บทที่ 17

‘นัท เฮ้ นัท!’

เสียงของใครบางคนปลุกเขาให้ตื่นขึ้น และใช่...มนัสส่งเสียงงัวเงียไม่ได้ศัพท์ในคราวแรก ก่อนจะตอบรับออกไปเมื่อตัวเองขยับตัว ‘อือ...อะไรน่ะชนัต’

‘มาอะไรน่ะชนัตได้ยังไง นายนั่นล่ะมานอนบนนี้ได้ยังไงกัน’

เสียงของชนัตฟังดูระอาปนเอ็นดูเขามากจริงๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้มนัสส่งเสียงหัวเราะออกมา ขยับกายลุกขึ้นนั่งตัวตรงบนที่นั่ง เสียงครืนใหญ่ดังขึ้นจากที่ด้านหลัง หากมันก็กลับถูกอีกเสียงหนึ่งขัดขึ้นให้ได้สับสน ดูเหมือนว่าชนัตกำลังทำอะไรสักอย่าง อ้อ ใช่แล้ว ชนัตกำลังรื้อกระเป๋าใบสีเขียวของใครสักคนเสียยกใหญ่ ทั้งยังบ่นอู้อี้ไม่รู้เรื่องให้เขาได้ยกยิ้มอีกด้วยสิ

‘นายน่ะลงไปได้แล้ว อีกนานกว่ารถจะซ่อมเสร็จ ร้อนอย่างนี้นอนไปได้ยังไงกัน’

‘เดี๋ยวลงไปพร้อมนายก็ได้นี่’

‘ไปเดี๋ยวนี้เลย แม่นายถามหานายอยู่นะ’

ชนัตไม่ใคร่จะยินดีที่มนัสดื้อดึง และเพราะอย่างนั้นเองที่ทำให้เขายินยอมลุกขึ้นยืน ทั้งยังทำตามคำบอกของอีกคนที่ส่งเสียงบอกให้เขาลงจากรถที่ด้านหลัง ก่อนที่จะกลับไปหาของในกระเป๋าอีกครั้ง หากไม่วายยังหันมองสบตากัน แล้วจึงโดนเร่งเร้าให้ลงจากรถแต่เร็วไว

เสียงของสายลมพัดโหม อืม...มันเป็นกระแสลมยามบ่ายที่ไม่ได้ทำให้สดชื่นเลยสักนิด มนัสได้ยินเสียงของผู้เป็นแม่ร้องเรียกให้เดินตรงเข้าไปหา เขาเองก็ได้แต่ยิ้มแหยอย่างขอโทษขอโพยที่หลับเพลินอยู่บนรถบัสอย่างนั้น ระหว่างที่ก้าวเดินกำลังจะออกพ้นจากรถ ก็แว่วได้ยินเสียงของใครสักคนสองคนดังขึ้นที่ด้านหลัง

‘ไม่น่าจะไหวนะ เครื่องร้อนขนาดนี้ เรียกช่างใหญ่เถอะ’

หมายถึงรสบัสน่ะหรือ?

ใจหนึ่งของมนัสสั่งให้ตัวเองหันหลังกลับไปมอง เขาไม่ได้ยินเสียงอะไรในตอนนั้น แต่ได้ยินเสียงตัวเองที่พึมพำบ่นให้เพื่อนสนิท ‘ชักช้าชะมัดเลยไอ้นี่...’

ก่อนจะหันหลังให้รถบัสคันใหญ่ เร่งฝีเท้าก้าวเดินไปตามการเรียกของผู้เป็นแม่

และ...

ตู้ม!!


มือเรียวขาวชื้นไปด้วยเหงื่อ และลมหายใจก็ยังระบายหนักหน่วงยามเมื่อรู้สติฟื้นคืน

มนัสแลบลิ้นเลียกลีบปาก รู้สึกคล้ายอาหารที่อยู่ในกะเพราะกำลังจะขย้อนออกมาจากลำคอ ดังนั้นแล้วชายหนุ่มจึงเร่งหยัดกายลุกขึ้นยืน เดินด้วยความรวดเร็วออกจากห้องนอนแล้วตรงไปยังห้องน้ำ แม้จะเตะเข้ากับขอบประตูห้องน้ำอยู่บ้าง แต่เขาก็ยังต้องการที่จะได้รับน้ำเย็นเฉียบประพรมหน้าอยู่ดี

