ปัญหากวนใจสุดฮิตที่ไม่ว่าใครๆ ก็เจออย่างรอยดำรอยแดงถือว่าไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลย แถมใช้เวลานานมากกว่ารอยจะหาย จะออกไปไหนก็ไม่มั่นใจ ต้องเอาคอนซีลเลอร์มากลบไว้ตลอด คือเสียเซลฟ์สุดๆ วันนี้https://sistacafe.com/เลยรวบรวม 10 คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับรอยดำรอยแดงมาให้ ต้องใช้อะไร ต้องแก้ยังไง ให้รอยหายเร็วที่สุด มาดูไปพร้อมๆ กันจ้า

หลีกเลี่ยงการแกะ บีบ กดสิวด้วยตนเอง

ผู้คนส่วนใหญ่เมื่อเกิดhttps://skinx.app/content/acne/blind-pimplesชอบนำมือไปสัมผัสหรือแกะ แต่การแกะหรือบีบสิวถือเป็นการกระตุ้นให้เนื้อเยื่อผิวหนัง และรูขุมขนอักเสบมากขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้เกิดเป็นรอยสิวและรอยแผลเป็นจากสิว การที่ใช้มือบีบ กดสิวบริเวณที่เป็นสิวโดยที่ไม่ได้ล้างมือ ยิ่งเพิ่มโอกาสให้ผิวหนังอักเสบมากกว่าเดิม ส่งผลให้รอยแดงหายช้า

ไม่ใช่เพียงแค่การแกะ บีบ กดสิวเท่านั้น ควรงดการสครับ ถู ขัดบริเวณที่เป็นสิวอย่างรุนแรง ถือเป็นการกระตุ้นให้ผิวหนังอักเสบมากกว่าเดิม

หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามินอี

จากงานวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างได้ทดลองที่ใช้วิตามินอีกับผิวโดยทำให้เกิดภาวะผื่นแพ้สัมผัส (Contact Dermatitis) นอกจากนี้การนำสารอาหารเข้าสู่ผิวหนังโดยตรงอาจจะรบกวนกระบวนการฟื้นฟูของผิวหนังหลีกเลี่ยงแสงแดด

แสงแดดสามารถกระตุ้นเม็ดสีผิวเพิ่มขึ้นทำให้รอยสิวมีอาการแย่ลง พร้อมทั้งให้รอยดำ รอยแดงจากสิว ที่เป็นอยู่ก่อนหน้านี้รักษาได้ยากขึ้น และอาจจะชะลอกระบวนการฟื้นฟูสภาพผิว หากจำเป็นต้องออกแดดควรทาครีมกันแดดทุกครั้ง พร้อมสวมเครื่องแต่งกายที่ปกคลุมบริเวณที่เป็นรอยสิว เพื่อป้องกันไม่ให้รอยสิวมีอาการแย่ลง ทั้งนี้ ค่า SPF ที่แนะนำสำหรับครีมกันแดดคือ SPF 30 PA ++ หรือมากขึ้นไป

เลือกใช้สกินแคร์ให้เหมาะสมกับสภาพผิว

ควรเลือกใช้สกินแคร์หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ไม่มีส่วนผสมของสารที่ก่อให้เกิดการอุดตัน ไม่ก่อให้เกิดการอักเสบหรือระคายเคือง ให้ความชุ่มชื้น พร้อมทั้งช่วยฟื้นฟูผิวที่ถูกทำลาย ลดจุดด่างดำและรอยสิว

ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

สำหรับผู้ที่มีรอยสิวอยู่แล้ว แนะนำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อประสิทธิภาพในการรักษาที่ดีที่สุด และสำหรับผู้ที่เป็นสิว แนะนำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดรอยสิวหลังการรักษา

รอยแดง (Post – Inflammatory Erythema)

รอยแดงจากสิว มีทั้งสีแดง ชมพู หรือสีม่วงจากสิว ส่วนใหญ่มักมาจากการอักเสบของผิวหนังบริเวณนั้น กลไกของการเกิดสิวคือ การที่ต่อมไขมันผลิตน้ำมัน (Sebum) ออกมามากเกินไป จนทำให้เกิดการอุดตันในรูขุมขน ซึ่งทำให้เกิดสิว และการอุดตันของน้ำมัน เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และแบคทีเชื้ออาจจะทำให้ผิวหนังอักเสบจนกลายเป็นสิวอักเสบ

