*~บทที่ 21~*

ในช่วงค่ำของคืนหนึ่งเมื่อสามเดือนก่อน ฝนฤดูหนาวโปรยปรายตกลงมาตั้งแต่ช่วงเย็น ส่งผลให้อุณหภูมิอากาศที่ต่ำอยู่แล้ว ต่ำลงยิ่งกว่าเดิมเป็นทวีคูณ อีกทั้งยังส่งผลให้สภาพอากาศที่ค่อนข้างหนาว และแปรปรวน ยิ่งหนาวเย็นจนสุดขั้วหัวใจ

ศัลยแพทย์หนุ่มขับรถสีขาวคันใหญ่ออกมาจากที่จอดรถของโรงพยาบาล เพื่อกลับไปยังรังรักของเขาอย่างเบิกบานใจตามประสาของคนมีคู่ที่ออกมาอยู่ด้วยกันเพียงลำพังสองต่อสอง วันนี้เป็นวันเกิดของพิมพ์ประภัสร์คนรักของเขา ชายหนุ่มตั้งใจที่จะทำให้เธอประหลาดใจด้วยของขวัญ และอาหารค่ำที่เขาได้ตระเตรียมวัตถุดิบไว้ตั้งแต่เมื่อเย็นวาน เพื่อบรรจงปรุงแต่ง และประกอบอาหารให้เธอรับประทานด้วยตนเอง คุณหมอหนุ่มจึงต้องรีบกลับไปยังที่พัก ก่อนที่เธอจะกลับมาสักเล็กน้อยเพื่อที่จะได้มีเวลาทำอาหารสุดพิเศษมื้อนี้

ท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างไม่ขาดสาย ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังขับรถอยู่นั้น ได้เหลือบไปเห็นหญิงสาวในชุดพยาบาลที่เขาคุ้นตากำลังยืนตากฝนเหมือนกำลังมองหาอะไรบางอย่างอยู่ คุณหมอหนุ่มขับรถชิดฟุตบาทเพื่อที่จะเข้าไปเรียกเธอใกล้ๆ ให้ขึ้นรถมาด้วยกัน

“ ทับทิม!!...ออกมายืนตากฝนทำไม ?? ” คุณหมอร้องเรียก

พยาบาลสาวหันมาทำท่าจะตอบ แต่ทว่าหมอหนุ่มกลับเรียกให้เธอรีบขึ้นมาบนรถโดยเร็วก่อนที่เธอจะเปียกปอนไปมากกว่านี้

หญิงสาววิ่งอ้อมมาขึ้นรถตามที่คุณหมอสั่ง เขาเห็นว่า เธอตัวเปียกโชกอย่างเห็นได้ชัดเมื่ออยู่บนรถ

“ เอาเสื้อคลุมพี่ไปห่มก่อน เดี๋ยวพี่ลดแอร์ลงให้...คุณจะได้ไม่หนาว ” ชายหนุ่มบอก พลางส่งเสื้อคลุมจากหลังรถให้แก่เธอ แล้วปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศภายในรถให้ลดลง

“ ขอบคุณค่ะพี่หมอ...ทับทิมแค่ออกมายืนเรียกแท็กซี่เพื่อที่จะกลับห้องเท่านั้นเอง ” เธอว่า

“ เอาเถอะ...เดี๋ยวพี่ไปส่งให้ก็ได้ ห้องคุณกับคอนโดฯ พี่ก็ห่างกันไม่เท่าไหร่ ” เขาบอก

“ ขอบคุณค่ะ ” เธอฉีกยิ้มตอบรับในไมตรีที่เขาหยิบยื่น

รถสีขาวคันใหญ่ของศัลยแพทย์หนุ่มมุ่งตรงไปยังท้องถนนเพื่อไปส่งพยาบาลสาว แต่ทว่าหนทางที่ไปหอพักของเธอนั้นกลับคลาคล่ำไปด้วยรถรา และยวดยานพาหนะที่ติดหนักอยู่ตรงสี่แยกไฟแดง

พยาบาลสาวเริ่มหนาวสั่นอย่างเห็นได้ชัด จนชายหนุ่มกลัวว่า หากเธออยู่ที่เย็นๆ นานเกินไปเธออาจจะเป็นหวัด