เสียงของสายน้ำยังดังเรื่อยเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นจากก๊อก ยกมือขึ้นทาบตรงตำแหน่งที่หัวใจ ให้รับรู้ถึงการเต้นไหวระรัวแรงราวกับจะไม่มีที่สิ้นสุด

ฝันอย่างนี้...เขาไม่ได้ฝันอย่างนี้มานานมากแค่ไหนแล้วนะ

แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ความฝันของเขาเริ่มเลือนราง ภาพที่มองเห็นนั้นเริ่มจางหาย กลับกลายเป็นฝันที่มีเพียงเสียงให้ได้รับฟัง

แล้วทำไม...ทำไมเขาถึงต้องฝันถึงชนัตอย่างนั้นด้วย

“นัท ลูกตื่นแล้วหรือ?”

น้ำเสียงนุ่มนวลดังขึ้นที่ด้านนอก ให้ชายหนุ่มเอื้อมมือแตะที่ก๊อกน้ำแล้วปัดลงเพื่อปิดล็อก “ตื่นแล้วครับแม่”

จะทำยังไงให้สีหน้าเป็นปกติมากที่สุด ในเมื่อเขาไม่มีโอกาสได้มองเห็นเลยสักนิดว่าตอนนี้สีหน้าตัวเองเป็นแบบไหน ถึงอย่างนั้นหากอยู่ในนี้นานเกินควรก็อาจจะทำให้ผู้เป็นแม่เกิดเป็นห่วงขึ้น มนัสจึงก้าวเท้าเดินออกมาจากห้องน้ำ สัมผัสถึงกลิ่นครีมอาบน้ำเจือจางของแม่แล้วจึงหันไปตามทิศนั้น

“ยังไม่ออกไปทำงานอีกหรือครับ หรือว่าผมตื่นเช้าไป”

“กำลังจะออกไปแล้วล่ะ”

“เดินทางปลอดภัยนะครับ”

แย้มยิ้มส่งไป โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่ามันเป็นยิ้มที่สดใสหรือฝืนทน คลับคล้ายแม่ของเขาจะนิ่งไปคราวหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ตอบรับแล้วเดินนำออกจากบ้านมา มนัสขันอาสาที่จะเป็นคนปิดประตูรั้วด้วยตัวเอง เขายืนรอจนกระทั่งเสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นแล้วค่อยๆ เบาลงไปจึงค่อยออกแรงเคลื่อนประตูรั้วหมายให้ปิดลง

แต่ทว่า...ก็กลับถูกใครบางคนรั้งเอาไว้โดยไม่ให้สุ้มให้เสียงใด

ถึงอย่างนั้น กลิ่นไอตัวตนก็ยังทำให้ชายหนุ่มรู้ ว่าคนที่กลั่นแกล้งเขานั่นน่ะ คือใคร

“อรุณสวัสดิ์ครับนัท”

เสียงทุ้มอารมณ์ดีอย่างนั้นมีแค่คนเดียวเท่านั้นล่ะนะ...

“ครับ อรุณสวัสดิ์”

ตอบกลับไม่ยินดียินร้าย ทั้งยังขมวดคิ้วตีหน้านิ่งหมายให้อีกฝ่ายปล่อยมือที่รั้งไว้ได้แล้ว และนั่นก็ทำให้อีกฝ่ายยินยอมผ่อนไป ปล่อยให้เขาปิดประตูรั้วลง ให้คนสองคนยืนใกล้กันโดยมีประตูคั่นกลาง มนัสเองก็ไม่ได้หันหลังเดินหนีไปไหน น่าแปลกที่เพียงแค่ได้ยินคำทักทายเช่นนั้น ก็คล้ายว่าฝันเมื่อครู่จะถูกกลบทับไปได้แทบจะในทันที

“ฟ้าเช้านี้สวยมากเลยนะครับ”

