บทที่ 9
“เฮ้อ...หนูก็ไม่รู้จะกล่อมเค้ายังไงแล้วค่ะคุณน้า”
กระแสเสียงที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่ากลัดกลุ้มมากเพียงใดดังขึ้นภายในห้องรับแขกของบ้านหลังเล็ก
ชญาภาหนีบโทรศัพท์ไว้ระหว่างหูกับช่วงไหล่ รัดรวบผมยาวสลวยให้เป็นมวยกลมๆ ก่อนเหลียวสายตาไปทางประตูบ้าน ไม่กี่วินาทีต่อจากนั้น เจ้าลัคกี้ก็เดินดุ่มๆ เข้ามาตามด้วยเจ้าของของมัน มนัสอยู่ในชุดเสื้อโปโลกางเกงขาสามส่วนดูสบายตัว ระบายรอยยิ้มบางเมื่อได้ยินเสียงของเธอดุลัคกี้ที่กระโดดขึ้นโซฟาในทันทีที่มนัสปล่อยสาย
ริมฝีปากอิ่มเผยออ้าหมายจะเอ่ยปาก หากเสียงของชญาภาก็ดังขัดขึ้นให้เขาได้เงียบไป
“หนูจะพยายามค่ะคุณน้า ทุกวันนี้แค่หนูพูดถึงคำว่าหูฟัง แค่นั้นเชนก็เดินหนีหนูเข้าห้องไปแล้ว”
เรื่องของชเยศหรือ...มนัสเอียงศีรษะเล็กน้อยก่อนตัดสินใจเดินไปทิ้งกายลงนั่งบนโซฟา ขยับปากเอ่ยสั่งเบาๆ ให้ลัคกี้ลงไปนอนที่ประจำของมัน แล้วจึงเอนกายพิงกับพนักโซฟาเงียบๆ เพื่อปล่อยให้ชญาภาพูดคุยไปอย่างนั้น ซึ่งชายหนุ่มก็คาดเดาได้ไม่ยากนักว่าคงกำลังคุยโทรศัพท์อยู่กระมัง
“หูฟังอยู่ในห้องเค้าค่ะ...ไม่ เค้าไม่ยอมให้หนูแตะเลย คงกลัวหนูจะหยิบมันยัดใส่หูเค้าแน่ๆ”
มนัสไม่เข้าใจนักหรอกว่าชญาภาหมายถึงอะไร แต่จากกระแสเสียงที่เขาเดาว่าเป็นกังวลในตอนแรก ตอนนี้กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความหงุดหงิดใจจนอดไม่ได้ที่จะคลายยิ้ม ชายหนุ่มระบายลมหายใจยาวแล้วขยับกายเล็กน้อย เป็นจังหวะเดียวกับที่ปลายนิ้วทั้งห้าของชญาภาแตะลงบนบ่าลาดของเขาพอดิบพอดี
“ได้เรื่องยังไงแล้วหนูจะเล่าให้ฟังเป็นระยะนะคะ ค่ะ สวัสดีค่ะคุณน้า” มือที่เคยแตะแผ่วกลับบีบบ่าเขาไม่เบาไม่แรงให้เงยหน้าขึ้น ก่อนเธอจะเอ่ยขึ้นอีกหนึ่งประโยคที่ชักชวนให้เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย “นายเข้าไปปลุกเชนให้ทีสิ ฉันกำลังจะทำกับข้าว”
“เดี๋ยว...แล้วคุณเชน...”
“อยู่ห้องทำงานเก่าฉัน นายจำทิศได้ใช่รึเปล่า?”
พูดเพียงเท่านั้นหญิงสาวก็เดินผละเข้าห้องครัวไป ทิ้งไว้ให้มนัสนั่งนิ่งๆ บนโซฟาอย่างครุ่นคิด มันเป็นเรื่องยากที่เขาจะจดจำภาพรายละเอียดได้อย่างชัดเจนเหมือนวันวาน ห้องทำงานเก่าของชญาภาเป็นเขตที่เขาไม่ได้เข้าไปใกล้บ่อยมากนัก ยิ่งพักหลังมานี้แทบไม่ได้เหยียบเข้าไปเลยน่ะสิ
เช่นนั้นแล้วเขาจึงต้องทบทวน ใช้เวลาเป็นอย่างมากกว่าที่จะหยัดกายขึ้นยืน เสียงของกระทบดังแว่วซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากในห้องครัวคล้ายเร่งรัดให้เขารีบร้อน มนัสเริ่มก้าวเท้าเดินไปทางขวาของโซฟา กวาดมือแล้วแตะลงที่เสากลางบ้านก่อนครุ่นคิดอีกครั้ง
ถ้าเดินตรงไปจะเป็นห้องของชญาภา...
