเยศไม่เคยยอมรับได้ ความรู้สึกผิดและเสียใจที่ตามทำร้ายเขาทุกวี่วัน ทุกสิ่งถูกปลดปล่อยให้ระบายออกผ่านเสียงสะอื้นไห้และน้ำตาของลูกผู้ชายที่อยู่กับความขลาดเขลาทำร้ายตัวมานานหกปี

ชเยศตัวสั่น ยิ่งนานเข้าก็ยิ่งสะอื้นไห้จนตัวโยน หากมนัสก็เพียงแต่นั่งเฉยๆ เขาปล่อยให้ชเยศบีบมือเขาแน่นอยู่อย่างนั้น ความเจ็บปวดที่มือไหนเลยจะเท่ากับความปวดร้าวทุกข์ทรมานที่อีกฝ่ายสะสมมา ชายหนุ่มไม่ได้เอ่ยปลอบใจใดทั้งสิ้น มีเพียงมืออีกข้างซึ่งเป็นอิสระที่เฝ้าเพียรลูบแขนลูบไหล่

และไม่รู้เลยว่าเมื่อไร...ที่ร่างกายของเขาขยับเข้าใกล้คนที่ร้องไห้คร่ำครวญมากขึ้นทุกที มากขึ้น ใกล้ขึ้น...จนสุดท้ายจึงกลายเป็นสองแขนของเขาที่โอบร่างสั่นคลอนนั้นไว้ กอดหลวมๆ ในคราวแรก แล้วจึงเปลี่ยนเป็นกอดแน่นในที่สุด

ใบหน้าเปื้อนน้ำตาของชเยศจมอยู่กับอกของเขา สองแขนแข็งแรงที่มักจะช่วยประคองยามเมื่อเขาสะดุดล้มก็ยกขึ้นกอดเขาตอบด้วยแรงที่มากพอจะทำให้มนัสอึดอัด

“ช้าง....พ...พี่ช้าง...........”

แต่ใครเล่าจะปล่อยให้คนที่จมอยู่กับอดีตมานานแสนนานเวิ้งว้าง

อย่างน้อยก็ให้ได้รับรู้ถึงกำลังใจและความอบอุ่นจากใครอีกคนที่อยากบอกให้รู้ว่ายังอยู่ตรงนี้

มนัสที่อยู่เคียงชเยศ คนที่คอยช่วยเหลือเขาจากใจจริงเสมอมา เขาจะทอดทิ้งได้ลงเช่นไร

“ผมไม่...ผม......ผมขอโทษครับพี่.......ผม..........”

ใครเล่า...จะปล่อยให้คนที่อยู่ในเหตุการณ์น่าหดหู่ทรมานใจนั้น.........อยู่เพียงลำพัง

To be continued