นิ่งกันไปสักครู่หนึ่ง ชเยศจึงค่อยเอ่ยขึ้นด้วยกระแสเสียงทุ้มนุ่มให้เขาได้ยกยิ้ม มนัสเอียงศีรษะเล็กน้อย เฝ้าฟังเสียงด้วยคิดว่าชเยศอาจจะพูดอะไรมากกว่านั้น แต่ก็ไม่ ชายหนุ่มที่ยืนอยู่อีกฝั่งของประตูเพียงแต่เงียบไปเท่านั้น นั่นจึงทำให้มนัสไม่มั่นใจเท่าไหร่นักว่าสิ่งที่เขากำลังคิดนั้นถูกต้องหรือไม่

“บางที ถ้าคุณอยากให้ผมรู้ว่าอะไรเป็นอะไร คุณควรอธิบายนะเชน”

คำเอ่ยนั้นไม่จริงจังนัก แต่ก็ทำให้ชเยศเกิดนิ่งไปอึดใจหนึ่งแล้วตอบรับแผ่วเบา มนัสได้ยินเสียงประตูเคลื่อนที่ ก่อนที่ร่างของใครอีกคนจะหยุดยืนข้างๆ เขา มือกว้างที่มักจะเกาะกุมเมื่อออกเดินไปด้วยกันก็ขยับใกล้แล้วจับมือของเขาไว้ รั้งร่างให้เข้าใกล้เล็กน้อยแล้วก้าวเท้าออกเดิน

ชเยศไม่ได้พาเขาไปที่ไหน เพียงแต่พามานั่งที่ชานบ้านก็เท่านั้น

กลิ่นของสายลมพัดโชยมาระลอกหนึ่ง มันนำพาความสดชื่นของยามเช้ามาให้มนัสได้สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด

“ฟ้าโปร่ง ฟ้าที่เป็นสีฟ้า มีริ้วเมฆระบายอยู่บ้าง อันที่จริงมันก็อาจจะดูธรรมดาแหละครับ แต่ผมมองว่ามันสวย มันก็เลยสวย”

มนัสส่งเสียงหัวเราะเมื่อได้ยินอย่างนั้น ชายหนุ่มแหงนเงยดวงหน้าขึ้นรับกับลมเย็นยามเช้า ยกแขนขึ้นชูเหนือศีรษะคล้ายเอื้อมคว้า ก่อนจะทิ้งแขนลงข้างตัวดังเดิมแล้วคลี่ยิ้มมากขึ้น

“บางครั้งก็คิดเหมือนกันนะครับ ว่าถ้าได้เห็นมันอีกครั้ง...ก็คงดี”

“นั่นสินะครับ...”

“เมื่อก่อนน่ะ ทุกเช้าที่ผมตื่นผมจะชอบชงกาแฟแล้วก็มานั่งตรงนี้ มองท้องฟ้า มองต้นไม้ ตอนเช้าๆ ก็จะมีนกบินมาเกาะที่รั้วบ้าน บรรยากาศดีๆ ที่ทำให้ผมรู้สึกอยู่ตลอดว่า ‘โชคดีจังเลยนะที่ได้ตื่นขึ้นมาเห็นแบบนี้’ เป็นการเริ่มต้นวันใหม่ที่ทำให้มีความสุขดีนะครับ”

ชเยศไม่ได้พูดอะไร เช่นเดียวกับมนัสที่ไม่ได้ต่อประโยคหลังจากนั้น คนสองคนเพียงแต่นั่งอย่างเงียบเชียบอยู่เคียงข้างกัน รับรู้เพียงไอกายจากอีกฝ่าย มีลัคกี้คอยนอนกลิ้งไปเกลือกมาทับเท้าของเขาสองคน บรรยากาศร่มรื่นเย็นสบาย ไอแดดอ่อนจางที่สาดกระทบกับผิวกาย

ทุกอย่างดูเหมือนจะหยุดการเคลื่อนไหวของช่วงเวลา หากไม่ได้หยุดรั้งให้หัวใจสองดวงเต้นเคียงกันไป

หากที่สุดแล้วจึงเป็นชเยศที่ทำลายความเงียบด้วยเสียงระบายลมหายใจของเขา ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ทบทวนคำเอ่ยของมนัสอยู่ในใจก็ให้อดที่จะยกยิ้มไม่ได้

โชคดีที่ได้ตื่นขึ้นมา เริ่มต้นวันใหม่ที่ทำให้มีความสุข...คนที่มองโลกในแง่ดีขนาดนี้ บางทีก็ทำให้เขาเอ็นดูมากจริงๆ

