สวัสดีค่ะ สาวๆSistaCafeที่ตื่นตัว ใส่ใจในเรื่องสุขภาพร่างกายทุกคนความเจ็บป่วยอันดับต้นๆ ที่เชื่อว่าไม่มีใครอยากเป็น ก็คงหนีไม่พ้นที่คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วมากมายหลักล้านคน แม้วิทยาการรักษาในปัจจุบันจะล้ำหน้าไปมากแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถกำจัดหรือยับยั้งเชื้อมะเร็ง หรือการแบ่งเซลล์ในร่างกายที่ผิดปกติจนทำลายระบบต่างๆ ในร่างกายนี้ได้ 100% อยู่ดีใครโชคดีตรวจเจอระยะแรกๆ ก็มีโอกาสเข้ารับการรักษา ทำคีโมจนโรคสงบหรือหายขาดได้ แต่ถ้านิ่งนอนใจจนไปเจออีกทีก็ระยะเกือบสุดท้ายแล้ว ถึงพาส่งโรงพยาบาลทันทีก็อาจจะสายเกินไปเช่นกันการตรวจสุขภาพประจำปี แม้จะเป็นสิ่งที่ควรทำอยู่แล้ว แต่สำหรับโรคมะเร็งบางชนิด การเว้นช่วงตรวจแค่ปีละครั้งก็อาจใช้เวลานานเกินไปเธอต้องทำควบคู่ไปกับการฟังอาการแปลกๆ จากร่างกายที่ส่งสัญญาณออกมาด้วย ว่ามีอะไรที่ผิดปกติไปจากเดิมบ้างหรือเปล่า ถ้าไม่แน่ใจว่าแบบไหนคือน่าเป็นห่วง เรารวบรวมมาให้แล้วใน' 7 อาการบ่งชี้มะเร็งในผู้หญิง รู้ก่อนรักษาก่อน 'หากสาวๆ คนไหนมีสัญญาณเหล่านี้แม้แต่ข้อเดียว ขอให้รีบปรึกษาหมอเพื่อตรวจอย่างละเอียดโดยด่วน!

1. แรงดันในส่วนล่างของหน้าท้อง ( Lower Part of Your Abdomen )

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/d193edc7bbc7067cb8e961d6781f1ea9.jpg

อาการแรกที่ควรเฝ้าระวังคือ หน้าท้องส่วนล่าง หรือเรียกง่ายๆ ว่าท้องน้อย ' เหมือนมีอะไรกดทับไว้ ' ไม่สบายท้อง


อยากจะลุกเข้าห้องน้ำไปปัสสาวะบ่อยขึ้น บางทีเข้าแทบทุกชั่วโมง ทั้งที่ไม่ได้ดื่มน้ำเยอะขนาดนั้น สะดุ้งตื่นกลางดึกคืนละหลายรอบเพื่อไปปัสสาวะ ท้องอืด รู้สึกอิ่มแปล้เกินไปจนอยากจะอาเจียนหลังมื้ออาหารทุกครั้ง ทั้งที่ไม่ได้กินบุฟเฟ่ต์ ไม่ได้กินเยอะด้วยซ้ำ

รวมถึงอาการอึดอัด ปวดช่วงท้องน้อย ปวดกระดูกเชิงกราน และที่สำคัญคือมีพฤติกรรมการขับถ่ายที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด เช่น ท้องผูก ท้องเสีย ไม่สามารถขับถ่ายได้อย่างเป็นปกติ


นี่อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรค ' มะเร็งรังไข่ ' ได้ค่ะ

2. มีเลือดปนในอุจจาระ

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/32342683cd7f9264fbc5281de0092543.jpg

สัญญาณอันดับสอง ที่อยากให้สาวๆ คอยหมั่นตรวจเช็กทุกครั้งที่เสร็จธุระในห้องน้ำก็คือ ' มีเลือดปนในอุจจาระ ' หรือไม่ เพราะถ้ามีแม้ในปริมาณน้อย ก็อาจเป็นอาการแรกเริ่มของโรค ' มะเร็งลำไส้ 'ได้


โดยสีของเลือดอาจเป็นสีแดงสด หรือสีแดงเข้มเหมือนเลือดแห้งๆ ยิ่งถ้าปนอยู่ในอุจจาระแบบแยกจากกันไม่ออก  ก็มีแนวโน้มเป็นมะเร็งลำไส้สูงขึ้น

