ไม่ว่าจะเป้าหมายเล็ก หรือเป้าหมายใหญ่ คนเราทุกคนล้วนเกิดมาพร้อมเป้าหมาย

อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่แล้ว และเราเรียกสิ่งนั้นว่าความฝัน

" ความฝัน " นั้นเป็นเรื่องที่ดี เพราะมันทำให้เรามีเป้าหมายในชีวิต

อีกนัยหนึ่ง

มันก็ทำให้เรามีความหวังในการดำเนินชีวิต ที่อยากจะก้าวหน้า ได้ใช้ชีวิตในสิ่งที่เรารักอยู่ด้วยเช่นกัน


ซึ่งความฝันนั้น มันคือสิ่งที่เติมความสุขให้กับชีวิตของเราก็จริง แต่ในแง่ความเป็นจริง

ความฝันของแต่ละคนไม่เท่ากัน มีทั้งง่ายและยาก บางคนสำเร็จ บางคนยังคงผิดหวัง และมีอีกหลายคนที่ผิดหวังเป็นเวลานานและบ่อยครั้ง

จนอาจท้อไปต่างๆ นานา แต่เหตุผลของการไม่ประสบความสำเร็จนั้นเกิดจากอะไร

เกิดจากที่เราไม่ตั้งใจ เกิดจากความฝันเราใหญ่ไป หรือเกิดจากฝันนั้นไม่ควรเป็นของเราตั้งแต่แรก

ขอบอกไว้เลยว่า

ไม่มีความฝันไหน ที่ไม่ควรเป็นของใคร

มีเพียงแค่ปัจจัยบางอย่างเท่านั้นที่ทำให้เราไม่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่หวังไว้สักที ซึ่งส่วนใหญ่นั้นเกิดจากความคิดของเราเอง และอาจจะมีปัจจัยจากแวดล้อมบ้า

ลองสังเกตให้ดี ว่าที่เรายังจมอยู่กับที่ เป็นเพราะเราติดอยู่ใน 7 ปัจจัยนี้รึเปล่า?


7 ปัจจัย ที่ทำให้ชีวิตเราไม่ไปไหนซะที


1. ความฝันลมๆ แล้งๆ

รูปภาพ:https://files.brightside.me/files/news/part_52/524010/1158110-18241110-776922img-0-1526973801-1526973842-1500-1-1526973842-728-04f9ebaa03-1527872826.jpg

ถึงจะบอกว่า

ไม่มีความฝันไหน ที่ไม่ควรเป็นของใครก็เถอะ แต่ก็มีอยู่ความฝันหนึ่งที่ฝันได้ แต่อย่าไปยึดมั่นนัก นั่นก็คือ " การฝันลมๆ แล้งๆ "

ซึ่งหลายคนน่าจะเป็นกันเยอะเลย เราทุกคนชอบฝันกันอยู่แล้ว แต่บางคนก็ค่อนข้างจะฝันอะไรที่มันเกินจริง

ฝันเกินจริงที่ว่าไม่ใช่ฝันที่ใหญ่เกินตัวนะ แต่เป็นฝันที่เปอร์เซ็นต์เป็นไปได้น้อยมาก เป็นภาพวาดฝันลวงตาที่แทบจะไม่มีทางเกิดขึ้นจริงเลย

อย่างเช่น

หวังว่าสักวันจะถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 แล้วจะได้เอาเงินมาใช้ก่อร่างสร้างตัว หรือฝันว่าจะมีเศรษฐีใจดีมาหลงรัก แล้วชีวิตก็จะสบาย

อะไรเหล่านี้บลาๆๆ ซึ่งนิสัยแบบนี้หากคิดบ่อยๆ

จะกลายเป็นฝังตัวเองให้จมอยู่กับโลกแห่งจินตนาการ เฝ้ารอแค่ปาฏิหาริย์จนไม่คิดที่จะพยายามลงมืออะไรเพื่อความฝันตัวเอง

และถ้าคุณไม่ลงมือทำอะไรซะที่ แล้วเอาแต่นั่งฝันอยู่กับที่ล่ะก็

คุณก็จะได้แต่ฝันนึกถึงวันที่ตัวเองเจอส้มหล่น หรือตกถังข้าวสาร ลองนึกดูสิว่ามีสักกี่เปอร์เซ็นต์ ที่จู่ๆ คุณจะได้พบกับอะไรแบบนั้น ไม่ถึง 1% เลยด้วยซ้ำ