เมื่อผิวหนังเกิดอาการอักเสบทำให้ร่างกายเริ่มกระบวนการฟื้นฟูตัวเองด้วยการลำเลียงเลือดไปยังบริเวณผิวหนังที่มีการอักเสบ เพื่อซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ทำให้บริเวณที่เป็นสิวอักเสบเกิดการขยายตัวของหลอดเลือดที่อยู่ภายใต้ผิวหนัง จึงทำให้ผิวหนังกลายเป็นสีแดง ชมพู ม่วง หรือเกิดรอยแดงขึ้น รอยแดงจากสิวอักเสบหากไม่ได้รับวิธีรักษาที่ถูกวิธีอาจจะทำให้ผิวหนังเป็นรอยแดงอยู่นาน หรืออาจจะเป็นรอยแดงถาวรได้

รวม 10 คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับ รอยดำรอยแดง

รูปภาพ:

Q1. รอยแดงจากสิวเกิดจากอะไร

ก่อนจะไปพูดถึงรอยดำเราต้องมารู้จักรอยแดงกันก่อน เพราะรอยทั้งสองชนิดนี้จริงๆ แล้วเค้ามีความเกี่ยวข้องกันนะรอยแดงหรือ Post Inflammatory Erythema ส่วนใหญ่จะสังเกตเห็นได้ตอนที่เราเป็นสิว ซึ่งเกิดจากผิวหนังบริเวณนั้นเกิดการอักเสบจึงทำให้ที่เกิดรอยแดงขึ้นมา พอมีการอักเสบเกิดขึ้นกลไกร่างกายเราก็จะพยายามฟื้นฟูตัวเองโดยการลำเลียงเลือดไปยังบริเวณนั้นเพื่อฟื้นฟูเซลล์ พอหลอดเลือดที่อยู่ภายใต้ผิวหนังบริเวณขยายตัวก็จะทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นกลายเป็นสีแดงนั่นเองค่ะ ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีและปล่อยทิ้งไว้ก็จะทำให้จากรอยแดงกลายเป็นรอยดำได้

Q2. รอยแดงจากสิว ใช้อะไรดี

สำหรับรอยแดง สกินแคร์ตัวที่ใช้ให้พยายามหาส่วนผสมที่จะมาช่วยต้านการอักเสบเป็นหลักค่ะ ซิสรวบรวมาให้ จดโพยเอาไว้ไปใช้ได้เลย

Niacinamide

(วิตามินบี 3) มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ลดรอยแดงจากสิว และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว

Nicotinamide

สามารถช่วยให้ผิวกระจ่างใส และลดการอักเสบของผิวหนังลดได้

Licorice Extract

ลดการอักเสบของผิว ลดการระคายเคือง ควบคุมความมันบนใบหน้าจึงช่วยลดการเกิดสิวได้ด้วย

Aloe Vera Extract

ช่วยปรับสภาพผิวลดการอักเสบ ลดอาการแพ้ระคายเคือง สมานแผลเป็นต่างๆ ทำให้แผลหายเร็วขึ้น

Q3. ทำไมสิวถึงทิ้งรอยดำ

จากที่เราพูดถึงกันไปก่อนหน้าว่ารอยแดงเกิดจากการอักเสบของผิว และหากไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้องก็จะพ่วงมาถึงการเกิดรอยดำ ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะรอยดำจากสิวก็เกิดขึ้นจากการอักเสบของผิวหนัง ซึ่งการอักเสบจะไปกระตุ้นให้เมลาโนไซต์ (Melanocytes) ที่ทำหน้าที่ผลิตเม็ดสีเมลานินซึ่งเป็นเม็ดสีเข้ม ให้ผลิตเมลานินมากกว่าปกติ ซึ่งปริมาณเมลานินจะเป็นตัวกำหนดสีผิวและนี่จึงเป็นสาเหตุที่เกิดรอยดำขึ้นมานั่นเอง

Q4. รอยสิวสามารถหายเองได้ไหม

จริงๆ แล้วรอยดำรอยแดงจากสิวตามจะจางลงเรื่อยๆ ได้เองตามธรรมชาติ แต่ค่อนข้างที่จะใช้ระยะเวลาค่อนข้างนาน และระยะเวลาของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันด้วย ขึ้นอยู่กับรอยสิวว่าดำมากหรือน้อยแค่ไหน รวมถึงอายุเองก็มีส่วน ถ้าเป็นในผู้ใหญ่ รอยดำก็อาจจะจะจางช้ากว่าในเด็กได้เช่นกัน

รูปภาพ:

