บทที่ 20

“ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงหรอกครับแม่”

ทั้งๆ ที่มองไม่เห็นหน้า แต่มนัสกลับรู้สึกได้ถึงความกังวลที่ก่อเกิดกับบุพการีของเขา มือเรียวเอื้อมแตะลงที่มือเหี่ยวย่น บีบเบาๆ ขณะที่คลายยิ้มประดับบนดวงหน้า ช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาที่ตึงเครียดสำหรับครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้ อาจจะเป็นเพราะใกล้ถึงเวลาที่ต้องตอบรับโรงพยาบาลเต็มแก่แล้ว และใช่...อาจจะเป็นเพราะมนัสยังตัดสินใจไม่ได้สักทียังไงล่ะ

เสียงของลัคกี้ดังหงิงพลางไซ้หัวของมันไปมากับเข่าของเขา มนัสได้แต่ยกยิ้ม ตบมือทั้งสองข้างลงบนหน้าขาให้ลัคกี้กระโดดขึ้นวางเท้าของมันเอาไว้ เพราะอย่างนั้นแล้วใบหน้าของเขากับหน้ายาวๆ ของมันจึงอยู่ในระนาบเดียวกัน

“ลัคกี้น่ะเป็นเด็กดีมาตลอดเลยนะรู้ไหม”

มันตอบรับคำนั้นด้วยการแลบลิ้นยาวเลียที่แก้มขาว วนซ้ายไปขวาซ้ำๆ อยู่อย่างนั้นอย่างออดอ้อน จนมนัสส่งเสียงดุนั่นแหละถึงค่อยหยุด แล้วก็ได้ส่งเสียงหงิงในลำคออีกรอบเมื่อชายหนุ่มจับยึดขาของมันทั้งสองข้างให้ยืดตัวขึ้น วางลงบนบ่าของเขา ก่อนจะกลายเป็นคนหนึ่งคนกับสุนัขหนึ่งตัวที่กอดกัน

ภาพน่ารักๆ แบบนั้นอยู่ในสายตาของคนที่เพิ่งเดินเข้ามาในบ้าน

ชเยศยกมือขึ้นไหว้คนอายุมากกว่าที่หันมองมาเงียบๆ ก่อนจะได้ยกยิ้มขอบคุณเมื่อแม่ของมนัสหยัดกายขึ้นยืนและบอกให้เขาทำตัวตามสบาย เพราะคำเอ่ยนั้นเองที่ทำให้มนัสรู้ตัวว่ามีอีกคนอยู่ในบ้านของเขา ชายหนุ่มปล่อยลัคกี้ให้เป็นอิสระ ยืดกายขึ้นนั่งหลังตรงอย่างเงียบเชียบเพื่อรอให้อีกฝ่ายได้พูดจาก่อน

ชเยศลูบหัวลัคกี้อยู่ครู่หนึ่ง ก้าวเดินเข้ามาหาแล้วหย่อนกายลงนั่งที่พื้นข้างๆ กัน กลิ่นอายของชเยศเป็นสิ่งที่คุ้นชินไปแล้วสำหรับมนัส ดังนั้นแม้จะไม่เอ่ยอะไรออกมา หากเขาก็ยังอุ่นใจและยินยอมที่จะได้นั่งเงียบๆ ตรงนี้ไม่ห่างกัน

แต่ที่สุดแล้วความเงียบก็ไม่สามารถคงอยู่ได้นานนัก นั่นเพราะคนที่นั่งข้างกันที่ระบายลมหายใจ หันไปเอ่ยคำกับแม่ของมนัสที่เตรียมตัวออกไปตลาดเพื่อจับจ่ายของสดทำอาหารมื้อค่ำ โดยปล่อยให้ชายหนุ่มทั้งสองอยู่ด้วยกัน

“ตัดสินใจได้รึยังครับ”

มนัสส่ายหน้าทั้งรอยยิ้ม “ไม่ครับ”

“ไม่?”