แต่ถ้าคุณอยากหลุดพ้น และอยากให้ชีวิตคุณดีขึ้นจริงๆ ล่ะก็

ทิ้งความหวังลมๆ แล้งๆ นั้นไว้ข้างหลัง แล้วลงมือทำอะไรสักอย่างที่คุณยังไม่เคยทำ เพื่อเข้าใกล้เป้าหมายให้ได้อย่างแท้จริงจะเห็นผลเร็วกว่าเยอะเลยนะ


2. วอกแวก ไม่สามารถจดจ่ออยู่กับเป้าหมายที่ทำ

รูปภาพ:https://files.brightside.me/files/news/part_52/524010/1158160-18214460-776923-0-1526971137-1526971152-1500-1-1526971152-728-04f9ebaa03-1527872826.jpg

อันนี้หลายคนน่าจะรู้กันดี ว่าตอน

ทำงานแล้วรู้สึกได้เลยว่างานเสร็จช้ามาก ส่วนใหญ่ไม่ใช่เพราะงานยากเกินความสามารถเราเลย

แต่เป็นเพราะความคิดที่ว่า

"ขอเล่นเกมสักตาหนึ่งน่ะ เดี๋ยวค่อยแวบไปทำงานต่อ" หรือ "เช็คเฟส เช็ค IG ให้ครบหน้าฟีดก่อน ค่อยไปทำงานต่อ"

ก็ไม่แปลกที่จะเกิดอาการแบบนี้ในยุคที่เครื่องไม้เครื่องมือเทคโนโลยี และโลกแห่งโซเชียลอยู่ใกล้ มาไวแค่นิ้วแตะ มันเลยทำให้เราเริ่มติดมือถือโดยไม่รู้ตัว

ถึงแม้จะไม่มีมือถือ แต่ถ้าเราไม่มีสมาธิจดจ่อ เราก็สามารถวอกแวกได้ตลอดเวลา

อย่างเช่นช่วงอ่านหนังสือสอบ จู่ๆ ก็ลุกมากวาดบ้าน จัดเตียงซะอย่างนั้น

จึงทำให้เควสท์ประจำวันของเรา ที่อุตส่าห์ตั้งไว้ซะดิบดี ไม่บรรลุเป้าหมายซะที

การที่เราวอกแวกนั่น

เกิดจากอาการเบื่อ ผสมรวมกับความขี้เกียจ และความไม่ตั้งใจจริง

ซึ่งถ้าเรามีความมุ่งมั่นอยากประสบความสำเร็จจริงๆ ล่ะก็

ทุกครั้งที่คุณจะวอกแวกให้นึกถึงเป้าหมายไว้เลย ว่าถ้าเราตั้งใจทำ ในที่สุดมันก็จะเสร็จและจบไป แถมได้ใช้เวลาอย่างเต็มที่

ไม่ต้องรอไฟลนก้นแล้วค่อยทำ

ดังนั้นนอกจากงานจะเสร็จทันเวลาแล้ว ก็ออกมาคุณภาพดีด้วย แบบนี้เราก็จะเข้าใกล้ความสำเร็จไปอีกขั้นแล้วแน่นอน

ทำงานให้เสร็จปุ๊บ พักได้สบายใจกว่าน้า... จริงป้ะ


3. ท้อง่าย ไม่มั่นคง

รูปภาพ:https://files.brightside.me/files/news/part_52/524010/1158210-18245310-776924img-0-1526974287-1526974298-1500-1-1526974298-728-04f9ebaa03-1527872826.jpg

คุณเคยตั้งมั่นเป้าหมายอะไรไว้หลายๆ อย่างแต่ทำไม่สำเร็จเลยสักอย่างมั้ย?

เชื่อว่าหลายๆ คนต้องเคยเป็นอย่างน้อยสักครั้งหนึ่งในชีวิต

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกีฬา, ไดเอท หรือโปรเจ็กต์อะไรก็ตามที่ตั้งใจซะดิบดี แต่ทำได้แค่อาทิตย์ หรือเดือนเดียว

ถ้ามีเหตุการณ์อะไรแบบนี้ล่ะก็ มันเกิดขึ้นได้จากเหตุผลบางอย่าง นั่นก็คือ

การขาดความมานะ อุตสาหะ และไม่ได้มีจิตปรารถนามากพอต่อผลลัพธ์ที่เคยตั้งเอาไว้

ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้ ในที่ญี่ปุ่นเคยมีศัพท์สำหรับอาการแบบนี้ด้วย

เรียกว่า " พระ 3 วัน " ซึ่งเลข 3 ในที่นี้หมายถึง ระยะเวลาเฉลี่ยของความตั้งใจของเราพุ่งถึงขีดสุด