นอกจากนี้ก็ยังมีอาการอื่นๆ ที่เข้าข่าย เช่น ระบบขับถ่ายผิดเพี้ยนไปจากเดิม เช่น เข้าห้องน้ำจำนวนครั้งบ่อยกว่าปกติ ทั้งที่กินอาหารเหมือนเดิม ไม่ได้กินยาระบายหรืออาหารเสริมอื่นๆ, อุจจาระมีลักษณะเหลว ไม่เป็นก้อน หรือเกิดอาการท้องผูก มีลมในท้อง ผู้ป่วยโรคมะเร็งลำไส้มักพบว่าตัวเองต้องออกแรงเบ่งมากๆ จนหน้าดำหน้าแดงเพื่ออุจจาระ

มีอาการถ่ายไม่สุด ปวดเบ่ง ทั้งที่ขับถ่ายจนหมดไส้หมดพุงแล้ว ก็ยังรู้สึกยังมีอาการปวดถ่ายอยู่ เป็นต้น อีกอาการที่ค่อนข้างชัดเจนก็เช่น ก้อนในหน้าท้อง, เจ็บปวดช่วงหน้าท้อง, น้ำหนักลดผิดปกติและโรคโลหิตจางค่ะ

3. เต้านมมีลักษณะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/7366162aee26b580e09bfba0e11d5659.jpg

ข้อสาม มาถึงสัญญาณที่เชื่อว่าสาวๆ หลายคนกลัวมากที่สุดก็คือ' โรคมะเร็งเต้านม 'ที่เห็นได้ชัดจาก ' ลักษณะเต้านมภายนอกที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ' ระยะแรกเริ่มจะคลำได้ก้อน โดยเซลล์มะเร็งจะดึงผิวหนังย้อนกลับเข้าไปข้างใน จึงทำให้เกิดเป็นรอยบุ๋ม รอยนูนที่พื้นผิวของเต้านม,

เต้านมมีลักษณะหยาบ รูขุมขนกว้างคล้ายผิวส้มอย่างชัดเจน, หัวนมมีรูปร่างหรือสีที่เปลี่ยนแปลงไป, สีบริเวณลานนมเปลี่ยนแปลง ในบางรายอาจเป็นสีแดงและนุ่มขึ้นกว่าเดิม ก็มีได้เช่นกันค่ะ

หลักๆ คือผู้ป่วยมะเร็งเต้านมจะมีหัวนมที่ผิดปกติ หรือเจ็บปวดเต้านมทั้งที่ไม่ได้อยู่ในช่วงมีประจำเดือน แต่ส่วนใหญ่ก้อนในเต้านมที่เป็นเซลล์มะเร็งมักจะคลำแล้วไม่เจ็บ แต่กดแล้วแข็ง ไม่กลิ้งไปตามแรงกดของเรา และมีลักษณะที่ขรุขระ ไม่เรียบ

ส่วนใหญ่มักเจอแค่เต้านมข้างเดียว แต่ถ้าปล่อยให้ลุกลาม ก็อาจเป็นได้ทั้งสองข้าง ดังนั้นถ้าคลำเจอก็รีบไปหาหมอโดยด่วนที่สุด เพื่อชีวิตของเธอเองนะคะซิส

4. มีตกขาว/ระดูขาวที่ผิดปกติ

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/308f27ac58870c6a784fcb1f6bbe545b.jpg

ข้อสี่ ตามหลักการแพทย์แล้ว จะมี

โรคมะเร็งที่เกิดขึ้นเฉพาะผู้หญิงอยู่ 5 ชนิด คือ มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก ( endometrial ) , มะเร็งรังไข่ ( ovarian ) , มะเร็งปากมดลูก ( cervical ) , มะเร็งช่องคลอด ( vaginal ) และมะเร็งปากช่องคลอด ( vulva )