“ผม...ตัดความกลัวออกไปไม่ได้”

ชเยศกลืนน้ำลายลงคอ นึกหวนถึงครั้งแรกที่ได้เจอกัน วันนั้นมนัสเป็นคนแรกที่เขาได้พูดคุยตั้งแต่เดินทางมาถึง เป็นชายหนุ่มที่ดูสดใสร่าเริงและเป็นมิตร ตลอดมามนัสแสดงออกให้เขาได้มองเห็นว่าตัวเองเข้มแข็งมากแค่ไหน ชายหนุ่มไม่ใช่คนใจอ่อนที่จะยินยอมให้ใครมาดูแลได้ง่ายๆ

ทุกอย่างล้วนแล้วดูปราศจากความคิดในแง่ร้าย

แต่มนัสที่เขามองเห็นในตอนนี้เล่า?

“แต่ผมกำลังพยายาม...” มนัสเอ่ยขึ้นแล้วเม้มปากแน่น “ผมไม่อยากพาตัวเองจมลงไปในความกลัวแบบนั้น ผมรู้ดีว่าผลเสียของมันจะเป็นยังไง ผมกำลังคิด...ว่าถ้าผมเป็นอย่างนั้นจริง แล้วต่อไป...จะไม่เสียใจแน่น่ะหรือ”

“นัท ฟังผมนะ” ถึงจะเอ่ยเหมือนบอกกล่าว แต่ชเยศก็ยังรอให้มนัสยินยอมอนุญาตในการเอ่ยความด้วยการพยักหน้ารับ ชายหนุ่มคลายยิ้มบาง แตะปลายนิ้วลงบนหลังมือของอีกฝ่ายแล้วเอ่ยต่อ “คุณเป็นคนที่ฉุดผมให้ขึ้นมาจากความกลัวได้ ผมนับถือคุณ”

“ผม...”

“ไม่ใช่แค่การฉุดผมให้ขึ้นมาจากฝันร้าย แต่คุณยังทำลายหลายๆ อย่างที่ผมสร้างขึ้น คุณทำให้ผมเปลี่ยนตัวเองไปเป็นใครคนหนึ่งที่อยากจะดูแลใครสักคน ไม่ใช่เพราะหวังผล คุณรู้ใช่ไหม ที่ผมตามตอแยคุณมาตลอด ก็เพราะผมห่วงคุณจริงๆ

มันอาจจะเป็นเพราะผมมองเห็นคุณเป็นคนพิการเหมือนกับผม ถึงหูของผมจะไม่ได้ยินแต่ผมก็ยังมองเห็น แต่คุณล่ะครับ คุณมองไม่เห็นอะไร การใช้ชีวิตของคุณลำบากและยากยิ่งกว่าผมกี่ร้อยพันเท่า นั่นคือเหตุผลที่ผมอยากช่วยเหลือคุณ

แต่คุณรู้อะไรไหมนัท...ยิ่งได้ดูแลไป ผมก็ยิ่งรู้สึกขอบคุณคุณ”

มนัสกดหน้าลงต่ำเล็กน้อย ยกยิ้มที่ดูแล้วไม่แน่ชัดว่ามีความสุขหรือเศร้ามากกว่ากัน เขาไม่เคยคิดว่าชีวิตของเขาเองจะทำให้ใครเปลี่ยนไป ไม่เคยสังเกตว่าความเป็นตัวเขาจะทำให้ใครบางคนเกิดความรู้สึกได้ แต่ทั้งหมดที่ชเยศพูดออกมานั่นก็ทำให้เขาได้รู้

เขาทำได้

เปลี่ยนใจใครยังได้ ฉุดรั้งใครให้เป็นอิสระจากฝันร้ายยังทำได้ แล้วทำไมกัน...ทำไมเขาจะฉุดตัวเองให้ขึ้นจากความหวาดกลัวนั้นไม่ได้

“ผมไม่อยากบังคับคุณ แต่ผม...ก็อยากให้คุณมองเห็น”

ประโยคซ้ำๆ ที่เขาได้ยินในทุกๆ วัน คนรอบกายต่างมอบความอาทรให้มนัสรู้สึกละอายแก่ใจที่เห็นแก่ตัวเกินกว่าจะยินยอมผลักตัวเองให้เผชิญหน้ากับความหวาดกลัว ชายหนุ่มส่ายหน้าเชื่องช้า แล้วก็พยักหน้าขึ้นลงเบาๆ กิริยาสับสนอย่างนั้นทำให้ชเยศเอื้อมมือกุมมือของอีกฝ่ายเอาไว้ ทั้งๆ ที่มนัสมองไม่เห็นอะไร แต่เขาก็ยังคงยิ้มให้มนัสอยู่ดี

“เราลองกลับไปเป็นเหมือนเดิมดูดีไหมครับ...ไม่สิ ผมต่างหาก ผมต้องกลับไป”

“คุณจะทำอะไร?”

