
ช่วงใกล้สิ้นปีแบบนี้ เทศกาลยอดฮิตอย่างหนึ่งนั่นคือ งานแต่งงาน โดยปกติแล้ว ถ้าใครจะจัดงานช่วงปลายปีแทบจะต้องเตรียมงานกันตั้งแต่ต้นปี ทั้งเรื่องจองสถานที่ จองคิวงาน ยิ่งถ้าเป็นวันที่ฤกษ์ดีด้วยแล้วก็ยิ่งฮอตฮิต แต่สิ่งหนึ่งซึ่งสำคัญไม่น้อยไปกว่าการเตรียมงานแต่ง นั่นคือ การวางแผนการเงินสำหรับคนจะแต่งงาน มีรายละเอียดที่น่าสนใจอย่างไรบ้าง ไปติดตามพร้อมกันเลยค่ะ
3. แพลนเก็บเงินลงทุนร่วมกันเพื่ออนาคตที่สดใส หลังแต่งงานหลายคู่มีแพลนซื้อบ้านซื้อรถ มีลูก เตรียมค่าใช้จ่ายการศึกษาลูก อยากมีเงินไว้ใช้ยามเกษียณ ฯลฯ ทั้งหมดเหล่านี้เพื่อนๆ อาจแพลนเก็บเงินร่วมกัน โดยนำเงินนั้นไปลงทุนเพื่อต่อยอดความมั่งคั่งตามวัตถุประสงค์การลงทุน เช่น อาจลงทุนในกองทุนรวมผสมที่ให้ผลตอบแทนประมาณปีละ 5%, อาจลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีในลักษณะ DCA, อาจซื้อคอนโดและปล่อยให้เช่าเก็บค่าเช่าเป็นรายได้ เป็นต้น และอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามนอกจากการลงทุน นั่นคือ การป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับชีวิตและทรัพย์สินด้วยการทำประกันภัยนั่นเอง
● ค่าใช้จ่ายจิปาถะอื่นๆ เช่น ค่าใช้จ่ายส่วนเกิน หรือค่า Tip ให้กับบริกร เป็นต้น
งั้นเรามาลองดูตัวอย่างคำนวณการวางแผนเก็บเงินจัดงานแต่งงานกันนะคะ
ตัวอย่างที่ 1 : งานแต่งงานแบบเรียบหรู จัดงานที่โรงแรมในเมือง เชิญแขกประมาณ 300-400 คน แพลนจะแต่งงานในอีก 3 ปีข้างหน้า ด้วยงบประมาณจัดงาน 1,000,000 บาท

จากภาพ งบแต่งงานที่ต้องการคือ 1,000,000 บาท นำเงินเก็บดังกล่าว ไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนประมาณ 5%ต่อปีแบบทบต้น เช่น ลงทุนในกองทุนรวมผสม ( Asset Allocation ) เมื่อคำนวณย้อนกลับเป็นเงิน ณ เวลาปัจจุบันที่ต้องเก็บในแต่ละปี ตกปีละ 317,208.56 บาท เก็บเป็นระยะเวลา 3 ปี หากคำนวณเป็นรายเดือนจะอยู่ที่เดือนละ 26,434.05 บาท ( 317,208.56/12 ) เมื่อสิ้นปีที่ 3 ก็จะได้เงินแต่งงานตามเป้าหมายที่ 1,000,000 บาท
ตัวอย่างที่ 2 : งานแต่งงานชิคๆ จัดที่ร้านอาหารเก๋ๆ เชิญแขกไม่มากประมาณ 100 คน แพลนแต่งงานในอีก 3 ปีข้างหน้าเช่นเดียวกับตัวอย่างที่ 1 โดยใช้งบประมาณจัดงาน 500,000 บาท

จากภาพ งบแต่งงานที่ต้องการคือ 500,000 บาท นำเงินไปลงทุนเช่นเดียวกับตัวอย่างที่ 1 ที่ผลตอบแทน 5% แบบทบต้น เมื่อคำนวณย้อนกลับเป็นเงิน ณ เวลาปัจจุบันที่ต้องเก็บในแต่ละปี ตกปีละ 158,604.28 บาท เก็บเป็นระยะเวลา 3 ปี หากคำนวณเป็นรายเดือนจะอยู่ที่เดือนละ 13,217.02 บาท ( 158,604.28/12 ) เมื่อสิ้นปีที่ 3 ก็จะได้เงินแต่งงานตามเป้าหมายที่ 500,000 บาท
จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า ไม่ว่าแพลนจะแต่งงานแบบเรียบหรู ( ตัวอย่างที่1 ) หรือจัดงานแบบเล็กๆ แต่โก้เก๋ ( ตัวอย่างที่ 2 ) เราก็ต้องเก็บเงินแต่งงานที่เดือนละประมาณ 27,000 บาท และ 14,000 บาท ตามลำดับ แต่หากรู้สึกว่าเงินก้อนดังกล่าวค่อนข้างสูงเมื่อต้องเก็บต่อเดือน เราอาจจะใช้วิธีการปรับลดค่าใช้จ่ายบางอย่างลง เช่น สถานที่จัดงาน อาจเป็นการจัดที่บ้าน ตกแต่งอบอุ่นแบบคนกันเอง หรือช่างภาพอาจจะเป็นเพื่อนที่มีฝีมือมาช่วยถ่าย หรือการ์ดงานแต่งที่ DIY ด้วยตัวเอง ก็อาจจะเก๋ไปอีกแบบ
การนำเงินเก็บที่มีอยู่ออกมาเป็นเงินตั้งต้นและนำไปลงทุนเพื่อแต่งงาน ก็เป็นอีกตัวช่วยที่ทำให้การเก็บเงินต่อเดือนของเราลดลง หรืออาจเลือกลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่มากกว่า 5% แต่ก็ควรอยู่ภายใต้ความเสี่ยงที่เรายอมรับได้ หรืออาจจะขยับเวลาแต่งงานออกไปเพื่อเก็บเงินก็ย่อมทำได้
Comments