หากโชคร้ายเป็น 1 ใน 5 โรคนี้อาจทำให้สาวๆ มีระดูขาว หรือตกขาวผิดปกติได้ค่ะ

เมื่อเซลล์มะเร็งพัฒนา เติบโตและนำเลือดมาหล่อเลี้ยงตัวเอง เซลล์ที่อยู่บนพื้นผิวด้านหน้าจะตายและหลุดเข้าไปในช่องคลอด ผสมปนเปกับเลือด ซึ่งอาจทำให้มีระดูขาวไหลออกมาเป็นเลือด มีกลิ่นไม่พึงประสงค์


บางครั้งอาจออกมาเป็นเลือดสีน้ำตาลและมีลักษณะเหลวๆ ลื่นๆ หากมีความผิดปกติเหล่านี้ ให้รีบไปปรึกษาหมอเพื่อวินิจฉัยโดยด่วน อย่าทำเป็นเล่นโดยเด็ดขาด!

5. น้ำหนักลดฮวบฮาบแบบผิดปกติ ทั้งที่ไม่ได้ไดเอทอยู่

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/83ffe0f3f115021ebff1b17a24de89d7.jpg

ข้อห้า อันนี้สำคัญเลย! เข้าใจว่าความฝันของสาวๆ ส่วนใหญ่ก็คือน้ำหนักลด มีรูปร่างผอมเพรียว แต่ช้าก่อน!


ถ้าขึ้นตาชั่งทีไรตัวเลขก็ลดฮวบๆ กระดูกเริ่มโผล่ ส่องกระจกตัวเช้าก็ตัวผอมลงทุกวัน ทั้งที่ไม่ได้คุมอาหารหรือใช้แรงงาน ออกกำลังกายเป็นพิเศษ แบบนี้เริ่มใจคอไม่ดีแล้ว เพราะมันอาจเป็นสัญญาณของโรคมะเร็งได้ค่ะ

ไม่ใช่แค่ตัวเธอเท่านั้น แต่สอบถามผู้ใหญ่ในบ้านไว้เสมอว่า ใครที่อายุเกิน 60 ไปแล้ว มีใครที่อยู่ดีๆ น้ำหนัก 5% ในร่างกายลดฮวบในเวลาอันรวดเร็ว และไม่ได้ไดเอทอยู่ เป็นเวลาเกิน 6 เดือน คือลดลงเรื่อยๆ ทุกเดือน ให้รีบหาหมอด่วน

เพราะแม้จะโชคดีไม่ใช่มะเร็ง ก็อาจเป็นโรคร้ายอื่นๆ ที่ต้องเฝ้าระวังแทน เช่น โรคเบาหวาน โรคสมองเสื่อม โรคหัวใจล้มเหลว หรือภาวะมีแอลกอฮอล์ในเลือดมากเกินไป เป็นต้น


*ใครที่น้ำหนักเกินมากๆ และไม่ค่อยชั่งน้ำหนักอาจสังเกตได้ยาก เพราะระยะแรกๆ รูปร่างก็ยังเหมือนเดิม กว่าจะผอมสะดุดตาก็อาจระยะสุดท้ายได้แล้ว อีกทั้งโรคอ้วนยังเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งด้วย ดังนั้นชั่งน้ำหนักบ่อยๆ และดูแลสุขภาพ ออกกำลังกายทุกวันจะดีที่สุด

6. ลักษณะไฝเปลี่ยนแปลง มีเนื้องอกขึ้นไม่มีสาเหตุ ( และเม็ดโตขึ้นเรื่อยๆ )

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/61180722e88f6f5485898fcbe9795417.jpg

ข้อหก ฟังแล้วค่อนข้างน่ากลัว กับการที่มี' ไฝหรือเนื้องอกประหลาด 'เป็นตุ่มๆ ก้อนๆ ขึ้นมาบนผิวหนัง แต่ซิสทุกคนก็ควรเช็กตัวเองอยู่เสมอ


คอยคลำหา หรือสัมผัสผิวทุกส่วนในร่างกาย ดูว่ามีผิวหนังส่วนใดที่เจริญเติบโตผิดปกติบ้างหรือไม่ เพราะนั่นอาจเป็นอาการเริ่มต้นของ ' โรคมะเร็งผิวหนัง ' ได้นั่นเองค่ะ

ในปัจจุบันนี้ผู้ป่วยโรคมะเร็งผิวหนังมีมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง จึงต้องใส่ใจเหล่าไฝ จุดต่างๆ ตามผิวหน้า แขน ขา ข้อพับ ก้น แผ่นหลัง ถ้าไฝมีอาการคันคะเยอ เลือดออก


