บทที่ 25

“เดี๋ยวค่ะ เราจะกินมื้อกลางวันที่ร้านนี้เหรอคะ” มิราวดีทักท้วงขึ้นเมื่อมองร้านสุดหรูตรงหน้า หรูหราจนไม่กล้าก้าวลงจากรถด้วยซ้ำ

“คุณไม่หิวเหรอ หรือคุณไม่ชอบ ผมเปลี่ยนร้านดีไหม”

หญิงสาวถอนหายใจออกมา นั่นใช่ซะที่ไหนกัน เพราะเป็นร้านหรู แค่ดูจากภายนอกก็รู้ว่าราคาต้องแพงหูฉี่

“หรือว่าคุณกำลังกังวลเรื่องเงิน” รชตพูดโดยอ่านผ่านสีหน้าของหญิงสาว “คุณเป็นภรรยาผมแล้ว ทำไมต้องกังวลเรื่องนี้อีก”

“ไม่ค่ะ ฉันก็แค่ยังไม่ชินที่เดินเข้าร้านอาหารแพง ๆ ก็เท่านั้น”

รชตมองยิ้มที่มุมปากและพูดขึ้น

“ลงกันเถอะ ผมหิวแล้ว ถ้านานกว่านี้ผมอาจจะ”

“งั้นไปกันเถอะค่ะ” เธอรีบพูดตัดบทอย่างรวดเร็ว เดาไม่ได้ว่าคำพูด

ต่อท้ายจะเป็นอะไรแต่คิดว่าต้องเป็นคำที่ชวนให้หัวใจระส่ำระส่ายเป็นแน่

ร้านอาหารหรูนี้ครอบคลุมพื้นที่หลายตารางเมตร บรรยากาศภายในเป็นโทนคลาสสิกสีน้ำตาล บนเพดานและกำแพงมีหลอดไฟเล็กประดับเรียงราย สร้างความอบอุ่นและสบายตาให้แก่ผู้คนเดินเข้าออกไปมา และเพลิดเพลินไปกับการสนทนาระหว่างมื้ออาหาร ที่นี่ดูแล้วเหมือนเป็นสถานที่โรแมนติกสำหรับคู่รักนัดมาเดตกันมากกว่า ดวงตากลมกลอกมองรอบ ๆ ขณะที่สาวเท้าเดินอยู่ข้างชายหนุ่ม

“ผมจองโต๊ะไว้แล้ว”

“คุณรชตใช่ไหมครับ” บริกรหนุ่มสอบถาม เมื่อเขาพยักหน้าอีกฝ่ายจึงให้คนนำทางไปยังโต๊ะที่จองไว้

เมื่อมาถึงโต๊ะที่จองไว้ ซึ่งค่อนข้างเป็นมุมส่วนตัว ไม่มีคนเดินผ่าน หญิงสาวนั่งลงและมองเมนูที่ขึ้นผ่านทางหน้าจอข้าง ๆ ตัว

“คุณชอบกินอะไรเป็นพิเศษไหม”

“ฉันกินอะไรก็ได้ค่ะ” เป็นคำตอบคลุมเครือ เพราะตัวเธอก็ไม่ชินกับอาหารหรูหราราคาแพงมากนัก แม้จะเคยไปเลี้ยงลูกค้าอยู่บ้างแต่ราคาไม่ได้แพงมากมายขนาดนี้ ที่สำคัญที่นี่เหมือนร้านที่แบ่งชนชั้นและแบ่งโลกเป็นสองใบออกจากกันอย่างสิ้นเชิง เคยอ่านจากข่าวมาว่าถ้าไม่มีเส้นสาย หรือไม่รวยจริง จองเป็นปีก็อาจจะยังไม่ได้คิวด้วยซ้ำ

รูปภาพ:

“งั้นผมจะสั่งให้คุณ” เขาตัดสินเองและสั่งอาหารไปในทันที ก่อนจะเอ่ยพูดต่อไปว่า “เพราะผมรู้ว่าคุณคงตัดสินใจในวันนี้ไม่ได้แน่นอน”

“คุณ” มิราวดีผ่อนลมหายใจออกมา นั่นเป็นความจริงเพราะดูราคาแล้วก็ลังเลใจที่จะสั่ง “คุณพูดเหมือนอ่านใจฉันได้อีกแล้วนะคะ”

“หึ” รชตหัวเราะในลำคอ “หน้าคุณแสดงออกขนาดนั้น ผมไม่จำเป็นต้องอ่านใจคุณหรอก แต่ว่า”

“แต่ว่าอะไรเหรอคะ”

“ถ้าเรื่องความรู้สึกของคุณที่มีต่อผม บางทีผมก็อยากจะอ่านใจของคุณได้” น้ำเสียงและสายตาจริงจังของอีกฝ่ายทำให้มิราวดีนั่งอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก ไม่ใช่ว่าดีใจหรือตกใจ แต่หากเป็นความสับสนและกระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูก เขาต้องการที่จะรู้เรื่องความรู้สึกของเธอ แต่ในขณะเดียวกันกลับไม่ยอมบอกความรู้สึกของเขาที่มีต่อเธอด้วยซ้ำ จะให้เธอพูดออกมาได้อย่างไร หากบอกไปแล้วถ้าเกิดกลายเป็นความอึดอัดภายหลัง ไม่แย่เอาเหรอ