อีกทั้งเขาเองก็กลัวที่จะกลับไปทำอาหารค่ำให้คนรักของเขาไม่ทันการ

“ ทับทิม...พี่ว่า คุณไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดที่คอนโดฯ พี่ก่อนดีกว่านะ รถติดหนักขนาดนี้กว่าจะไปถึงหอพักคงเป็นหวัดก่อนพอดี ” ศัลยแพทย์หนุ่มบอกแก่เธอด้วยความเป็นห่วง

“ แต่...ทับทิมไม่มีชุดเปลี่ยนนะคะ อีกอย่างเกรงใจยายพิมพ์ด้วย ” เธอทำน้ำเสียงอิดออด

“ ไม่เป็นไรหรอก...คุณกับพิมพ์เป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ ?? เดี๋ยวยืมชุดพิมพ์เขาใส่ก็ได้นี่ ” หมอหนุ่มว่า

“ ค่ะ... ” หญิงสาวตอบรับด้วยหน้าตาที่บ่งบอกถึงความเกรงใจ ก่อนที่จะดึงเสื้อคลุมของศัลยแพทย์หนุ่มที่ห่มตัวไว้ให้รัดแน่นยิ่งขึ้น

คุณหมอหนุ่มเลี้ยวรถกลับออกมาจากเส้นทางที่มุ่งตรงไปทางสี่แยกนั้น เพื่อเปลี่ยนจุดหมายไปยังคอนโดมิเนียมของเขาแทน ชายหนุ่มจอดรถเมื่อถึงที่พัก และลงจากรถพร้อมกับทิพย์อำพัน หญิงสาวยังคงห่มเสื้อคลุมของเขาอยู่อย่างนั้นเพราะอากาศที่หนาวเหน็บจากข้างนอก ทั้งคู่ขึ้นลิฟท์ไปด้วยกัน ไม่นานก็มาถึงยังห้องพักชั้นที่สิบของคอนโดมิเนียม

หมอหนุ่มสังเกตเห็นว่า คนรักของเขายังไม่กลับมาถึงห้อง เพราะดูจากสภาพท้องถนนด้านนอกก็พอจะทราบได้ว่า การจราจรค่อนข้างติดขัด ทำให้คนรักของเขาคงยังเดินทางมาไม่ถึงไหน คุณหมอหนุ่มจึงพอมีเวลาที่จะได้ประกอบอาหารตระเตรียมไว้ให้ เขาจึงหันมาบอกให้พยาบาลสาวไปอาบน้ำเสียก่อน เพื่อที่เขาจะได้หาชุดของพิมพ์ประภัสร์มาผลัดเปลี่ยนกับชุดพยาบาลของเธอ

“ พี่หมอไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ เดี๋ยวพิมพ์ก็ไม่พอใจหรอกที่เอาของของเธอออกมาอย่างนี้ ” ทับทิมว่า

“ ไม่หรอก...พิมพ์เขาออกจะใจกว้าง ” ชายหนุ่มพูดพลางยิ้มภูมิใจในคนรักของเขา

หญิงสาวได้ยินดังนั้น จึงยิ้มออกมาอย่างพอใจ พลางส่งสายตามีเลศนัยน์ให้กับคุณหมอหนุ่ม ซึ่งขณะนี้กำลังหาผ้าผ่อนให้เธออยู่ที่ตู้เสื้อผ้า

“ อ่ะนี่!! ผ้าเช็ดตัว แล้วก็ชุดไว้สำหรับเปลี่ยน เป็นชุดกระโปรงนะ!! ” ชายหนุ่มหันหน้าออกมาจากตู้เสื้อผ้า พลางส่งชุดให้แก่เธอ

ทิพย์อำพันรีบเปลี่ยนแววตาเป็นใสซื่อทันทีที่เขาหันมา เธอรับกองผ้านั้นไว้ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูเกรงใจ

“ ดูท่าพิมพ์คงชอบชุดนี้มากแน่ๆ ทั้งสี ทั้งเนื้อผ้า ดูเป็นของมีราคา แล้วอย่างนี้พิมพ์เขาจะไม่ว่าเอาเหรอคะ ?? ”

“ ไม่ว่าหรอก...พี่เห็นเขาได้ชุดนี้มานานแล้วนะ แต่ไม่เคยเห็นเขาใส่เสียที ” คุณหมอว่า

หญิงสาวมองหน้าคุณหมอหนุ่ม แล้วพยักหน้าเชิงเข้าใจ ก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องน้ำ