หรือถ้ามีเนื้องอกให้สังเกตว่า ถ้าเป็นตุ่มก้อนที่ไม่กลมเรียบ ไม่สมมาตรกัน, ขอบเป็นรอยหยักขรุขระ, สีออกน้ำเงิน ดำ น้ำตาลหรือชมพู, มีเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่กว่า 6 มิลลิเมตร ก็ชัดเลยว่าผิดปกติ ไปตรวจก่อนจะสายเกินแก้นะจ๊ะ

7. ปวดหัวบ่อยๆ ไม่มีสาเหตุ แต่ละครั้งปวดหนักมากจนใช้ชีวิตไม่ได้

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/cdab94f43a3d75b679ec6d1681eb7373.jpg

ข้อสุดท้าย ก็เป็นสัญญาณที่น่ากลัวไม่แพ้กันของ' โรคมะเร็งสมอง 'ที่แม้จะพบได้ยากมากๆ แต่ก็เกิดขึ้นได้ ซึ่งระยะเริ่มต้นมักจะมาด้วยอาการปวดหัวบ่อยๆ แบบไม่รู้สาเหตุ แต่ละครั้งที่ปวดก็จะปวดรุนแรงมาก

ปวดจนต้องอัดยาพาราครั้งละหลายเม็ด ปวดจนใช้ชีวิตประจำวันไม่ได้ ต้องนอนพักเฉยๆ และมักจะพ่วงมากับอาการเวียนหัว คลื่นไส้อาเจียนด้วยค่ะ

หากเป็นมะเร็งสมอง เนื้องอกจะโตขึ้นจนเกิดแรงดันในกระโหลกด้านใน ทำให้ทัศนวิสัยหรือการมองเห็นแย่ลง จากที่เห็นภาพชัดเจนก็จะเบลอๆ เป็นฝ้าหมอก บางคนคิดว่าเป็นแค่โรคลมชัก แต่เมื่อเข้าเครื่องตรวจ MRI และ CT Scan แล้วจึงพบเนื้องอก


รวมถึงอาการอ่อนแรงซีกใดซีกหนึ่งของร่างกาย มีอาการกลืนลำบาก พูดลำบาก ความคิดสับสน บุคลิกเปลี่ยน ความจำขาดๆ หายๆ ให้รีบปรึกษาหมอโดยทันที เพื่อเข้ารับการรักษาก่อนจะลุกลามไปกว่านี้นะคะ

---------------------------------

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ไม่แน่ใจว่ามีสาวๆ คนไหนที่มีอาการส่อแววน่าเป็นห่วงบ้าง #บีบมือให้กำลังใจ ใครที่เช็กทุกข้อแล้วผ่านฉลุยก็ยินดีด้วย แต่ใครที่เริ่มมีความเอ๊ะ รู้สึกเหมือนจะใช่ ตรงนี้คลำดูก็เหมือนจะเป็นก้อน ประจำเดือนก็ไม่ค่อยปกติ แนวๆ นี้อย่านิ่งเฉยเป็นอันขาด รีบนัดหมอตรวจให้เร็วที่สุด เพราะการมีเนื้องอกหรืออาการผิดปกติ ไม่ได้หมายถึงโรคมะเร็งเสมอไป อาจเป็นโรคอื่นๆ ก็ได้ ดังนั้นไปตรวจกับหมอเฉพาะทางให้แน่ใจจะดีกว่า เพื่อความสบายใจและเป็นประวัติผู้ป่วยเก็บไว้เผื่อเหตุฉุกเฉินในอนาคตด้วยค่ะ ยังไงก็ไม่มีอะไรเสียหายอยู่แล้วเนอะก่อนจะลาจากกันไป ขอให้สาวซิสโชคดี ไม่มีอาการที่ต้องกังวล สุขภาพดี เฮลตี้กันทุกคนนะคะ พยายามหาเวลาออกกำลังกาย กินอาหารดีๆ รักษาสุขภาพ นอนหลับให้เพียงพอ ไม่เครียด จะได้ลดโอกาสการเกิดโรคมะเร็งนะคะ วันนี้ขอตัวลาไปก่อน พบกันใหม่คราวหน้า บ๊ายบายค่า