ชายหนุ่มใจเย็นพอที่จะทบทวน ค่อยๆ ก้าวเท้าไปจนถึงประตูห้องที่มีลูกบิด เช่นนั้นแล้วเขาจึงหยุดนิ่งเพื่อคิดอีกครั้ง ก่อนหมุนตัวไปทางซ้าย แตะเรียวนิ้วไล่ไปตามผนังจนกระทั่งเจอกับลูกบิดประตูจึงค่อยหยุดเดิน
มนัสเม้มกลีบปากในตอนที่เคาะประตูห้องให้เกิดเสียง หากเมื่อไม่ได้รับคำตอบใดจากคนที่อยู่ด้านใน ชายหนุ่มจึงถือวิสาสะหมุนลูกบิดแล้วผลักบานประตูเปิดเข้าไป ทันทีที่สองเท้าเหยียบย่าง กลิ่นเฉพาะตัวชเยศก็ทำให้มั่นใจว่าเขาเข้ามาถูกห้องแล้ว ดังนั้นมือเรียวจึงผลักประตูปิดเพียงแผ่วเบา ค่อยๆ ก้าวอย่างระมัดระวังพร้อมกับเงี่ยหูฟังเสียงไปด้วย
เขาได้ยินเสียง...หายใจ
แต่มันเป็นการผ่อนระบายลมหายใจที่ค่อนข้างชวนให้อึดอัด
มนัสหยุดนิ่งอยู่กับที่ครู่หนึ่ง แว่วเสียงครางต่ำในลำคอจะดังมาจากด้านขวาเยื้องตรงไปด้านหน้า หากเสียงนั้นกลับทำให้มนัสรู้สึกไม่ดีเลยสักนิด การขยับเคลื่อนไหวร่างกายของใครบางคนราวกับทรมานเกินกว่าจะเป็นการนอนตามปกติทั่วไป เสียงการหายใจเริ่มหอบหนักมากยิ่งขึ้น เสียงครางต่ำยังคงมีเป็นระยะ ให้เรียวคิ้วโค้งเข้มขมวดเข้าหากัน เริ่มยื่นมือไปข้างหน้าแล้วกวาดไล่ไปบนอากาศ
เสียงแบบนั้น บางทีชเยศอาจจะฝันร้ายกระมัง
“คุณ...คุณเชน...”
มนัสเรียกเสียงแผ่ว ก่อนจะสะดุดเล็กน้อยเมื่อเท้าข้างขวาที่ก้าวนำแตะเข้ากับบางสิ่งที่ค่อนข้างนุ่มหยุ่น ชายหนุ่มค่อยๆ ย่อกายลงต่ำ ใช้มือแตะลงบนสิ่งกีดขวางก่อนจะได้พรูลมหายใจอย่างโล่งอก เมื่อร่างกายหย่อนลงนั่งกับพื้นแล้ว มนัสจึงค่อยขยับตัวนั่งคุกเข่าทับขาแล้วเอื้อมมือไปตรงหน้า
แตะลงที่ช่วงขา ขยับไล่สัมผัสที่ท่อนแขน มนัสบีบเบาๆ พลางเอ่ยเรียกชื่อชเยศอีกหน หากสิ่งที่ได้รับกลับกลายเป็นคนที่นอนหอบลมหายใจพลิกตัวมาทางเขา รู้สึกได้ถึงลมหายใจกรุ่นร้อนที่รินรดส่งมายังมือเขาที่ถูกดึงแล้วกุมกระชับไว้
มือนั้นสั่นเทา และใช่ มนัสสัมผัสได้ถึงความ...หวาดกลัว
“เชน...คุณ...คุณเชน ตื่นได้แล้วนะ คุณเชน”
มนัสใช้มือข้างซ้ายที่เป็นอิสระขึ้นแตะที่แก้มเย็นชืดแล้วตบเบาๆ หมายเรียกรั้งให้สติของชเยศกลับคืน และมันได้ผล ด้วยจู่ๆ มือที่กระชับมือเขาไว้กลับเกร็งแน่น บีบจนเกือบจะเต็มแรงให้ชายหนุ่มได้เม้มกลีบปากเล็กน้อยก่อนจะผ่อนแรงไป ลมหายใจยังคงระบายผ่อนหนักอยู่บ้างตามการได้ยิน แต่ก็คล้ายจะแผ่วลงไปมากแล้วจนคิดว่าน่าจะกลับเข้าสู่การหายใจที่เป็นปกติ