“ความรู้สึกของฉันที่มีต่อคุณเหรอคะ” มิราวดีตอบและยิ้มก่อนจะพูดต่อไปว่า “ฉันไม่รู้เหมือนกันค่ะ เพราะฉันยังไม่พร้อมในตอนนี้ คุณก็น่าจะรู้ใช่ไหมคะ ว่าฉันแต่งงานกับคุณเพราะอะไร”

รชตยิ้มแล้วส่งสายตามองเธอโดยที่ไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมา เขาไม่ได้คาดหวังให้เธอรักเขาตอนนี้ วันนี้ หรือพรุ่งนี้ นั่นเพราะเป็นสิ่งที่หัวใจหวาดกลัวมากที่สุด

“อาหารมาแล้ว” เขาเปลี่ยนเรื่องทันทีที่อาหารถูกนำมาเสิร์ฟ

มิราวดียิ้มตอบ แม้ว่าคำพูดเมื่อครู่จะทำให้รู้สึกอึดอัดที่ต้องนั่งมองจ้องหน้าเขา แต่ก็ยังดีกว่าพูดความรู้สึกของเธอออกไป ยิ่งนับวันยิ่งรู้สึกกลัวหัวใจตัวเองขึ้นมา หากว่าวันหนึ่งการแต่งงานนี้สิ้นสุดลง ก็อยากจะเก็บความทรงจำและทิ้งเหตุผลที่เขาขอเธอแต่งงานไป

แสงไฟจากหลอดขนาดเล็กสีส้มภายในห้องลับจับสัญญาณผ่านระบบเซ็นเซอร์ ทันทีที่มีคนเดินผ่านและไฟตามทางก็ค่อย ๆ ส่องสว่างขึ้น เสียงฝีเท้าเดินย่ำกายเข้าไปจนกระทั่งหยุดลง ไฟทุกดวงในห้องส่องสว่างขึ้น นัยน์ตาคมมองไปยังโต๊ะหินขนาดใหญ่ที่มีแผ่นหินสลักวางอยู่ ทางขวาของหินสลักมีมีดโบราณเล่มหนึ่งวางอยู่บนพาน และทางซ้ายมีคัมภีร์วางอยู่บนพานเช่นกัน ด้านหน้าของหินสลักมีกล่องโบราณขนาดเล็กที่ใส่กุญแจอย่างดีวางอยู่เหมือนเป็นเครื่องเซ่นบูชา

เขาเอื้อมมือไปสัมผัสแผ่นหินด้วยสายตาที่เจ็บปวด ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เทพพระเจ้าจะเลิกเล่นตลกกับชีวิตมนุษย์สักที ในตำราโบราณไม่เคยมีการบันทึกไว้ถึงเรื่องการแก้คำสาปนี้ อีกทั้งเสียงเล่าลือก่อนหน้าที่เขาจะเกิดหลายร้อยปี กลับมีแต่บอกว่ามันคือของขวัญจากเทพเจ้าที่มอบให้มนุษย์อีกไม่นานทุกอย่างจะสิ้นสุดลง

รชตหลับตาลงพลางสูดลมหายใจเข้า เขาไม่มีวันลืมความปรารถนาของตนเอง ทั้งที่ความบาดลึกในหัวใจและความกลัวนั้นกำลังก่อเกิดขึ้นมา

“แน่ใจแล้วจริง ๆ เหรอ” เสียงของอาโปดังขึ้นทางด้านหลังก่อนที่จะปรากฏกายออกมา ทุกครั้งและเกือบทุกวันที่เขามักเห็นชายหนุ่มเข้ามาในห้องนี้ยืนมองและสัมผัสแผ่นหินสลักด้วยความทรมาน

“นายพูดอย่างนี้หมายความว่าอะไร”

อาโปส่งสายตามองบ่นอย่างหน่าย ๆ เพราะสีหน้าของรชตนั้นแตกต่างไปจากทุกครั้งที่เห็น ไม่ใช่เพราะการรอหรือความทรมานจากคำสาป แต่เป็นความสับสนที่แม้แต่เจ้าตัวก็ได้ทิ้งไปนานแล้ว

“นายกำลังทำให้เธอรัก ในขณะที่นายก็กำลังรักเธอ ไม่ใช่เหรอ”

สายตาเฉียบนิ่งของรชตหันมองเจ้าไก่ตัวสีขาวแล้วตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชากลับ “เรื่องนั้นไม่สำคัญ”

สิ่งที่อาโปถามไม่ได้ต้องการยืนยันความรู้สึกของอีกฝ่าย แต่เขาเพียงอยากรู้ว่าแน่ใจแล้วอย่างนั้นหรือที่จะเล่นเกมตามโชคชะตาที่กำลังหมุนวนไปไม่อาจหลีกได้ เทพเจ้าแห่งโชคชะตาอาจจะกำหนดชะตามนุษย์ได้ แต่ไม่มีทางกำหนดความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ได้

“นายก็ควรรีบบอกเธอ”

โปรดติดตามตอนต่อไป....

ขอบคุณทุกการติดตามนะคะ เรื่องนี้ช่วงครึ่งเล่มเเรกจะเรื่อย ๆ มาก เน้นความสัมพันธ์ของตัวละคร ช่วงหลังนี่จัดเต็มค่า 555555 + หากชอบฝากกดหัวใจ กดเเชร์ เเละกดติดตามนักเขียนได้ที่เพจ FB : Mamaya Writer เพื่ออัปเดตข่าวสารนะคะ

รูปภาพ: