ปวดหัวบ่อยเชิญทางนี้! รวม 7 อาหาร 'แก้ปวดไมเกรน' ช่วยให้ผ่อนคลาย บรรเทาอาการปวดหัวได้ดีเวอร์
โอ๊ยยย ปวดหัวตุบๆ จนทรมานและรำคาญใจสุดๆ ไปเลยค่ะซิส!!! วันนี้เรามี 7 อาหาร 'แก้ปวดไมเกรน' มาแนะนำให้สาวๆ ได้ลองหามากินกันเป็นประจำ เพื่อช่วยเพิ่มความผ่อนคลายและบรรเทาอาการปวดหัวให้หายไปเร็วขึ้นด้วย
เผยแพร่: 31 ธ.ค. 2563 10:00 น.
Views: 4,813
รหัสบทความ: 81581
ฮายเกิร์ล! ทักทายสาวซิสที่รักทุกคนเลยค่าาา ~ヾ(＾∇＾)
ขอแอบถามสาวๆ หน่อยสิคะว่าพวกเธอเคยเจอกับอาการปวดหัวตุบๆ ข้างเดียวกันบ้างรึเปล่าเอ่ย?ถ้าใครมีอาการแบบนี้อยู่บ่อยๆ ไม่แน่ว่าเธออาจเป็นไมเกรน ( Migraines )ก็ได้นะเพราะว่าอาการของเจ้าไมเกรนเนี่ย มักจะทำให้รู้สึกปวดหัวตุบๆ อย่างรุนแรงทั้งแบบปวดหัวข้างเดียว หรือปวดหัวข้างเดียวก่อนแล้วลามไปปวดหัวสองข้าง ในบางรายที่อาการหนักขึ้นมาหน่อยก็อาจถึงขั้นคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วยก็มีเลยต้องหมั่นใส่ใจและสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายอย่างสม่ำเสมอเลยนะ
แล้วถ้าสาวคนไหนที่กำลังป่วยเป็นโรคไมเกรน แล้วโดนอาการปวดหัวเล่นงานอยู่บ่อยๆ วันนี้เราก็รวบรวม7 อาหาร ‘ แก้ปวดไมเกรน ’มาแนะนำให้ลองหาซื้อมากินกันรับรองได้เลยว่าเมนูอาหารเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความผ่อนคลาย บรรเทาอาการปวดหัว และทำให้สาวซิสรู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมได้แน่นอน
✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿
➊ ปลาแซลมอน
เริ่มต้นด้วยเมนูแก้ไมเกรนเมนูแรกกันเลยดีกว่า เราเชื่อว่าต้องมีสาวๆ จำนวนไม่น้อยที่ติดอกติดใจในรสชาติความอร่อยของปลาแซลมอนกันแน่ๆ เลยใช่มั้ยคะ? บอกเลยนะว่าเนื้อปลาแซลมอนที่จะกินเปล่าๆ ก็อร่อย กินกับข้าวปั้นก็ละมุนลิ้น หรือกินยำแซลมอนก็แซ่บซี๊ดถึงใจ มันมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายหลายอย่างเลยนะเพราะปลาแซลมอนอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่มีสรรพคุณช่วยต้านการอักเสบ ลดความดันโลหิต บำรุงหลอดเลือด แล้วยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งได้ด้วย
นอกจากนี้ปลาแซลมอนยังมีวิตามินบีปริมาณสูง หนึ่งในนั้นก็คือ‘ ไรโบฟลาวิน ’ที่เป็นตัวช่วยสำคัญในการบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรนให้ดีขึ้นเพราะฉะนั้นก็ลองเพิ่มเมนูปลาแซลมอนเข้าไปในมื้ออาหาร 2 - 3 มื้อ / สัปดาห์ก็จะช่วยบำรุงสุขภาพให้แข็งแรง และไม่ต้องมานั่งนอยด์กับอาการปวดหัวด้วย
➋ ดาร์กช็อกโกแลต
ไม่ว่าจะเป็นเด็กน้อย วัยรุ่น หรือผู้ใหญ่ เราว่าต้องมีหลายคนที่ตกหลุมรักในรสชาติขมๆ หวานๆ ของช็อกโกแลตเหมือนกันแน่นอนแต่แทนที่จะกินช็อกโกแลตที่มีน้ำตาลสูง หวานบาดคอ ลองเปลี่ยนมากินดาร์กช็อกโกแลตที่มาพร้อมกับรสชาติขมนิดๆ และมีความเข้มข้นจัดเต็มจะดีต่อสุขภาพมากกว่านะ