“ถอดหูฟังผมสิครับ”

ไม่ว่าเปล่า ชายหนุ่มรั้งมือของมนัสขึ้นแตะที่ใบหูของเขา ส่งเสียงในลำคอเชิงให้อีกฝ่ายทำในสิ่งที่เขาต้องการ แม้จะไม่เข้าใจเท่าไรนัก หากที่สุดแล้วมนัสก็ยังถอดหูฟังออกจากใบหูของเขาอยู่ดี ชเยศจัดการวางหูฟังไว้ที่พื้นข้างๆ ตัว หงายมือขึ้นเพื่อให้มือเรียววางทาบลงมา กลายเป็นสองมือที่ทาบทับแนบชิดกัน ส่งไออุ่นผ่านฝ่ามือนั้นให้รู้สึกดี

“พูดอะไรหน่อยสิครับ”

“...จะให้ผมพูดอะไรล่ะครับ”

ชเยศนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยคำ “แค่ผมถอดหูฟังแล้วอ่านปากคุณแค่ประโยคเดียว รู้ไหมว่าผมหงุดหงิดใจมากแค่ไหน”

“อือ...”

“พูดอีกสิครับ”

“ผม...” มนัสขยับปากแล้วถอนหายใจ “ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรทำยังไง เชน ตอนที่คุณอยู่ในความเงียบกับตอนที่คุณได้ยินทุกอย่าง ความรู้สึกมันต่างกันมากรึเปล่า”

คำถามนั้นยังผลให้ชเยศยกยิ้ม เขาหลุบตาลงมองมือที่ขยับห่างออกจากมือของเขาเล็กน้อย หากปลายนิ้วก็ยังแตะเอาไว้ ดังนั้นแทนที่ชายหนุ่มจะปล่อยมือของมนัสให้ห่างไป เขากลับพับเรียวนิ้วเข้าเพื่อกุมปลายนิ้วของอีกฝ่าย เป็นสัญญาณเงียบว่าจะไม่ปล่อยให้มนัสได้หลุดมือ

“ผมเคยชินกับมันนะ เหมือนที่คุณเคยชินกับความมืดไง”

“แล้ว...”

“โลกเงียบของผมทำให้ผมสงบใจ ไม่ต้องได้ยินเสียงอะไร ไม่ต้องได้ยินใครพูดอะไร นึกอยากคุยกับใครตอนไหนก็อ่านปากเอา มันเป็นโลกที่แสนสงบที่ทำให้ผมคิดถึงทุกครั้งเวลาเจอเรื่องวุ่นวายจากที่บ้าน” เขาเว้นช่วงไปครู่หนึ่ง เป็นช่วงเวลาที่เขาใช้นัยน์ตาคู่คมจับจ้องใบหน้าของอีกฝ่าย “แต่คุณรู้อะไรไหม การที่ได้ยินเสียงใครสักคนที่เราอยากได้ยิน มันมีความสุขมากกว่าไม่ได้ยินเยอะเลย”

มนัสยกมุมปากเป็นรอยยิ้ม “นั่นสินะครับ”

“คุณล่ะ ไม่อยากมองเห็นใครบ้างหรือ? ใครสักคนที่คุณอยากจะมองหน้าเวลาพูดคุย ใครสักคนที่คุณอยากจะเห็นรอยยิ้มของเขาเวลาหัวเราะไปด้วยกัน ใครสักคน...ที่แค่ได้เห็นหน้าหรือสบตากันก็ยังดี”

ใครคนนั้น...ก็อยู่ตรงหน้านี้แล้วยังไงล่ะ

สิ่งที่มนัสสับสนจนไม่สามารถตัดสินใจได้ ส่วนหนึ่งก็คือเจ้าของเสียงทุ้มที่กลับมาแปลกแปร่งอีกครั้งเมื่อถอดหูฟังคนนี้ เขาเคยคิดว่าความรู้สึกลึกๆ ที่มีเป็นเช่นไร ความรู้สึกที่พิเศษเกินกว่าใครทำให้ชายหนุ่มนึกอยากจะเห็นหน้าชเยศชัดๆ สักครั้ง แต่เพราะความหวาดกลัวต่อโลกความเป็นจริงก็กลับทำให้เขาสับสน ไม่รู้ว่าควรเห็นหรือไม่ควรเห็น