ทิพย์อำพันบรรจงถอดชุดพยาบาลสีขาวที่เปียกโชกออกจากตัว จากนั้นจึงค่อยๆ ปลดสายยกทรง และกางเกงในลูกไม้สีแดงออก เผยให้เห็นร่างกายสีขาวที่ดูอ้อนแอ้น เธอเปิดน้ำที่กำลังอุ่นได้ที่จากฝักบัว จากนั้นจึงเริ่มกรีดร้องลั่นอย่างสุดเสียง และใช้มือปัดขวดแชมพู และขวดสบู่ที่อยู่บนชั้นให้กระจัดกระจาย เพื่อให้เกิดเสียงดัง ต่อจากนั้นเธอจึงค่อยๆ นอนราบไปกับพื้นเพื่อทำทีเป็นว่า เธอลื่นหกล้มหัวฟาด

“ ทับทิม!!! ทับทิม!!! เกิดอะไรขึ้น ?!!! ” เสียงหมอหนุ่มร้องถามจากหน้าห้องน้ำด้วยความตกใจ เขาถามอยู่อย่างนั้นเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากเธอ

ทิพย์อำพันแกล้งทำทีเป็นนอนนิ่ง เพื่อให้เป็นไปตามแผนที่เธอวางไว้

เมื่อไม่มีเสียงตอบรับออกมาจากข้างใน หมอหนุ่มเห็นท่าไม่ดีจึงรีบพังประตูเข้าไป แล้วก็พบกับร่างของสาวน้อยนอนเปลือยกายไม่ได้สติอยู่ที่พื้น

หมอหนุ่มรีบวิ่งเข้าไปหาเธอ พลางยกศีรษะของเธอขึ้น แล้วร้องเรียกให้เธอฟื้นคืนสติ

“ ทับทิม!! ฟื้นสิทับทิม!! ” หมอหนุ่มร้องเรียกอยู่อย่างนั้น ก่อนที่จะสำรวจบริเวณต้นคอ และศีรษะของเธอว่า มีการกระทบกระเทือนมากน้อยแค่ไหน

หญิงสาวค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ทำทีเหมือนว่า กำลังฟื้นคืนสติ เมื่อเห็นหมอหนุ่มอยู่ในห้องน้ำกับเธอเพียงลำพัง

“ พ...พี่หมอ...ก...เกิดอะไรขึ้นคะ ? ” หญิงสาวร้องถามด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหยโรยแรง

เธอค่อยๆ ลุกขึ้น โดยมีศัลยแพทย์หนุ่มพยุงหลัง เธอพยายามที่จะให้เขาเห็นแผ่นหลังที่ขาวนวลของเธอเพื่อเป็นเชิงเชิญชวน แต่ก็แสร้งทำทีเป็นว่า เธอไม่ได้ตั้งใจ

คุณหมอกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เมื่อเห็นแผ่นหลังที่ขาวเนียนนั่น

หญิงสาวจึงแกล้งทำทีเป็นตกใจ เมื่อเห็นตนเองอยู่ในสภาพที่เปลือยเปล่า และพยายามเอามือขึ้นปิดของสงวน

“ อ...เอ่อ...พี่ไม่ได้ตั้งใจ พี่ขอโทษ ” หมอหนุ่มลุกขึ้น แล้วหันหลังกำลังจะเดินออกไป เพราะรู้ว่า ไม่สมควร

ทับทิมเห็นดังนั้น จึงแกล้งกรีดร้องอีกครั้ง แล้วทำท่าเหมือนกับจะลื่นล้ม

หมอหนุ่มจึงหันกลับมาประคองตัวเธอไว้ ทำให้เสื้อผ้าของเขาเปียกโชกยิ่งขึ้นเพราะน้ำจากฝักบัวที่ถูกเปิดทิ้ง

“ ข...ขอบคุณค่ะพี่หมอ ทับทิมไม่เป็นอะไรแล้ว แต่ชุดของพี่หมอน่ะสิ!!...เปียกหมดเลย ” เธอส่งสายตายั่วยวน

“ ถอดวางทิ้งไว้ในนี้สิคะ เดี๋ยวพี่หมอออกไปก็เปียกเลอะพื้นหมดหรอก ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน

หมอหนุ่มที่ปฏิเสธใครไม่เป็นจึงหันหลังให้เธอ แล้วถอดเสื้อเชิ้ตสีขาวออก แล้วกำลังจะเดินออกไป แต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นพิมพ์ประภัสร์ยืนเบิกตากว้างด้วยความตกใจปนช็อคอยู่ที่หน้าประตูห้องน้ำ…