ชเยศปล่อยมือเขาให้เป็นอิสระแล้ว จากนั้นจึงตามด้วยการขยับเคลื่อนไหวที่ทำให้มนัสเลื่อนมือกลับมาวางบนตักของตัวเอง ชายหนุ่มจับการขยับร่างกายของอีกฝ่ายผ่านการได้ยิน เขาเดาว่าตอนนี้ชเยศน่าจะลุกขึ้นนั่งเรียบร้อยแล้ว
แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เข้าใจคือ มนัสรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องเขาเขม็ง
ชเยศมักจะเป็นอย่างนี้อยู่เสมอเลย ชอบจ้องเขาเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร ไม่รู้เลยหรือว่ามันจะทำให้คนที่มองไม่เห็นอย่างเขาอึดอัดได้ไม่มากก็น้อยน่ะ
“คุณตื่นแล้วใช่ไหม”
แว่วลมหายใจระบายยาว ก่อนการเคลื่อนไหวจะเกิดขึ้นอีกครั้ง หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีมนัสก็ได้ยินเสียงดังกริ๊กจากเบื้องหลัง แล้วจึงรับรู้ถึงอีกคนที่กลับมาอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง
“เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ โทษที...ผมยังมึนๆ อยู่”
“ผมถามว่าคุณตื่นแล้วใช่ไหม”
ชเยศขยับตัวอีกแล้ว แต่คราวนี้เหมือนมนัสพอจะจับทางได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ลุกไปไหน แต่กลายเป็นทิ้งตัวลงไปนอนกับผืนฟูกอีกรอบแล้วต่างหาก ชายหนุ่มเผยอกลีบปาก เอื้อมมือไปแตะแขนที่ทำให้ได้รู้ว่าแข็งแรงมากแค่ไหนก่อนดึงเบาๆ
“ว่าไงครับคุณนัท”
คนที่ได้รับคำถามเอื้อมมือขึ้นสูงเล็กน้อย แตะเข้ากับช่วงหัวไหล่ก็ให้ได้รู้ว่าชเยศพลิกกายนอนตะแคงหันเข้าหา ดังนั้นชายหนุ่มจึงได้แต่ส่ายหน้าช้าๆ แล้วว่าขึ้น “ตื่นก็ลุกเถอะครับ ฟ้ากำลังทำกับข้าวรอคุณ”
“ผมยังง่วงอยู่เลย”
“เหนื่อยด้วยใช่ไหม”
ชเยศนิ่งไปครู่หนึ่ง “ครับ?”
“ฝันร้ายใช่รึเปล่าครับ”
แม้จะถามออกไปอย่างนั้นและยังไม่ได้รับคำตอบ แต่สิ่งที่มนัสทำได้ในตอนนี้ก็มีเพียงบีบหัวไหล่ชเยศเบาๆ หลายๆ ครั้ง การกระทำอย่างนี้คล้ายเป็นการปลอบประโลม แต่อีกหนึ่งทางชายหนุ่มเพียงอยากให้ชเยศผ่อนคลายลงบ้างก็เท่านั้น เพราะฟังจากกระแสเสียงยามเมื่อตอบคำ หรือแม้แต่กล้ามเนื้อไหล่ที่เหมือนจะกำลังเกร็งนิ่ง ทุกอย่างทำให้เขาเกิดความกังวลอยู่ไม่น้อย
“ครับ ฝันร้าย...” ชเยศเงียบไปอีกครั้ง ปล่อยให้เขาบีบนวดไหล่อยู่อย่างนั้นจนเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น “ผมฝันอย่างนี้มาหลายปีแล้วล่ะครับ”
มนัสพยักหน้ารับ คลี่ยิ้มบางแล้วเคลื่อนมือออกจากไหล่ เขายกมือขึ้นแตะลงบนกลุ่มผมชื้นเหงื่อ ลูบเบาๆ แล้วค่อยขยับมือกลับมาวางบนหน้าตักตัวเองอีกครั้ง คราวนี้ถึงแม้จะรับรู้ได้ถึงสายตาของอีกคนที่กำลังจ้องมองมามนัสก็ไม่อึดอัดอีกแล้ว