มนัสไม่เคยจินตนาการใบหน้าของชเยศ เพราะเพียงแค่เสียงที่ใช้คุยกัน...ก็ทำให้เขาอุ่นใจได้

“ไม่ว่าคุณจะอยากมองเห็นใคร แต่ผมก็หวัง...” ชเยศจับมือของเขาขึ้นแนบที่โครงหน้า “...ว่าหนึ่งในคนนั้นสำหรับคุณ จะมีผู้ชายที่ชเยศ”

มนัสรู้สึกได้ว่ามือของเขาสั่นเล็กน้อย

“ไม่อยากรู้เลยหรือครับ ว่าหน้าตาผมเป็นแบบไหน”

ในตอนที่ชเยศพามือของเขาปัดปลายจมูกอย่างนั้น หัวใจของเขาเต้นรัวสั่นไหว

“ไม่อยากเห็นเลยหรือครับ ว่าคนที่ชอบกวนอารมณ์คุณอยู่เรื่อย เขายิ้มแบบไหนให้คุณ”

มนัสไม่รู้หรอกว่าตัวเองควรตอบว่าเช่นไร แต่ในตอนที่เสียงทุ้มนั้นกระซิบแผ่วว่า “ลองสัมผัสผมสิครับ” นั่นก็ทำให้เขาเม้มกลีบปาก นิ่งค้างเรียวมือที่ผละห่างจากใบหน้าของชเยศเพียงเล็กน้อย ก่อนสุดท้ายจะตัดสินใจเอื้อมหา และแตะมือที่สั่นเล็กน้อยของตัวเองลงยังแก้มสากของอีกฝ่ายเพียงแผ่วเบา

มนัสขยับเคลื่อนมือขึ้นแตะที่หน้าผากกว้าง สัมผัสไล่ต่ำลงมาที่หางคิ้ว แล้วก็อดจะอมยิ้มไม่ได้เมื่อรู้สึกได้ถึงรูปคิ้วของชเยศที่หางคิ้วคล้ายจะตกลงหน่อยๆ ชายหนุ่มนิ่งเล็กน้อย รู้สึกถึงเปลือกตาบางที่ปิดพริ้มลงเพื่อปิดทับดวงตาเอาไว้ มันขยับหลุกหลิกนิดหน่อยในตอนที่เขาแตะปลายนิ้วลงไปเพียงบางเบา มนัสไล่ปลายนิ้วตนจากปลายตาข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่ง ให้ได้รู้ว่ารูปตาของชเยศเรียวรีเช่นไร

จากเรียวตาคู่นั้นที่เขารู้ดีว่ามักจะจับจ้องมองเขาอยู่บ่อยครั้ง มนัสแตะปลายนิ้วลงยังสันจมูกได้รูป ไล่เรื่อยลงมาจนถึงปลายจมูกโด่งคม ให้ได้ผงะเล็กน้อยเมื่อลมหายใจกรุ่นร้อนรินรดที่เรียวนิ้วของเขา ผะแผ่วเบาบาง แต่ทำไมกัน...มนัสถึงรู้สึกได้ว่าคนที่เขากำลังแตะต้องใบหน้าในตอนนี้ กำลังยกยิ้มอย่างออดอ้อนให้เขามากแค่ไหน

ดังนั้นแล้วมนัสจึงเม้มปากพลางเคลื่อนมือลงต่ำอีกนิด...แตะลงที่ริมฝีปากนุ่มหยุ่นนั้น...แล้วเกลี่ยไล้แผ่วเบาไปจนถึงมุมที่ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยตามที่เขาคิดเอาไว้จริงๆ

“นัท”

ริมฝีปากหยักบางขยับเอ่ยเมื่อชายหนุ่มนิ่งไปขณะที่ปลายนิ้วยังคงแตะที่มุมปากนั้น มนัสไม่ได้เอ่ยอะไร เขาเพียงแต่ก้มหน้าลงแล้วขยับปากบ้าง

แต่เพราะก้มหน้าอย่างนั้นเองที่ทำให้ชเยศอ่านไม่ได้ถนัดนัก ดังนั้นชายหนุ่มจึงใช้เรียวนิ้วเชยคางของมนัสให้เงยหน้าขึ้น เอ่ยบอกให้พูดอีกครั้ง