++++++++++++++++++++++++++++++

ทิพย์อำพันสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากเตียง หลังจากที่ฝันถึงเหตุการณ์นี้มาหลายคืนแล้วนับตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้น เธอรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่เธอนอนหลับไปในสภาพเปลือยกาย แต่สักพักเธอก็คิดได้ถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่เกิดขึ้น ตอนนี้เธอไม่แปลกใจแล้วว่า เพราะเหตุใดเธอถึงอยู่ในสภาพอย่างนั้น ทำไมห้องนอนของเธอถึงเปลี่ยนไป และใครที่นอนอยู่บนเตียงกับเธอในสภาพที่ไม่ต่างจากเธอเช่นกัน

หญิงสาวมองดูคณิตที่กำลังหลับไม่ได้สติเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปเมื่อคืน เธอจำได้ว่า เมื่อคืนนี้เธอมีความสุขมากแค่ไหนกับกิจกรรมรักที่ไม่ได้ทำมานานหลังจากที่เลิกรากับคนรักเก่าไป แต่บัดนี้เธอกลับรู้สึกผิดถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น และเคยเกิดขึ้น อันที่จริงมันอาจจะไม่ใช่วังวนของรสรินทร์อย่างที่เธอเคยคิดไว้ตั้งแต่แรก แต่มันกลับเป็นวังวนของพิมพ์ประภัสร์มากกว่า ซึ่งเธอเคยคิดว่า ครั้งหนึ่งเคยสลัดอาจารย์สาวให้ออกไปจากแผนการที่เธอวางไว้ได้สำเร็จแล้ว แต่ความจริงมันกลับกลายเป็นว่า ยิ่งเธอสลัดหล่อนไปเท่าไหร่ เธอกลับยิ่งเดินเข้าไปหามากขึ้นเท่านั้น เพราะชายหนุ่มที่เธอนอนด้วยเมื่อคืนนี้เป็นทั้งลูกศิษย์ของพิมพ์ประภัสร์ และเพื่อนสนิทของวาดลัดดา

หญิงสาวรู้แล้วว่า การที่จะออกมาจากเกมรักอันตรายที่เธอกับรสรินทร์เป็นผู้ก่อนั้น มันจะจบลงได้ก็ต่อเมื่อ เธอต้องก้าวเดินออกไปจากบุคคลที่เกี่ยวข้องกับพิมพ์ประภัสร์ทั้งหมด นั่นรวมไปถึงการที่เธอจะต้องลาออกจากการเป็นนางพยาบาลด้วยเช่นกัน

ทิพย์อำพันลุกขึ้นจากเตียง และรีบแต่งตัว ถึงแม้ว่า ชุดของเธอที่ซักตากไว้เมื่อคืนจะเปียกชื้นอยู่ก็ตาม เธอมองดูคณิตที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงจากหน้าประตูห้องเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนส่งยิ้มให้เขาเป็นการบอกลา หญิงสาวปิดประตู แล้วเดินออกไปจากห้อง ปล่อยให้ชายหนุ่มตื่นมาด้วยความสงสัยกับสิ่งที่ผ่านพ้นไปเมื่อคืน..

++++++++++++++++++++++++++++++

“ ก๊อกๆ ๆ ๆ ” เสียงเคาะประตูดังขึ้นที่หน้าห้องพักของอาจารย์สาวอย่างพิมพ์ประภัสร์ หญิงสาวรีบพุ่งตัวออกมาจากห้องน้ำ ขณะที่กำลังจะเข้าไปทำธุระส่วนตัว เธอแปลกใจเล็กน้อยว่า ใครมาหาเธอที่ห้องแต่เช้า หรืออาจเป็นคุณหมอมงคลมาสจะมารับเธอไปทำงานด้วยกัน

หญิงสาวรีบรุดไปเปิดประตูในสภาพที่ไม่ค่อยจะเรียบร้อย เธอใส่ชุดนอนเป็นเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่สีขาว และเกล้าผมหลวมๆ ด้วยที่รัดผมสีส้มเท่านั้น