บางทีการที่นั่งเงียบอยู่อย่างนี้ ถึงแม้เขาจะไม่ใช่คนสำคัญอะไร แต่การที่ได้มีใครสักคนนั่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลในช่วงเวลาที่เพิ่งตื่นจากฝันร้ายก็คงจะดี
เงียบไปอีกหลายอึดใจ สุดท้ายชเยศก็ระบายลมหายใจอีกครั้งแล้วขยับตัว เสียงสวบสาบดังขึ้นไม่ไกลกันพร้อมๆ กับที่ยังรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหว ได้ยินเสียงตบหมอนเบาๆ สองสามครั้ง ก่อนไออุ่นจากเรือนกายของชเยศจะระบายใกล้ชิดให้เขาขมวดคิ้ว
“ตื่นแล้วครับ ออกจากห้องกันเถอะ”
มนัสพยักหน้ารับโดยไม่เอ่ยอะไร และไม่ยินยอมรับน้ำใจจากชเยศที่ยื่นมือส่งมาแตะที่หลังมือของเขา หมายจะให้จับเอาไว้เพื่อช่วยพยุงลุกขึ้นยืน ชายหนุ่มส่ายหน้าช้าๆ ระบายลมหายใจแล้วขยับหมุนตัวโดยที่แตะมือลงกับขอบเหลี่ยมที่น่าจะเป็นโต๊ะเอาไว้ แต่จังหวะที่กำลังล้มนั่นเอง ที่ทำให้มือที่แตะกับขอบเหลี่ยมปัดโดนบางสิ่งให้ตกกระทบลงสู่พื้น
“ขอโทษครับ”
ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเบา ก้มหน้าลงแล้วเริ่มปัดมือกับพื้นเพื่อหาของที่ตกไป ก่อนจะได้หยุดนิ่งเมื่อเรียวนิ้วแตะโดนเข้ากับบางสิ่ง เขาจับมันเอาไว้อย่างเบามือ ยกขึ้นแล้ววางลงบนโต๊ะตามตำแหน่งที่คาดว่าน่าจะไม่ใกล้ไม่ไกลจากตำแหน่งเดิมของมัน
‘หูฟังอยู่ในห้องเค้าค่ะ...ไม่ เค้าไม่ยอมให้หนูแตะเลย คงกลัวหนูจะหยิบมันยัดใส่หูเค้าแน่ๆ’
มนัสแลบลิ้นเลียกลีบปาก ใช้ปลายนิ้วแตะไล้สิ่งที่เพิ่งวางลงพลางประเมินสิ่งของนั้น ลักษณะรูปทรงค่อนข้างแปลกไปจากสิ่งที่เคยรับรู้ ใช่ว่าการที่เขาตาบอดจะทำให้ไม่ยอมรับสิ่งบันเทิงใด ชายหนุ่มมีเครื่องเล่นขนาดพกพาติดตัวไว้ มีหูฟังที่แม่ของเขาบอกว่ามันเป็นสีขาวอย่างที่ต้องการพันเก็บในกระเป๋าตลอดเวลา แต่มันไม่เหมือนแบบที่เขากำลังจับอยู่เลยสักนิด ไม่เหมือนเลย
“เฮ่~ ซนหรือครับคุณมนัส”
เสียงทุ้มดังขึ้นไม่จริงจังนัก ก่อนสิ่งที่กำลังแตะต้องอยู่จะอันตรธานหายไปพร้อมกับมือกว้างที่รวบมือของเขาไว้ มนัสถูกรั้งให้หยัดกายขึ้นยืนอย่างไม่เต็มใจนัก แถมพอเขายืนเต็มความสูงแล้ว ชเยศกลับไม่ปล่อยให้เขาก้าวเดินได้อย่างอิสระอีกต่างหาก ชายหนุ่มถูกจับจูงให้ค่อยๆ ก้าวออกจากห้องอย่างไม่รีบร้อน รับรู้ได้ถึงกระแสลมที่โชยพัดพอให้ได้รู้ว่าออกจากห้องของชเยศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“เร็ว ฉันหิวจะแย่แล้ว ปลุกอะไรกันนานขนาดนั้น เชนไม่ยอมตื่นใช่ไหม ให้ตายเถอะ ขี้เซาจริงๆ เลย!”