แม้เจ้าของความคิดนั้นจะอายุมากกว่าเขาก็เถอะ

“มีสิ่งที่คุณกลัวมากๆ จนไม่อยากรับรู้ถึงมันรึเปล่าครับเชน นอกเหนือจากเรื่องของช้าง”

ไม่น่าเชื่อว่าน้ำเสียงเรียบเรื่อยนั้นกลับไม่ได้สร้างความปวดแปลบที่ใจของชเยศ เขากลับรู้สึกสบายๆ ที่ได้รับคำถามนั้น มาถึงวันนี้ แม้ระยะเวลาที่เปิดเปลือกหัวใจจะไม่ได้ก้าวเดินไปมากจนทำให้เขาหลุดออกจากกรอบของความเสียใจ แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็รู้สึกได้ว่าเขาเปิดรับและยอมรับกับผลที่เกิดขึ้นได้มากกว่าที่เคย

เขาส่งเสียงครางยาวในลำคออย่างครุ่นคิด พลันก็ได้ส่ายหน้าเชื่องช้าแล้วตอบกลับ “ไม่มีครับ เรื่องของพี่ช้างเป็นเรื่องที่ผมกลัวที่สุดแล้ว”

“ยังกลัวอยู่รึเปล่าครับ”

“ไม่มากเท่าเมื่อก่อน” ตอบกลับพลางกลั้วหัวเราะในลำคอ “...ก็เพราะคุณ”

ริมฝีปากที่คลี่ยิ้มก่อนหน้านี้ลดจางลงไปบ้างหากก็ไม่ได้ชักชวนให้ดูผิดสังเกตมากนัก มนัสขยับตัวเล็กน้อย และเป็นครั้งแรกที่เขาเป็นฝ่ายขยับไล่เรียวมือแล้วแตะลงที่หลังมือกว้าง ก่อนจะขึ้นทาบแล้วกุมเอาไว้อย่างนั้นโดยไม่เอ่ยอะไร ให้ชเยศหันหน้ามามองด้วยความสงสัย แต่ก็ยังยกยิ้มได้อยู่ดี

“คิดถึงพี่ชายผมอยู่รึเปล่าครับ”

คำถามนั้นทั้งสะกิดใจคนฟังและสะกิดใจตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นชเยศก็ยังตั้งใจรอที่จะได้รับฟังคำตอบจากอีกฝ่าย คนที่คล้ายจะกุมมือเขาแน่นมากขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย คนที่นิ่งไปราวกับตกอยู่ในภวังค์ของตัวเอง เนิ่นนานมากพอที่จะทำให้ชเยศรู้ว่าคงไม่ได้ยินคำตอบ เขาเกือบจะปล่อยมันวางไว้ แต่สุดท้ายมนัสก็ตอบกลับมาอยู่ดี

“ผมไม่เคย...ที่จะไม่คิดถึงชนัต”

กระแสเสียงนั้นแผ่วลงเล็กน้อย หากบนใบหน้ากลับยังคงมีรอยยิ้มประทับแตะแต้ม

“ช้างน่ะ ถึงจะอายุเท่ากับผม แต่เขาก็ชอบทำตัวเป็นพี่ชายอยู่เรื่อย ถ้าจะให้เปรียบว่าช้างสำคัญกับผมมากแค่ไหน ผมคงบอกได้แค่ว่าช้างเหมือนคนหนึ่งในครอบครัว” มนัสก้มหน้าลง ระบายรอยยิ้มมากขึ้นกว่าเมื่อครู่ให้ชเยศได้จับจ้อง “คนในครอบครัวจะไม่มีวันจางไปจากความรู้สึกและความทรงจำของเรา คุณว่าอย่างนั้นรึเปล่าครับ เชน”

เพราะอย่างนั้นแล้ว...เพราะไม่มีวันจางไปอย่างนั้น การคิดถึงในแต่ละครั้งจึงเป็นเรื่องที่ทรมานสำหรับมนัสมากจริงๆ

แต่ก็เพราะถ้อยความร้อยเรียงอย่างนั้นเอง ที่ทำให้บางสิ่งในหัวใจของชเยศคลายลง เรื่องบางเรื่องที่เขายังไม่เข้าใจ เรื่องบางเรื่องที่เขาไม่พร้อมที่จะเข้าใจ ทุกสิ่งที่คิดไปเอง ทุกสิ่งที่อัดอั้นกักเก็บอยู่ในนั้น ไม่รู้ว่าทำไม...ถึงทำให้ชายหนุ่มโล่งใจจนพรูลมหายใจยาวอย่างนี้ได้

“ผมยังจำรอยยิ้มสุดท้ายของช้างได้อยู่เลย...”