“ คุณโรส!!! ” หญิงสาวตกใจเมื่อเห็นแขกที่ไม่ได้เชื้อเชิญปรากฏตัวขึ้นต่อหน้า

รสรินทร์จ้องมองหญิงสาวด้วยสายตาที่ตำหนิระคนโมโห

“ ตกใจมากสินะ!! คงไม่คิดล่ะสิว่า ฉันจะมาเหยียบถึงถิ่นของหล่อน ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน

“ คุณมีธุระอะไรก็ว่ามาค่ะ ?!! ฉันรีบ!! ” พิมพ์ประภัสร์พูด

“ เกิดเป็นหล่อนนี่คงจะลำบากสินะ!! ทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตเพื่อแลกกับเงินเดือนไม่กี่หมื่น...พอมาสายเขาก็หักเงิน โธ่!! น่าสงสาร ” รสรินทร์บีบเสียง

พิมพ์ประภัสร์รู้สึกไม่พอใจในคำพูดดูถูกของนักร้องสาว

“ คุณคงมาที่นี่เพื่อบอกฉันแค่นี้ใช่ไหมคะ ??!! ” อาจารย์สาวถามเสร็จพลางจะปิดประตู

แต่รสรินทร์กลับเอามือจับบานประตูไว้ เพื่อไม่ให้เธอปิดมัน

“ เดี๋ยวก่อน!! เธอก็รู้นี่ว่า ถ้าไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับน้องชายฉัน...ฉันก็คงไม่มา!! ” สาวใหญ่เปิดประเด็น

“ ทำไมคะ ??? มีสุนัขรับใช้คาบข่าวอะไรไปบอกอีกล่ะ ?? ” พิมพ์ประภัสร์ย้อนถาม

“ ฉันว่า หล่อนมากกว่าล่ะมั้งที่เป็นสุนัข...สุนัขจนตรอกที่หวังจะกลับมาเกาะขาน้องชายของฉันเพื่อจะให้เขาเลี้ยงดู ” รสรินทร์แดกดัน

“ คนอย่างฉันไม่เคยจนตรอก และไม่เคยเกาะขาของใคร...คุณอย่าเอาตัวคุณมาเปรียบเทียบกับคนอื่นสิคะ เพราะฉันไม่ใช่คนหน้าเงินเหมือนคุณ!!! ” อาจารย์สาวตอกกลับด้วยความโมโห

“ อีพิมพ์!! ” รสรินทร์ตวาด เธอพยายามจะผลักประตูเข้าไป แต่พิมพ์ประภัสร์กลับดันไว้ไม่ให้เธอเข้ามา

ทว่าด้วยแรง และร่างของสาวใหญ่ที่มีมากกว่าหลายเท่าจึงผลักประตูเข้าไปสำเร็จ และย่างเท้าเข้าไปหาเธอ

พิมพ์ประภัสร์ถอยหลังเข้ามาเพื่อจะตั้งหลัก เธอสอดส่ายมองหาของเพื่อที่จะป้องกันตัว

“ ฉันขอสั่งให้แกเลิกยุ่งกับน้องชายของฉัน!!! ” รสรินทร์ขึ้นเสียง

“ ถ้าอย่างนั้นคุณก็ต้องไปบอกคุณหมอเองแล้วล่ะค่ะ!! เพราะเขาพยายามที่จะกลับเข้ามาหาฉันเอง!! ” พิมพ์ประภัสร์โต้

“ ฉันกะอยู่แล้วเชียว…คนอย่างแกแค่สั่งโดยใช้คำพูดอย่างเดียวคงจะไม่ได้... ” รสรินทร์พูดพลางหยิบเช็คเงินสดออกมาจากกระเป๋า

“ ...ฉันให้แกสามล้าน แล้วออกไปจากชีวิตของน้องชายฉัน!! ” เธอพูดจบก็ปาเช็คแผ่นนั้นใส่พิมพ์ประภัสร์ทันที

“ นี่เหรอคะ...วิธีการที่พวกผู้ดีเขาทำกัน ??...โทษทีนะคะ ที่ชีวิตของฉันไม่ได้มีไว้ให้ใครมาตีราคา... “ พิมพ์ประภัสร์ส่งสายตาอย่างอดสู พลางเก็บเช็คแผ่นนั้นขึ้นมาจากพื้น แล้วฉีกมันเป็นชิ้นๆ ท่ามกลางท่าทีที่ประหลาดใจของนักร้องสาว

“ ...เก็บเงินที่แสนจะมีค่าของคุณเอาไว้ใช้กับครึ่งชีวิตที่เหลืออยู่ดีกว่า!! ” เธอปาเศษกระดาษเหล่านั้นใส่หน้าของรสรินทร์เป็นการคืน