ทันทีที่ได้ยินเสียงประตูห้องปิดสนิท เสียงของชญาภาก็ลอยตามมาให้มนัสได้คลายยิ้ม น่าแปลกที่ครั้งนี้ชเยศไม่ได้ตอบโต้พี่สาวเหมือนที่เขาเคยได้ยิน ไม่มีแม้แต่เสียงระบายลมหายใจให้ได้รู้ว่าเบื่อหน่ายมากแค่ไหนกับความขี้บ่นนั้น ชเยศก็เพียงแค่นำทางเขาให้เดินไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ แว่วเสียงลัคกี้จะร้องขึ้นเบาๆ เหมือนทักทายคนที่จูงมือเขาอยู่เท่านั้น
“นั่งครับ”
เสียงลากเลื่อนดังขึ้นก่อนชเยศจะเอ่ยบอก แล้วก็เป็นชเยศอีกเช่นกันที่วางมือเขาลงบนขอบเหลี่ยมที่เป็นไม้ เดาได้ไม่ยากนักหรอกว่าเป็นเก้าอี้ตัวหนึ่งและคงจะอยู่ตรงโต๊ะรับประทานอาหาร ชายหนุ่มพึมพำเบาๆ ว่าไม่ชอบเท่าไหร่นักที่ชเยศช่วยเหลือขนาดนี้ แต่ก็กลายเป็นว่าอีกฝ่ายหัวเราะขึ้นมาซะอย่างนั้น
“ได้ยินด้วยหรือครับ?”
“ครับ ทำไมจะไม่ได้ยินล่ะ”
มนัสนิ่งไป วางมือแตะบนช้อนยาวแล้วหยิบขึ้น และถึงแม้ว่าตลอดช่วงเวลาการรับประทานอาหารจะราบรื่นไม่มีสิ่งใดติดขัด ทว่าในใจของมนัสก็ยังคงครุ่นคิดตลอดเวลา ทั้งในตอนนี้ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่มนัสก็เพิ่งจะสังเกตได้เมื่อครู่นี้เอง
เสียงเคาะโต๊ะเบาๆ ซึ่งน่าจะมาจากปลายเล็บของใครสักคนดังขึ้น จากนั้นบทสนทนาระหว่างสองพี่น้องก็จะดำเนินไป พอเงียบกันไป สักพักหนึ่งเสียงเคาะโต๊ะก็จะดังขึ้นอีกครั้งตามด้วยบทสนทนาดังเดิม การกระทำนั้นเป็นไปซ้ำๆ ระหว่างมื้ออาหารจนกระทั่งใครบางคนลุกขึ้นยืน แล้วเสียงการสนทนาก็เงียบลง
อึดอัดขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ และมนัสคงแสดงสีหน้าชัดเจนพอจะให้ใครบางคนสังเกตเห็น เพราะอย่างนั้นแล้วมือหนึ่งจึงแตะลงที่ลาดบ่าของเขา เอ่ยถามขึ้นด้วยกระแสเสียงที่แม้จะยังคงแปร่งแปลกอยู่บ้าง หากก็ทุ้มนุ่มดูห่วงใยจากใจจริง
“คุณเป็นอะไรรึเปล่า สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลย”
มนัสหันหน้าไปทางซ้ายตามทิศของเสียงที่ได้ยิน เขารู้ว่าตัวเองไม่สามารถมองจ้องใครอีกคนได้อย่างที่คิดจะทำ แต่มันก็ทำให้อีกคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กันมองเขานิ่งอย่างรอคอย มนัสไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็พรูลมหายใจยาวแล้วเอ่ยขึ้น
“คุณทำให้ผมสงสัย”
ชายหนุ่มกระซิบเบาให้ชเยศนิ่งไปเล็กน้อย เขาผละมือออกจากลาดบ่าของมนัสแล้วนิ่งอยู่อย่างนั้น คลับคล้ายรอคอยให้พูดอะไรเพิ่มเติม แต่เพราะอย่างนี้จึงยิ่งทำให้อึดอัดมากขึ้น มนัสไม่รู้ว่าคนตรงหน้ากำลังมีสีหน้าแบบไหน ดวงตาที่มองเขาอยู่จะมีแววประกายใดซุกซ่อนอยู่