และประโยคนั้นเอง...ที่ทำให้ชเยศหลงลืมซึ่งทุกสิ่งที่สมควร

“...ผมอยากมองเห็นคุณ”

โน้มใบหน้าเข้าใกล้ แตะกลีบปากสัมผัสที่ริมฝีปากอิ่มเอิบแห้งผาก ประทับแนบตรึงตรา ส่งผ่านไออุ่นที่ริมฝีปากนั้นสู่อีกคน

จุมพิตนี้ไม่ใช่ความรุ่มร้อนชวนหลงใหล ไม่ใช่ความปรารถนาที่ชวนให้คลั่งไคล้พันผูก แต่มันเป็นจุมพิตที่ประทานความอ่อนโยนอบอุ่นตรงมาให้ ซึมซาบความห่วงหาอาทรและหวังดี ปรารถนาเป็นอย่างยิ่งว่าจะส่งต่อความรู้สึกที่แสนพิเศษที่มีให้ผู้รับได้รับรู้

และใช่...มนัสสัมผัสได้ถึงความต้องการนั้น

ชายหนุ่มไม่ได้ผละห่างจากหนี เขาเพียงแต่นิ่งไปครู่หนึ่งเพื่อซึมซับ ก่อนที่สองริมฝีปากจะค่อยๆ ขยับบดเบียดกันและกันอย่างเนิบช้า เป็นไปทุกอณูสัมผัสด้วยวินาทีที่มีค่า กรุ่นกลิ่นเจือจางของไอรักที่คละคลุ้งลอยละล่อง ให้ยิ่งแนบชิดกันมากขึ้น ติดตรึงกันมากขึ้น และเข้าใจถึงหัวใจของอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

ลมหายใจกรุ่นร้อนระบายรินรดกันยามเมื่อผละริมฝีปากออกห่าง หากชเยศก็ยังคงเฝ้าพะเน้าพะนอด้วยการกดแนบจุมพิตซ้ำๆ อยู่หลายครั้ง ทุกการกระทำสร้างเป็นถ้อยความท่ามกลางความเงียบ และสัมผัสเช่นนั้นที่สร้างให้ริมฝีปากของคนทั้งคู่เริ่มคลี่ยิ้มขึ้นทีละนิด ทีละนิด จนกลายเป็นส่งยิ้มจากหัวใจให้กันในที่สุด

“ผมจะอยู่กับคุณ โอเคไหม”

ชเยศเอ่ยขึ้นขณะแนบหน้าผากชิดกับหน้าผากของอีกคน ให้มนัสพยักหน้ารับแล้วส่งเสียงอือในลำคอ

“ไม่ว่าผลจะเป็นยังไง แต่ผมจะเป็นคนแรกที่คุณเห็นในตอนที่คุณลืมตาขึ้น ผมจะทำแบบนั้น”

ไม่ได้เอ่ยเป็นคำสัญญา แต่เสียงทุ้มแปลกแปร่งก็กลับจริงจังและมั่นคงพอให้มนัสอุ่นใจ เขาพยักหน้าซ้ำอีกครั้งทั้งที่คลี่ยิ้ม ยินยอมให้ชเยศประทับริมฝีปากลงมาที่เปลือกตาของเขาอย่างอ่อนโยน สองมือที่ยกขึ้นประคองใบหน้าของเขาไว้ช่างอุ่นเกินกว่าจะทำให้รู้สึกหนาวเหน็บ

และมนัสได้ให้สัญญากับตัวเอง...ว่าอีกไม่นานเกินรอหลังจากนี้ เขาจะลุกขึ้นเพื่อเผชิญกับความกลัวของตัวเอง

หากไม่ใช่เพราะชนัตที่จากไป ไม่ใช่บุพการีหรือคนรอบข้างที่เฝ้าห่วงใย ไม่ใช่ชเยศที่พร้อมจะอยู่กับเขาตลอดไป

เพราะเขาเอง...ที่จะทำเพื่อตัวเองให้ได้

เพื่อที่ในวันต่อๆ ไป เขาจะได้หยัดยืนและแข็งแกร่งด้วยตัวเอง

...เคียงข้างคนที่พร้อมจะก้าวเดินไปด้วยกัน

To be continued