“ ฉันว่า ที่คุณหมอพยายามกลับมาหาฉัน คงเป็นเพราะว่า ฉันคงไม่ทำตัวไร้ค่า และไม่ทำตัวไร้สมองเหมือนคุณมากกว่าค่ะ...ผู้ชายที่ไหนก็คงทนอยู่กับคุณไม่ได้ แม้แต่น้องชายของคุณเอง!! ” อาจารย์สาวขึ้นเสียง

“ แก!!! ” รสรินทร์เกรี้ยวกราด เธอทำท่าจะพุ่งเข้าไปใช้กำลังกับพิมพ์ประภัสร์

“ อย่าเอากิริยาต่ำทรามของคุณมาใช้ในห้องของฉันนะคะ มิฉะนั้นฉันจะแจ้งความคุณข้อหาบุกรุก และทำร้ายร่างกาย!!! ” เธอชี้นิ้วสั่งรสรินทร์ สาวใหญ่ชะงักไปครู่หนึ่ง

“ แกคิดว่า ฉันจะไม่มีปัญญาจ่ายเงินค่าปรับเหรอ ??...ทีเงินสามล้านของฉันยังจะสามารถซื้อชีวิตเน่าๆ ของแกได้เลยนางพิมพ์!! ” นักร้องสาวพูดจบก็ประทับฝ่ามือลงไปบนหน้าของหญิงสาว

พิมพ์ประภัสร์ไม่ยอมที่จะตกเป็นผู้กระทำอยู่ฝ่ายเดียว เธอเองก็ใช้ฝ่ามือสวนกลับไปเช่นกัน

ทั้งสองสาวต่างตะลุมบอนกันอยู่อย่างนั้น ทั้งจิก ทึ้ง และตบตี รวมไปถึงการขว้างปาสิ่งของ จนทำให้เฟอร์นิเจอร์ และข้าวของต่างๆ ภายในห้องก็กระจัดกระจายราวกับเกิดมหาสงครามทำลายล้าง

เวลาผ่านไปไม่นานอาจารย์สาวล้มตัวลงกับพื้น เธอหมดแรงที่จะต่อกรกับรสรินทร์

นักร้องสาวโน้มตัว และเอามือจิกเข้าที่หัวของพิมพ์ประภัสร์ เธอเอามืออีกข้างที่ว่างอยู่เชยคางอาจารย์สาวขึ้นมา แล้วกระซิบเข้าที่ข้างหู

“ ฉันขอเตือนแกอีกครั้ง...เลิกยุ่งกับน้องชายของฉัน แล้วชีวิตที่เหลืออยู่ของแกจะมีความสุข ” รสรินทร์พูดจบก็ปล่อยมือทั้งสองข้างออกจากคาง และศีรษะของพิมพ์ประภัสร์ เธอลากชุดกระโปรงยาวสีดำที่ดูราวกับชุดของราชินีใจร้ายในเทพนิยายออกไปจากห้อง ทิ้งให้อาจารย์สาวมีสภาพสะบักสะบอมอยู่เพียงลำพัง

พิมพ์ประภัสร์ค่อยๆ เขยิบตัวนั่งให้หลังชนกับฝาผนัง แล้วมองดูสภาพห้องที่แตกหัก และกระจัดกระจายจากพายุไฟแห่งสงคราม หญิงสาวงอเข่าเข้าหาตัว แล้วกอดมันเอาไว้ จากนั้นจึงร้องไห้ออกมาด้วยความขุ่นข้องหมองใจ…

++++++++++++++++++++++++++++++

ถัดออกไปเพียงไม่กี่แยกจากที่พักของพิมพ์ประภัสร์ น้องสาวของเธอก็กำลังเตรียมตัวเดินทางไปมหาวิทยาลัยเพื่อไปเรียนให้ทันในคาบเช้า สาวน้อยเริ่มมีอาการดีขึ้นบ้างหลังจากที่เธอหลับๆ ตื่นๆ อยู่เกือบทั้งคืนด้วยเพราะอาการหวาดผวา แต่โชคยังดีที่เพื่อนสนิทในกลุ่มของเธออีกสองคนคอยอยู่เป็นเพื่อนปลอบใจ และคอยดูแลเธอตลอดทั้งคืน