Q5. รอยดำจากสิวกี่วันหาย

โดยปกติถ้าเป็นรอยที่เราไม่ได้รักษา​ รอยก็จะค่อยๆ จางลงเองภายใน 2 - 6 เดือนหรือในบางคนก็กินเวลายาวนานเป็นปีได้ด้วย แต่ถ้าหากเราได้รับการรักษา​ก็จะทำให้รอยจางลงได้เร็วขึ้นค่ะ

Q6. รอยดำจากสิว ใช้อะไรดี

สำหรับคนที่มีรอยดำจากสิวก็ให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนช่วยยับยั้งเม็ดสีเป็นหลัก ถ้าผิวไม่เซนซิทีฟมากพวกโพรดักส์ผลัดสิวเค้าก็เริ่ดอยู่นะลองหามาใช้ดูได้ อะ ทีนี้มาดูส่วนผสมในสกินแคร์ที่น่าสนใจกันหน่อย ใครมีรอยดำรีบจดเลยจ้า

Kojic acid

เป็นสารจากเห็ดที่สามารถช่วยให้สีผิวสม่ำเสมอ และช่วยลดรอยดำให้จางลง

Retinoids

(เรตินอยด์) ยับยั้งกระบวนการผลิตเม็ดสีในเซลล์ผิวได้ และช่วยในการผลัดเซลล์ แต่เรตินอยด์เป็นยาที่ต้องมีใบสั่งจากแพทย์ก่อนที่จะซื้อมาใช้ได้

Thiamidol

ยับยั้งเอ็นไซม์ไทโรซิเนส ต้นเหตุที่ทำให้ผิวผลิตเม็ดสีเมลานิน สะสมเป็นจุดด่างดำ

✿ 

หรือจะลองใช้สกินแคร์ในกลุ่ม Chemical peel อย่างเช่น

AHA , BHA, LHA

เพื่อผลัดเซลล์ผิวก็ได้เช่นกันค่ะ แต่วิธีนี้ควรจะระมัดระวังและศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมว่าสามารถใช้ได้ถี่แค่ไหนต่อสัปดาห์หน้าเราถึงจะไม่แหกนะคะ

Q7. ทำไมรอยสิวไม่หายซักที

วิธีง่ายๆ เลยก็คือบีบสิว/กดสิวอย่างไม่ถูกวิธี ทำให้การอักเสบลึกขึ้น เกิดรอยสิวที่เข้มขึ้น และหายช้ากว่าปกติแกะสิว/แกะแผลสิวเป็นการทำให้ชั้นผิวฉีกขาดและอักเสบมากขึ้น จนแผลสมานได้ช้าลงผิวขาดความสมดุลไม่มีจุลินทรีย์ที่ช่วยในการฟื้นฟูผิว ผิวไม่ชุ่มชื้นมากเพียงพอชั้นคอลลาเจนไม่สมบูรณ์จึงไม่มีโปรตีนที่เข้ามาช่วยสมานผิวในส่วนที่เกิดบาดแผลจากสิวผิวไม่ผลัดเซลล์อาจเกิดจากอายุที่มากขึ้น ทำให้ผิวผลัดเซลล์ช้าลง หรือไม่มีการผลัดเซลล์ตามธรรมชาติ รอยสิวที่สีเข้มจึงจางหายช้ากว่าผิวปกติ ที่จะมีการผลัดชั้นผิวด้านนอกออกอย่างสม่ำเสมอ

หลีกเลี่ยงการแกะ บีบ กดสิวด้วยตนเอง

ผู้คนส่วนใหญ่เมื่อเกิดhttps://skinx.app/content/acne/blind-pimplesชอบนำมือไปสัมผัสหรือแกะ แต่การแกะหรือบีบสิวถือเป็นการกระตุ้นให้เนื้อเยื่อผิวหนัง และรูขุมขนอักเสบมากขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้เกิดเป็นรอยสิวและรอยแผลเป็นจากสิว การที่ใช้มือบีบ กดสิวบริเวณที่เป็นสิวโดยที่ไม่ได้ล้างมือ ยิ่งเพิ่มโอกาสให้ผิวหนังอักเสบมากกว่าเดิม ส่งผลให้รอยแดงหายช้า

ไม่ใช่เพียงแค่การแกะ บีบ กดสิวเท่านั้น ควรงดการสครับ ถู ขัดบริเวณที่เป็นสิวอย่างรุนแรง ถือเป็นการกระตุ้นให้ผิวหนังอักเสบมากกว่าเดิม

หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามินอี

จากงานวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างได้ทดลองที่ใช้วิตามินอีกับผิวโดยทำให้เกิดภาวะผื่นแพ้สัมผัส (Contact Dermatitis) นอกจากนี้การนำสารอาหารเข้าสู่ผิวหนังโดยตรงอาจจะรบกวนกระบวนการฟื้นฟูของผิวหนัง

หลีกเลี่ยงแสงแดด

แสงแดดสามารถกระตุ้นเม็ดสีผิวเพิ่มขึ้นทำให้รอยสิวมีอาการแย่ลง พร้อมทั้งให้รอยดำ รอยแดงจากสิว ที่เป็นอยู่ก่อนหน้านี้รักษาได้ยากขึ้น และอาจจะชะลอกระบวนการฟื้นฟูสภาพผิว หากจำเป็นต้องออกแดดควรทาครีมกันแดดทุกครั้ง พร้อมสวมเครื่องแต่งกายที่ปกคลุมบริเวณที่เป็นรอยสิว เพื่อป้องกันไม่ให้รอยสิวมีอาการแย่ลง ทั้งนี้ ค่า SPF ที่แนะนำสำหรับครีมกันแดดคือ SPF 30 PA ++ หรือมากขึ้นไป

เลือกใช้สกินแคร์ให้เหมาะสมกับสภาพผิว

ควรเลือกใช้สกินแคร์หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ไม่มีส่วนผสมของสารที่ก่อให้เกิดการอุดตัน ไม่ก่อให้เกิดการอักเสบหรือระคายเคือง ให้ความชุ่มชื้น พร้อมทั้งช่วยฟื้นฟูผิวที่ถูกทำลาย ลดจุดด่างดำและรอยสิว

ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

สำหรับผู้ที่มีรอยสิวอยู่แล้ว แนะนำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อประสิทธิภาพในการรักษาที่ดีที่สุด และสำหรับผู้ที่เป็นสิว แนะนำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดรอยสิวหลังการรักษา

อย่างที่เราบอกไปว่าสาเหตุของรอยสิวเกิดจาก

การอักเสบของชั้นผิวในขณะที่เป็นสิว ซึ่งโดยปกติแล้วผิวของเราเค้าก็จะมีการผลัดเซลล์อย่างสม่ำเสมอ และรอยสิวเหล่านี้ก็จะจางหายไปเองตามวงจรธรรมชาติ แต่ถ้าหากเรามือซนไปพยายามบีบสิวหรือกดสิวบ่อยๆ ก็จะทำให้เกิดบาดแผลในชั้นผิวลึกขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้นต้องห้ามใจ ไม่ไปยุ่งกับบริเวณที่เกิดสิวน้า

รอยดำสิว

โดยปกติถ้าไม่ได้รักษารอยดำจากสิวจะค่อยๆ จางเช่นกันค่ะ แต่ต้องใช้เวลาถ้าต้องการให้จางเร็วขึ้นมีแนวทางสำหรับการรักษาหลากหลายค่ะได้แก่กลุ่ม Hydroquinone, azeleic acid, kojic, licorice, Niacinamide, Vit cโดยใช้ AHA 20-70%, Salicylic acid(BHA) 20-30%, TCA หรือJessner peel

รูปภาพ:

Q8. วิธีรักษารอยดำจากสิว เร็วที่สุด

ซิงค์

ซิงค์ เป็นแร่ธาตุที่ช่วยเสริมสร้างเซลล์ใหม่ๆ โดยเฉพาะผิวหนัง เล็บ ผม ให้แข็งแรง และมีประโยชน์โดยตรงต่อการลดสิว ซึ่งเป็นผลมาจากการอักเสบของผิวหนัง

รอยสิวเป็นอะไรที่ต้องใจเย็นๆ และใช้เวลาค่อนข้างนานกว่ารอยจะหายไป สำหรับคนที่รอไม่ไหวยังมีอีกหนึ่งทางออกก็คือการทำหัตถการอย่าง

การทำเลเซอร์ลดรอยสิว

นั่นเองค่ะ วิธีนี้ก็จะใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยจัดการปัญหาได้อย่างง่ายดาย และช่วยให้รอยดำ รอยแดงจากสิวดีขึ้นภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว เลเซอร์ตัวฮิตๆ ที่เราอาจจะเคยได้ยินกันมาบ้าง ตัวอย่างเช่น Q Switch หรือ Pico Laser ถึงแม้ว่าประสิทธิภาพในการลดร้อยสิวจะดีมาก แต่ข้อเสียก็คือเค้ามีราคาค่อนข้างสูงเลยละค่ะ ถ้าใครเงินไหว ใจถึง วิธีนี้ก็ถือว่าสะดวกและลดรอยได้รวดเร็วมากๆ ลองไปศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมกันได้