ชายหนุ่มเห็นเพียงความมืดมิด รับรู้ได้เพียงเสียงที่ส่งผ่านมา ทุกอย่างคือความมืดดำที่ทำให้เขาเริ่มลืมเลือนลักษณะสิ่งของไปทีละช้าๆ
เหมือนกับหัวใจ...ที่ค่อยๆ สึกกร่อนจนแทบไร้ความรู้สึกใดในก่อนหน้า
“คุณมีอะไรปิดบังผมอยู่รึเปล่า”
แต่มันกำลังจะรู้สึกขึ้นอีกครั้งเพราะชเยศ...ถึงแม้จะเป็นความรู้สึกที่ไม่ดีนักก็ตาม
“นี่ เดี๋ยวจะออกไปหาเค้กกินที่ร้านคุณมุ่นนะ พวกนายจะเอาอะไรรึเปล่า”
เสียงของชญาภาดังขึ้นจากที่ไกล ให้มนัสหันมองไปตามเสียงแล้วตอบปฏิเสธออกไป ตรงข้ามกับอีกคนที่ไม่แม้แต่จะส่งเสียงออกมาแม้แต่คำเดียว ดูเหมือนว่าชเยศจะไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าพี่สาวเอ่ยถามอะไร กระแสสายตายังคงจับจ้องอยู่ที่เขาไม่คละคลาด
และเมื่อเสียงเครื่องยนต์ดังแผ่วไปไกลทุกทีจนเงียบลง เมื่อนั้นมนัสจึงเริ่มเอ่ยขึ้นอีกครั้ง...ด้วยเสียงที่ยังกระซิบจนแม้แต่ตัวเองก็ยังแทบไม่ได้ยิน...เหมือนเคย
“ที่ผมทำของคุณตกในห้องเมื่อกี้คืออะไร มันเหมือน...หูฟังใช่ไหม แต่มันไม่เห็นเหมือนหูฟังที่คนใช้กันทั่วไปเลย”
มนัสพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะพูดด้วยจังหวะเนิบช้าไม่เร็วรี่ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แต่เขาสั่งให้ตัวเองทำอย่างนั้น...และคนตรงหน้าก็เอื้อมมือมาจับมือเขาไว้แล้วบีบเบาๆ
“ครับ นั่นคือหูฟัง”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อ “เมื่อกี้ที่ผมบ่นคนเดียว ผมพูดเบามาก...แต่คุณก็ยังได้ยิน”
“ผม...”
“แม้กระทั่งตอนนี้ที่ผมกระซิบขนาดนี้ ทำไมคุณถึงได้ยินทุกคำของผมได้ครับ คุณชเยศ”
มือของมนัสกำไว้ในขณะที่ชเยศยังคงกอบกุมอยู่อย่างนั้น ปลายนิ้วโป้งส่งไออุ่นผ่านการไล้เกลี่ยข้อนิ้วของเขาไปมาซ้ำๆ อย่างเงียบเชียบ การกระทำคล้ายใส่ใจหากก็ดูล่องลอยในคราวเดียวกัน และเพราะชเยศที่เงียบไปนานโดยไม่ตอบอะไร ชายหนุ่มจึงกระตุกมือที่อีกฝ่ายกอบกุมไว้แล้วเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
ลมหายใจระบายยาวอย่างอัดอั้น ชเยศเงียบไปอีกหลายวินาที ก่อนจะเอ่ยตอบคนที่อยู่ตรงหน้าในที่สุด
“ที่ผมรู้ทุกคำ เพราะผมฟังจากปากของคุณ...ด้วยการอ่าน”
มนัสเผลอขบกลีบปากล่างตนเอง หัวใจเขาเต้นรัวแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สภาวะการสั่นไหวของหัวใจทำให้มนัสอึดอัดไม่น้อย มันอาจจะยิ่งรุนแรงมากกว่านี้ก็ได้ถ้าหากว่ามือใหญ่ที่กุมมือเขาเอาไว้จะปล่อยปละละเลยกันไป ทว่าชเยศยังคงกุมมือเขาไว้เช่นนั้น บีบเบาๆ แล้วเอ่ยขอโทษให้ได้ยิน
ก่อนคำสารภาพจะดังขึ้น
“เป็นเพราะผมไม่ได้ยินอะไรครับคุณนัท”
...และมันดังก้องอยู่ในหูของมนัสอีกหลายนาที
To be continue