เพราะว่าช็อกโกแลตอุดมไปด้วยแร่ธาตุแมกนีเซียม ซึ่งแมกนีเซียมนี่แหละค่ะที่ได้รับฉายาว่าเป็นแร่ธาตุที่ช่วยลดความเครียดแถมยังช่วยเพิ่มความผ่อนคลายให้กับร่างกายได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะดาร์กช็อกโกแลตที่มีโกโก้ 70% ขึ้นไป ก็จะมีแมกนีเซียมในปริมาณสูงมากๆแบบนี้พอคุณสาวๆ กินดาร์กช็อกโกแลตเข้าไปแล้ว ก็จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวตุบๆ จากไมเกรนให้ดีขึ้นนั่นเอง
➌ แครอทและมันเทศ
ถ้าจะมองหาแหล่งอาหารที่มี‘ เบต้าแคโรทีน ’ปริมาณสูงเราก็ขอบอกเลยค่ะว่าแครอทและมันเทศก็ถือเป็นอาหารสองชนิดที่อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนแถมยังมีแร่ธาตุและสารอาหารอีกหลายชนิด ที่โดดเด่นในเรื่องการต้านการอักเสบให้ร่างกายอีกด้วยนะเราเลยอยากแนะนำให้คุณสาวๆ ที่เป็นไมเกรนและมีอาการปวดหัวอยู่บ่อยๆ หันมากินแครอทและมันเทศเป็นประจำด้วยนะคะ
โดยเฉพาะมันเทศรสชาติหวานละมุนลิ้นก็ไม่ได้มีดีแค่รสชาติที่อร่อยเหาะเท่านั้น แต่ยังอุดมไปด้วยวิตามินซี, ทองแดง, แมงกานีส, กรดแพนโทเทนิก, ไนอะซิน, โพแทสเซียม, วิตามินบี และฟอสฟอรัสซึ่งแร่ธาตุและสารอาหารเหล่านี้ก็จะรวมพลังกันไปช่วยบรรเทาอาการปวดหัว รู้สึกสมองโล่งสบายขึ้น
➍ ควินัว
อาหารสุขภาพที่สาวซิสสายเฮลท์ตี้ต้องคุ้นหน้า คุ้นตา และคุ้นปากอยู่แล้วก็คงหนีไม่พ้นควินัวนี่แหละค่ะซึ่งควินัวก็เป็นธัญพืชเทียมที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายถั่ว กินเข้าไปแล้วให้ประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่างจนได้รับฉายาว่าเป็น Super Food เพราะมีคุณค่าทางสารอาหารมากมายเลยนั่นเองค่ะ
โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาสุขภาพอย่างโรคไมเกรนก็ควรกินควินัวเป็นประจำเพราะควินัวอุดมไปด้วยโปรตีนและวิตามินบี นอกจากนี้ยังเป็นอาหารที่อ่อนโยนต่อระบบทางเดินอาหาร เลยเหมาะจะกินในช่วงที่โดนอาการปวดหัวจากไมเกรนโจมตีแบบสุดๆซึ่งสามารถทำอาหารแสนอร่อยจากควินัวได้หลายเมนูเลยนะ เช่น สลัดควินัว ข้าวผัดควินัว โจ๊กควินัว หรือจะนำไปผสมในเมนูของหวานต่างๆ ก็เลือกได้ตามใจชอบเลย
➎ กาแฟ
หลายคนอาจเคยได้ยินมาแล้วว่าการดื่มกาแฟมากเกินไปนั้นไม่ดีต่อร่างกายสักเท่าไหร่แต่เอาจริงๆ ถ้ารู้จักดื่มกาแฟในปริมาณที่พอเหมาะพอดี ก็ส่งผลดีและช่วยแก้ปัญหาสุขภาพบางอย่างได้เหมือกันนะ
ช่วงไหนที่สาวซิสรู้สึกปวดหัวตุบๆ จนทำให้รำคาญใจและไม่สบายตัว ก็ลองใช้วิธีดื่มกาแฟสัก 1 - 2 แก้วก็อาจช่วยไล่อาการปวดไมเกรนให้หายไปได้เพราะคาเฟอีนที่มีอยู่ในกาแฟจะเข้าไปช่วยทำให้หลอดเลือดที่มีการขยายตัวผิดปกติ หดตัวหลับมาเป็นปกติได้อีกครั้ง เลยช่วยบรรเทาอาการปวดหัวที่เกิดขึ้นจากไมเกรนได้แต่เราขอเน้นย้ำแรงๆ อีกครั้งนะคะว่าการดื่มกาแฟให้ดีต่อสุขภาพ ควรดื่มในปริมาณเพียงเล็กน้อยก็พอแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะกลายเป็นติดกาแฟแล้วส่งผลร้ายมากกว่าผลดีเอาได้นะ