ก็คือมีความตั้งใจแรงกล้าได้แค่ไม่กี่วัน หลังจากนั้นตบะแตก

ซึ่งถ้าคุณมีอาการแบบนี้แล้วไม่แก้ล่ะก็

เป้าหมายใหญ่ๆ ก็จะไม่มีทางสำเร็จ เพราะเป้าหมายเล็กๆ ย่อยๆ ก็จะสำเร็จไม่ได้ หากขาดความมุ่งมั่น และอุตสาหะอย่างต่อเนื่องมั่นคง

เพื่อแก้ไขวงจรอุบาทว์นี้ ควรค่อยๆ ทำเพื่อบรรลุเป้าหมาย

อย่ามี Passion แรงกล้าเกินไปนัก เพราะมันจะทำได้แค่ช่วงสั้นๆ ให้ค่อยๆ ทำจนกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน โดยไม่รู้สึกเดือดร้อน และทรมานอะไร


4. ไม่กล้ายอมรับผิด ในสิ่งที่ตัวเองพลาด

รูปภาพ:https://files.brightside.me/files/news/part_52/524010/1158260-18247660-776916-0-1526974526-1526974537-1500-1-1526974537-728-04f9ebaa03-1527872826.jpg

ไม่ใช่ว่าเหตุการณ์ทุกอย่างที่ผิดพลาดในชีวิต จะเป็นความผิดของเราไปซะทุกเรื่องหรอก แต่สำหรับ

บางเรื่อง เราอาจมีส่วนต้องรับผิดชอบจริงๆ ก็แค่ยอมรับไป เพราะการโทษคนอื่น นอกจากจะไม่ได้ช่วยให้เกิดประโยชน์อะไรแล้ว

ผลก็เหมือนเดิม แถมเผลอๆ

อาจจะแย่กว่าเดิมซะอีก ทั้งต่อสายตาคนอื่น และต่อศักยภาพของตัวเราเอง

ทุกครั้งที่เรา

แสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เราผิดพลาด จะเป็นโอกาสในการนำไปสู่อนาคตที่ดีกว่าเสม

อ เพราะคุณมีความสามารถในการยอมรับผิด

และก็จะเข้าสู่การฝึกแก้ไขปรับปรุงตัว เพื่อจะได้ไม่ผิดพลาดในครั้งต่อไป

และนี่แหละคือ

หนทางไปสู่ความก้าวหน้า ง่ายๆ เพียงแค่เริ่มจากการยอมรับผิดเนอะ!


5. โยนบาปให้คนอื่น

รูปภาพ:https://files.brightside.me/files/news/part_52/524010/1158410-18255060-776918-0-1526975151-1526975180-1500-1-1526975180-728-04f9ebaa03-1527872826.jpg

ในโลกนี้จะมีคนอยู่ 2 ประเภท

1. คนที่คอยโทษแต่คนอื่น เมื่อต้องเจอกับความผิดหวัง และ 2. คนที่รับผิดชอบต่อทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเอง

คนที่ชอบตำหนิว่ากล่าวคนอื่น อาจจะชอบโทษนั่นโทษนี่ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล, ประเทศ หรือไปจนถึงพ่อแม่ของตัวเอง ที่รวยไม่พอ จึงทำให้ตัวเองไม่ประสบความสำเร็จ

ในขณะที่คนอีกประเภทหนึ่งจะรู้ตัวอยู่เสมอว่า

ความสำเร็จจะมาถึงได้ด้วยความพยายาม, ความหมั่นเพียร และความมุ่งมั่นต่อเป้าหมาย และคนประเภทนี้จะไม่มีเวลาไปมัวโทษคนอื่น

จำไว้อย่างหนึ่งเลยว่า

ถ้าหากล้มเหลว ก็ไม่สามารถโทษใครได้ นอกจากตัวคุณเอง และก็ไม่มีใครที่จะทำให้อนาคตของคุณสุขสมหวังได้ นอกจากตัวคุณเองเช่นกัน


6. เป้าหมายที่ไม่มีจริง

รูปภาพ:https://files.brightside.me/files/news/part_52/524010/1158460-18256410-776921-0-1526975389-1526975408-1500-1-1526975408-728-04f9ebaa03-1527872826.jpg

เราทุกคนมีความฝัน และความฝันจะสำเร็จได้ต้องมีความมั่นใจ แต่ความมั่นใจที่ว่านั้นต้องเกิดจากการที่เรารู้ตัวว่ามีความสามารถพร้อม

ไม่ใช่หลงประเด็น หรือคาดหวังว่าจะประสบความสำเร็จได้ด้วยปัจจัยอื่น ที่ไม่ใช่ความสามารถ และสิ่งที่จะช่วยสนับสนุนความฝันให้เกิดขึ้นจริง