ถึงแม้อาการของเธอจะดีขึ้นบ้าง แต่เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มก็ยังไม่อยากให้เธอมาเรียนหนังสือนัก เพราะเป็นห่วงเรื่องสภาพจิตใจ อีกทั้งใครๆ ในคณะต่างก็รู้เรื่องของเธอแล้วแทบทั้งสิ้น

สาวน้อยรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เพราะกลัวเรื่องนี้จะรู้ถึงหูพี่สาวของตน แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังจะต้องมาเรียนเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต และพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุดเพื่อปกปิดคำครหาที่กำลังเกิดขึ้น สาวน้อยจึงตัดสินใจไปเรียนในตอนเช้า โดยมีเพื่อนสาวทั้งสองเดินขนาบข้างเพื่อไปมหาวิทยาลัยด้วยกัน

“ นั่นไง!! เด็กคนนั้น...ออกมาแล้ว ” นันทวดีชี้ชวนให้จิตติมาดูวาดลัดดาขณะที่เธอกำลังเดินออกมาจากหอพักพร้อมกับเพื่อนอีกสองคน

“ แนน...เธอจะเข้าไปได้ยังไง เขามากับเพื่อนนะ ?? ” จิตติมาถามเพื่อนสาวขณะที่กำลังอุ้มลูกให้เธออยู่

“ ฉันไม่ได้จะเข้าไปทำร้ายใครเสียหน่อย แค่จะเข้าไปคุยเฉยๆ ” นันทวดีพูดจบพลางก้าวเท้าตรงรี่เข้าไปหากลุ่มสาวๆ นักศึกษา หลังจากที่ซุ่มดักรอวาดลัดดาที่หน้าหอพักมาตั้งแต่เช้า

“ แนน...ใจเย็นๆ ” จิตติมาวิ่งตามเพื่อนสนิทของเธอไป เพราะกลัวว่า นันทวดีจะเผลอทำอะไรไปโดยพละการ

“ เธอ...เธอ...หยุดก่อน!!!...ฉันบอกให้หยุด!! ” นันทวดีส่งเสียงเรียกวาดลัดดามาจากด้านข้าง สาวน้อย และเพื่อนๆ ของเธอจึงหันหน้ามาที่ต้นเสียง

“ ค...คุณเรียกฉันเหรอ ? ” วาดลัดดาหันไปถาม พลางหยีตามองดูนันทวดี และจิตติมาที่เดินมาด้วยกัน พลางใคร่ครวญว่า ทั้งสองคนใช่คนที่เธอรู้จักหรือเปล่า

“ ใช่!! ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย ” นันทวดีมองหน้าวาดลัดดา สายตาที่ดูดุดัน และน้ำเสียงแข็งๆ ของเธอทำให้หญิงสาวใจคอไม่ดี

“ พวกคุณเป็นใคร ? ต้องการอะไรจากฉัน ? ” สาวน้อยถามเสียงสั่น เธอพยายามทำใจดีสู้เสือ เพื่อนๆ ของเธอก็พยายามคอยกันไม่ให้เธอเขยิบเข้าไปใกล้มากนัก

“ ฉันชื่อนันทวดี...เป็นภรรยาของคุณโชติวุฒิ ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย...ส่วนนี่ก็ลูกชายของฉันกับเขา... ” หญิงสาวแนะนำตัวพลางหันหน้าไปที่ลูกน้อยซึ่งจิตติมากำลังอุ้มอยู่

“ ...และในเมื่อเธอรู้ว่า เขามีลูกมีเมียแล้ว เธอก็ควรที่จะเลิกยุ่งกับเขาเสีย...อย่าทำให้ครอบครัวของเราต้องแตกแยกไปมากกว่านี้เลย!! ” เธอว่า

จิตติมาสะกิดเพื่อนสาวเพื่อไม่ให้เธอใส่อารมณ์ ถึงแม้จะเข้าใจว่า เธอกำลังโกรธ แต่ก็ควรที่จะมีสติมากกว่านี้

เพื่อนๆ ของวาดลัดดาต่างตกใจในสิ่งที่ตนได้ยิน และรู้สึกได้ว่า อาจจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า แต่สาวน้อยกลับพยายามไม่สะทกสะท้าน เธอรู้อยู่แล้วว่า คงจะต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น หลังจากที่เกิดเหตุการณ์เมื่อวาน