➏ ขิง
สมุนไพรหลายชนิดก็สามารถนำมาใช้กินเพื่อแก้ปัญหาสุขภาพได้หลายด้านเลยนะคะอย่างขิงสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อนก็เป็นหนึ่งในอาหารที่สาวๆ ที่เป็นไมเกรนควรกินเป็นประจำเพื่อบรรเทาอาการปวดหัวตุบๆ ที่เกิดขึ้นจากไมเกรนให้หายวับไปเพราะว่าขิงมีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบ พร้อมทั้งขัดขวางการสร้าง‘ พรอสตาแกลนดิน ’ตัวการร้ายที่ทำให้เกิดอาการปวดได้ด้วยเช่นกัน
เมื่อไหร่ก็ตามที่โดนอาการปวดไมเกรนจู่โจมลองชงขิงผงสำเร็จรูปกับน้ำร้อน แล้วดื่มทุกๆ 1 - 2 ชั่วโมง ก็จะช่วยลดอาการปวดหัวและทำให้รู้สึกดีขึ้นได้ หรืออาจจะใช้ขิงสดเป็นส่วนผสมในเมนูอาหารจานอร่อยก็ได้เหมือนกันคอนเฟิร์มเลยว่าขิงจะช่วยชูรสเผ็ดร้อน และทำให้อาการปวดไมเกรนดีขึ้นแน่นอนค่ะ
➐ น้ำเปล่า
อ๊ะๆ สำหรับใครที่ไม่ค่อยได้ทำอาหารกินเองสักเท่าไหร่ เน้นซื้อกินจากข้างนอกมากกว่าเพื่อความสะดวกสบาย ก็ไม่ต้องกังวลว่าพอมีอาการปวดไมเกรนแล้วจะไม่มีอะไรกินแก้ปวดหรอกนะคะเพราะแค่สาวๆ ซื้อน้ำเปล่ามาตุนเอาไว้ในห้องครัว ก็สามารถหยิบมาเป็นตัวช่วยเพื่อต่อสู้กับไมเกรนได้ดีสุดๆ แล้วล่ะ
หลายคนเวลามีปัญหาสุขภาพหรือมีโรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้นกับตัวเอง ก็มักจะมองหาอาหารบำรุงร่างกายหลากหลายชนิดมากินเป็นตัวช่วยเสริม แต่ดันมองข้ามน้ำเปล่าที่ถือเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นต่อร่างกายมากที่สุดไปซะสนิทแล้วพอร่างกายได้รับน้ำเปล่าไม่เพียงพอต่อความต้องการก็อาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำแล้วส่งผลให้อาการปวดไมเกรนยิ่งรุนแรงขึ้นกว่าเดิมได้เพราะฉะนั้นขอให้ตั้งกฎเหล็กกับตัวเองไว้เลยนะคะว่า ต้องดื่มน้ำเปล่าให้ได้มากที่สุดในแต่ละวัน หรืออย่างน้อยๆ ก็ต้องดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว
✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿
เป็นยังไงบ้างคะ? หลังจากที่ได้ลองส่องความดีงามของไปจนครบทั้ง 7 เมนูแล้วเนี่ย เราเชื่อว่าคงเป็นเมนูที่สาวๆ คุ้นหน้าคุ้นตากันดีอยู่แล้ว แถมยังหาซื้อได้ตามตลาดหรือซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไปได้เลยนะดังนั้น ถ้าใครมีอาการปวดหัวเพราะไมเกรนอยู่บ่อยๆ จนมันกระทบต่อการใช้ชีวิต ก็ลองกินอาหารเหล่านี้เพื่อบรรเทาอาการปวด และเพิ่มความผ่อนคลายกันดูนะคะ แต่สิ่งสำคัญถ้าไม่อยากโดนไมเกรนเล่นงานหนักไปมากกว่านี้ ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องด้วยล่ะ ( ＾∇＾)