“ผมก็เหมือนกัน”

ไม่...ไม่เหมือนหรอก

มนัสได้แต่ท้วงในใจ ไม่ใช่ว่าจะปฏิเสธคำของอีกฝ่าย และใช่...ความจริงที่ว่ารอยยิ้มนั้นอาจจะอยู่ในเวลาไล่เลี่ยกัน สถานการณ์ไม่ต่างกัน และความทรงจำสุดท้ายที่คล้ายคลึงกัน อาจจะรวมไปถึงความรู้สึกหลังจากนั้นที่แทบจะไม่มีอะไรต่างกันเลยสักนิด

แต่สิ่งที่อยู่ในใจตอนนี้นั่นต่างหากที่ไม่เหมือน

“เชน...”

“หืม?”

มนัสนิ่งไปครู่ใหญ่ เขากำมือที่กุมมือกว้างของชเยศไว้แน่นขึ้นมากกว่าเดิม จู่ๆ ใบหน้าเปื้อนยิ้มของเขาก็พลันเลือนหาย กลับกลายเป็นใบหน้าที่มีแต่ความกังวลและทุกข์ใจให้อีกคนได้มองเห็น ชเยศไม่แน่ใจนักว่าความรู้สึกของคนข้างกายเป็นเช่นไร เขารู้เพียงว่าเขาปรารถนาที่จะได้รับความเจ็บปวดสายหนึ่งที่พาดผ่านลงมาผ่านมือเรียวที่จับมือของเขาเอาไว้อย่างนั้น

ไม่เอ่ยคำใด ใช้การกระทำเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

ส่งไปให้ได้รู้ว่าห่วงใย ส่งไปให้ได้รู้ว่าใส่ใจมากเพียงใดกับความรู้สึกนั้น

เช่นนั้นแล้ว...ก็ยิ่งกลายเป็นตัวกระตุ้นเร่งเร้าให้มนัสเปิดปาก ขยับเอ่ยออกไป...ด้วยกระแสเสียงสั่นพร่าอย่างคนไม่มีความมั่นใจในที่สุด

“ถ้าผมมีเรื่องจะสารภาพกับคุณ...คุณจะรับฟังผมจนจบได้รึเปล่าครับ เชน”

หัวใจของมนัสเต้นระรัว แตกต่างจากหัวใจของชเยศที่สงบนิ่งมากกว่าเคย

มนัสคือคนที่ปลดล็อกหัวใจของเขาให้เป็นอิสระอีกครั้ง แล้วทำไมเล่า เขาถึงจะไม่ยินยอมรับฟังถ้อยความของอีกฝ่าย

“เรื่องของช้าง...เรื่องของคุณ”

ชเยศนิ่งไป

หากสุดท้ายก็กลับเป็นฝ่ายกุมกระชับมือเรียวที่ติดจะเย็นขึ้นของอีกคนเอาไว้ เกลี่ยปลายนิ้วแผ่วเบาที่ข้อนิ้วแดงรื้นตามธรรมชาติ แสดงออกให้ได้รู้ว่าเขาจะยังอยู่ที่ตรงนี้ไม่ไปไหน และเพื่อย้ำให้มนัสได้แน่ใจ ชายหนุ่มจึงค่อยขยับเข้าใกล้ เอ่ยคำด้วยเสียงที่เกือบจะกลายเป็นกระซิบทุ้มนุ่ม

“ผมจะจับมือคุณไว้อย่างนี้จนกว่าคุณจะพูดออกมา...ผมยินดีรับฟังครับ นัท”

ด้วยมือที่จับกันไว้ราวกับจะบีบบังคับไม่ให้ถอยหนี แต่กลับเต็มเปี่ยมไปด้วย...ความอ่อนโยน

To be continued