“ คุณกำลังจะบอกว่า เป็นเพราะฉันใช่ไหมคะที่เป็นตัวการทำให้ครอบครัวของคุณต้องแตกแยก แล้วทำไมคุณไม่ถามสามีของคุณก่อนล่ะว่า เขาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับฉันทำไม ?? แล้วคุณคิดว่า ฉันเต็มใจนักเหรอไงที่อยากจะตกอยู่ในสถานภาพเมียน้อยของสามีคุณ ?!!! ” เธอขึ้นเสียงถามอย่างเหลืออด

จิตติมารู้สึกแปลกใจในคำพูดของสาวน้อย เธอพยายามคิดอย่างเป็นกลาง ซึ่งต่างจากเพื่อนของเธอที่พยายามใช้แต่อารมณ์

“ ถ้าเธอไม่เต็มใจเธอก็ออกไปจากชีวิตเขาเสียสิ!! อย่ามาอยู่สร้างความร้าวฉานแบบนี้!! ” นันทวดีค่อนขอด

วาดลัดดาไม่พอใจในท่าที และคำพูดของนันทวดีที่ดูเหมือนว่า พยายามจะกล่าวหา และยัดเยียดให้เธอเป็นคนผิดอยู่เพียงฝ่ายเดียว ทั้งที่ความจริงแล้ว โชติวุฒิต่างหากที่เป็นตัวการของเรื่องทั้งหมด นักศึกษาสาวจึงพยายามเรียกร้องขอความยุติธรรม และต้องการให้นันทวดีรู้ถึงธาตุแท้ของสามีตนเอง

“ ฉันจะอยู่...ฉันต้องการจะให้เขารับผิดชอบในสิ่งเขาทำ!! เพราะเขา... ” สาวน้อยพยายามจะพูดในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่นันทวดีกลับตบหน้าของเธอด้วยความโมโห

“ นางหน้าด้าน!! แกมันผู้หญิงชั้นต่ำ!! ฉันจะฆ่าแก!! ” นันทวดีบันดาลโทสะ เธอต่อว่าวาดลัดดาอย่างเหลืออด เพราะโมโหในคำพูดของเด็กสาว เธอตรงเข้าไปจิกหัวของสาวน้อย แล้วเหวี่ยงออกไปจนนักศึกษาสาวล้มลง

จิตติมา และเพื่อนๆ ของวาดลัดดาพยายามเข้ามาห้าม แต่นันทวดีกลับเตะสาวน้อยเข้าที่ท้องอย่างแรง จนเธอต้องบิดตัวไปมาด้วยความเจ็บปวดอยู่กับพื้น

เพื่อนสาวของวาดลัดดาคนหนึ่งเห็นท่าไม่ดีจึงรีบนั่งลงกำบังเพื่อนของเธอไว้ และยกมือขึ้นห้าม ส่วนเพื่อนอีกคนก็ช่วยกันกับจิตติมารั้งนันทวดีไว้ หญิงสาวอารมณ์พลุ่งพล่าน และสะบัดแขนออกจากทั้งสองคนอย่างเกรี้ยวกราด พลางมองดูวาดลัดดาที่นอนกองอยู่กับพื้นด้วยสายตาที่ดุดันโดยเตรียมทำท่าจะซ้ำ

“ วาด...เธอเลือดออกนี่!! ” เพื่อนของวาดลัดดาที่นั่งกำบังร่างของเธอไว้ร้องขึ้น เมื่อสังเกตเห็นเลือดไหลออกมาจากใต้กระโปรงนักศึกษาของเธอ

“ เลือด...เลือดจริงๆ ด้วย!!! ” เพื่อนอีกคนตกใจ

ทั้งนันทวดี และจิตติมาได้ยินดังนั้นจึงมองดูที่ต้นขาของสาวน้อย และเห็นว่า เลือดไหลออกมาจากใต้กระโปรงของเธอจริงๆ มันไหลออกมาเป็นทาง และดูเหมือนจะมีปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ

“ ลูก....ลูก...ลูกแม่!!! ” วาดลัดดาร้องลั่น เธอเป็นห่วงลูกในท้อง น้ำตาของเธอไหลพรากเมื่อเห็นเลือดไหลออกมาอย่างนั้น

นันทวดีตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอช็อค ทำอะไรไม่ถูก และวิ่งหนีออกจากหอพักไป โดยมีจิตติมาที่หอบลูกน้อยให้เธอวิ่งตามออกไปด้วยเช่นกัน