Q9. วิธีป้องกันไม่ให้เกิดรอยสิว

การทาครีมกันแดดอย่างมีประสิทธิภาพและสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันไม่ให้รอยดำเกิดมาก

นอกจากการเลือกสกินแคร์ที่มีส่วนผสมในการช่วยลดรอยแล้วก็ยังมีวิธีอื่นๆ ที่จะสามารถป้องกันการเกิดรอยสิวได้เช่นกันค่ะ มาดูกันดีกว่าว่ามีวิธีไหนบ้าง

วิธีง่ายๆ เลยก็คือพยายามหลีกเลี่ยงการบีบสิว กดสิว แกะสิวเพราะวิธีเหล่านี้ถือเป็นการกระตุ้นให้เนื้อเยื่อผิวหนัง และรูขุมขนอักเสบมากขึ้น และไปทำให้เกิดเป็นรอยสิวและรอยแผลเป็นจากสิว

งดการสครับ ถู หรือขัดบริเวณที่เป็นสิวซึ่งถือเป็นการกระตุ้นให้ผิวหนังอักเสบมากกว่าเดิม

หลีกเลี่ยงแสงแดดเพราะแสงแดดจะไปกระตุ้นการสร้างเม็ดสีผิวเพิ่มขึ้นทำให้รอยสิวมีอาการแย่ลง ถ้าจำเป็นต้องออกแดดควรทาครีมกันแดดทุกครั้ง สำหรับแดดเมืองไทยก็แนะนำค่า SPF สำหรับครีมกันแดดที่ SPF 30 PA ++ ขึ้นไป

วิตามินซี ช่วยลดริ้วรอยแห่งวัย มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจนอันเป็นแกนพยุงเซลล์ให้ชุ่มชื่น เปล่งปลั่ง ผิวพรรณดูแข็งแรง

3. วิตามินอี (Vitamin E)

วิตามินอีไม่ได้ช่วยลดการอักเสบของผิวโดยตรง แต่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ บำรุงผิว เพราะเป็นส่วนประกอบสำคัญของเนื้อเยื่อผิวหนังในร่างกาย จึงเป็นวิตามินสำคัญที่ร่างกายขาดไม่ได้

Q10. คนเป็นรอยสิว ควรกินวิตามินอะไร

ซิงค์ (Zinc)เป็นแร่ธาตุที่ช่วยเสริมสร้างเซลล์ใหม่ๆ โดยเฉพาะผิวหนัง เล็บ ผม ให้แข็งแรง และมีประโยชน์โดยตรงต่อการลดสิว ซึ่งเป็นผลมาจากการอักเสบของผิวหนัง

วิตามินอี (Vitamin E)อาจจะไม่ได้ช่วยลดการอักเสบของผิวโดยตรง แต่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีผลกระทบต่อผิวของเราโดยตรง และเป็นสาเหตุหลักขอวการเกิดปัญหาผิว ไม่ว่าจะสิว หรือผิวแก่ก่อนวัย

วิตามินซี (Vitamin C)ช่วยลดริ้วรอยแห่งวัย มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ สามารถช่วยลดการอักเสบและป้องกันรอยแดงที่เกิดจากสิว

เป็นยังไงกันบ้างคะกับ 10 คำถามเกี่ยวกับรอยดำรอยแดงที่เราเอามาฝาก จะเห็นได้เลยว่าเป็นครั้งนึงต้องใช้เวลาไม่ใช่เล่นๆ เลยกว่าจะหาย เพราะฉะนั้นถ้าป้องกันได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ก็ควรทำ แกะสิวบีบสิวอะไรแบบนี้คือเลิกได้เลิก! กันดงกันแดดคือห้ามขาดเลยนะเธอ ไม่งั้นต้องไปเสียเงินรักษาแบบจุกๆ กันแน่นอนเนอะ วันนี้ซิสก็ฝากเอาไว้เท่านี้ ไว้เจอกันใหม่บทความหน้าจ้าา

- - - - - - - - - - - - - - -

Designer:kidasindahouse

Writer :BabyPeachy

อ่านบทความเพิ่มเติมจาก

https://sistacafe.com/

ได้ที่นี่

https://sistacafe.com/summaries/92292

https://sistacafe.com/summaries/92506

https://sistacafe.com/summaries/69871

https://sistacafe.com/summaries/92545

https://sistacafe.com/summaries/54486