อย่างเช่นคุณ

ฝันอยากจะเป็นไอดอล และคิดเอาเองว่าแค่ตัวเองมีคาแรคเตอร์โดดเด่น ก็จะได้เป็นไอดอลสมใจแล้วโดยไม่ต้องมีความสามารถอะไรมากมาย สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงแค่ความคาดหวังของตัวคุณเอง

ซึ่งเอาจริงๆ แล้วมันก็เป็นไปได้ยากอยู่ดี ฉะนั้นถ้าหากคุณเปลี่ยนความฝันให้เป็นเป้าหมายแล้วล่ะก็

จงมองเห็นเป้าหมายให้ชัดเจน แล้วดูว่าอะไรคือสิ่งที่จะช่วยสนับสนุนให้คุณประสบความสำเร็จในเป้าหมายนั้นได้

ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ และมันสามารถเป็นจริงได้มั้ย ภายในกี่ปี

วิเคราะห์ว่าอะไรคือสิ่งที่จำเป็นต่อความฝันของเรา

โดยมีเราเป็นหนึ่งในตัวแปร

ถ้าหากเราคิดว่าความฝันของเราดูท่าจะไม่เป็นจริง ก็ลองแปลงให้มันกลายเป็นเป้าหมายย่อยๆ แทนก่อน แล้วค่อยๆ ทำก็ได้เช่นกัน


7. ความล้มเหลวที่ผ่านมา

รูปภาพ:https://files.brightside.me/files/news/part_52/524010/1158510-18267410-776920-0-1526976258-1526976265-1500-1-1526976265-728-04f9ebaa03-1527872826.jpg

ไม่ว่าใครก็ต้องเคยผ่านช่วงเวลาที่ผิดหวังมากันบ้างอยู่แล้ว อาจจะเคยมีบางครั้งที่เราพยายามอย่างเต็มที่ แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง

ซึ่งในกรณีแบบนี้ ก็คงมีอยู่ 2 ทางให้เลือกคือ หดหู่ เอาแต่นั่งนึกเสียใจ กับอีกอย่างคือ

วิเคราะห์สถานการณ์ ว่าอะไรที่ทำให้เราผิดพลาด จากนั้นให้พยายามอีกครั้งแล้วแก้ไขในสิ่งที่เราพบว่าเคยพลาดไป

เราอาจจะมีหลายครั้งที่เคยพลาดหรือล้มเหลว ซึ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีเหตุผลของมัน

อย่ามัวให้ความคิดที่ว่าโชคร้าย หรืออะไรเหนือธรรมชาติเป็นสิ่งบังตา ลองตั้งสติแล้วพิจารณาดูดีแล้ว แล้วเราจะพบว่า มันมีอะไรที่เราแก้ไข แล้วจะได้ในสิ่งที่เราปรารถนา

จากนั้นก็ลงมือทำซะ เมื่อเราเจอสิ่งผิดพลาด เราก็จะรอบคอบมากขึ้น และจะไม่ไปซ้ำรอยเดิมอีก

ถึงแม้ครั้งแต่ไปจะไม่ได้สำเร็จในทันที แต่ผลลัพธ์ที่ได้จะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน


แม้ว่าคนเราจะไม่ได้เกิดมาพร้อมความฝัน แต่ในที่สุดเราก็จะพบความฝันพบว่าอะไรคือสิ่งทีเราชอบ และอยากจะทำให้สำเร็จอย่ามัวท้อแท้สิ้นหวังว่าทำไมชีวิตเราถึงยังไม่ก้าวหน้าไปถึงไหน ลองตั้งสติ แล้วพิจารณาว่าเราขาดอะไรแล้วพยายามเพื่อหาสิ่งที่เราขาดมาเติมเต็มอย่างทั้ง 7 ข้อนี้ น่าจะพอให้เราลองพิจารณาได้ว่ามีอะไรที่ขาดไปรึเปล่า

อีกอย่างนอกจากทั้ง 7 ข้อนี้แล้ว อาจจะ

ต้องอาศัยความเข้าใจของคนรอบข้าง คนในครอบครัวเราด้วย พยายามหาวิธีที่ดีอธิบายให้เข้าใจกัน ขอกำลังใจให้ช่วยสนับสนุน

ถ้ายังไงเขาก็ไม่เข้าใจก็ไม่ต้องเสียใจ

ยังไงคุณก็เข้าใจตัวเอง และเราก็เข้าใจคุณ หาใครอีกคนที่จะเป็นแรงสนับสนุนคุณได้ แล้วขอให้ประสบความสำเร็จในความฝันที่รักนะจ๊ะ ^^