บทที่ 13

หลังจากปิดการเจรจากับคู่เดทของสามีตามกฎหมาย ฉันก็นั่งเรียนต่ออีกครึ่งวัน ก่อนจะกลับมานอนแกร่วอยู่บนเตียงที่บ้าน ในมือมีมังงะ*หนึ่งเล่มที่นอนอ่านไปขำไป จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ฉันจึงเอื้อมมือไปหยิบมากดรับ


(*มังงะ (漫画) หนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นที่เป็นช่องๆ)


“เป็นยังไงบ้าง ชีวิตแต่งงาน” แม่ถาม


ตอนนี้ฉันกำลังคุยโทรศัพท์กับคุณนายชิรายูกิ ซึ่งโทรมาติดตามผลจากการกระทำของตัวเองอยู่


“งั้นๆ แหละ”


ฉันตอบด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย ก็ชีวิตรักของฉันไม่มีอะไรให้พูดถึงจริงๆ นี่


“ไม่เอาน่ะ เล่าให้แม่ฟังบ้างสิ มาโคโตะคุงเป็นยังไงบ้าง ดูแลแกดีรึเปล่า”


คุณนายยังคงเซ้าซี้ จนฉันต้องทำเสียงจิ๊ปาก


แม่เห่อลูกเขยของตัวเองมาก ที่โทรมาถามนี่ความจริงก็อยากจะรู้เรื่องสามีตามกฎหมายของฉันมากกว่า ไม่ได้เป็นห่วงเป็นใยอะไรฉันหรอก


“ไม่ดี เฮงซวย ผู้ชายคนนั้นชอบขยะในบ้านมากกว่าหนูอีก”


นี่เรื่องจริงเน้นๆ เลย แต่ทุกครั้งที่ฉันบอกแบบนั้นออกไป คนที่ถือหางเข้าข้างหมอนั่นอย่างแม่ก็ด่ากลับมาทุกที อย่างเช่นครั้งนี้


“แกอคติเกินไปรึเปล่าซาโฮะ แม่ไม่เชื่อหรอกว่ามาโคโตะคุงจะเป็นคนแบบนั้น ตอนพวกแกแต่งงานกันก็ดูเขาเอาใจใส่ ตามใจแกตลอด”


นั่นไง ผิดจากที่ว่าไว้ซะที่ไหนล่ะ


“เป็นสามีภรรยากันมันก็มีกระทบกระทั่งกันบ้าง แม่กับพ่อเองก็เคยมีปัญหา ถ้าพวกแกทะเลาะกันยังไงก็หันหน้าคุยกันดีๆ ก่อนเถอะนะ”


แม่ให้คำแนะนำ ส่วนฉันก็กลอกตาเป็นเลขแปดเงียบๆ


ปัญหาคือตลอดเวลาที่เราหันหน้าคุยกัน มันนำไปสู่การทะเลาะวิวาททุกครั้งต่างหากล่ะ


“ค่ะๆ เข้าใจแล้ว”


ทว่าก็ตอบรับส่งๆ ไป ไม่งั้นก็ต้องมาฟังบทเรียนชีวิตคู่อันแสนยืดยาวอีก


“ดีมาก...นี่ความจริงแม่ก็ยังแปลกใจอยู่ตอนที่แกยอมตกลงแต่งงาน แต่อีกฝ่ายเป็นมาโคโตะคุง ถ้าเป็นแม่ก็คงยอมเปลี่ยนใจเหมือนกัน”


แล้วคุณนายชิรายูกิก็หัวเราะเบาๆ ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเพิ่งพูดจาน่าขนลุกออกมา


“แค่นี้ก่อนแล้วกันค่ะ หนูจะไปอาบน้ำแล้ว”


ฉันตัดบท กลัวว่าขืนคุยต่อจะมองหน้าแม่ตัวเองไม่ติด จากนั้นก็กดวางสายทันที


พอซัดโทรศัพท์มือถือไปไว้บนหัวเตียง ฉันก็กลับมานอนมานั่งคิดถึงเหตุผลที่ตัวเองยอมเปลี่ยนใจมาแต่งงาน พลางใช้มือเลื่อนลิ้นชักหัวเตียงซึ่งมีทะเบียนสมรสยับๆ ยัดเอาไว้อยู่


นั่นสินะ ไม่น่าเชื่อจริงๆ ว่าการตัดสินใจวันนั้นจะพาตัวเองมาอยู่ ณ จุดๆ นี้ได้


ต้องยอมรับว่า ชิรายูกิ ซาโฮะ ก็มีช่วงโง่เง่าในชีวิตกับเขาด้วย เอาเป็นว่าฉันจะบันทึกใส่สมองไว้เขียนในอัตชีวประวัติของตัวเองเวลากลายเป็นคนมีชื่อเสียงก็แล้วกัน


ขณะที่คิดเพลินๆ เพ้อเจ้อไปเรื่องนั้น เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น ทำเจ้าของห้องอย่างฉันขมวดคิ้วมุ่น แม้จะเดาได้ว่าเป็นใครที่มาเยือน แต่ก็ต้องประหลาดใจเพราะปกติหมอนั่นแทบไม่อยากสุงสิงกับฉัน แล้วไหงวันนี้มาเคาะเรียกได้ล่ะ


“มีอะไร”


ฉันถามพลางหรี่ตามอง แง้มประตูออกไม่กี่นิ้วด้วยความหวาดระแวง


“ไม่ต้องมาทำท่าแบบนั้น ฉันแค่จะแวะมาถามอะไรหน่อย”


อาจารย์คณิตศาสตร์ว่าด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ ร่างสูงยังสวมเสื้อเชิ้ตพับแขนที่คลายเนคไทออกเล็กน้อย ดูท่าว่าคงเพิ่งกลับมาจากข้างนอกได้ไม่นาน


ฉันทำท่าลังเล ก่อนจะถามกลับเสียงเรียบ


“มีอะไรก็ว่ามา”


เมื่อได้ยินสัญญาณอนุญาต มาโคโตะจึงถอนหายใจเบาๆ แล้วรีบเข้าประเด็นทันที


น่าจะเป็นเพราะหมอนี่ก็คงไม่อยากเสียเวลาอ้อยอิ่งกับฉันนานนัก


“ได้ยินว่าวันนี้เธอโดนมิยาโกะเรียกไปพบ...คุยเรื่องอะไรกันงั้นเหรอ”


คำถามนั้นทำให้ฉันเลิกคิ้วขึ้น ที่แท้หมอนี่ก็กังวลเรื่องนี้นี่เอง เห็นดังนั้นก็อดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้พร้อมกับทำหน้าตากวนประสาทส่งกลับไป


“ทำไม...กลัวผู้หญิงของนายจะมาหาเรื่องฉันหรือไง”


แล้วก็กะพริบตาปริบๆ ทำท่าทางน่าสงสารเหมือนสาวน้อยผู้ถูกรังแก ซึ่งก็ได้รับสีหน้าสะอิดสะเอียนจากอีกฝ่ายกลับมาอย่างรวดเร็ว


“ประสาท ฉันกลัวว่าเธอจะไปทำอะไรเขาต่างหาก”


ฉันเบ้ปากเล็กน้อย ในใจก็คิดไปว่าอาจารย์สาวคนสวยแห่งภาคสังคมคงไม่ไร้เดียงสานักหรอก ก็เล่นเดินตามผู้ชายเข้าโรงแรมกลางวันแสกๆ ซะขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป


“ไม่ต้องห่วงน่า เขามาคุยเรื่องทูตวัฒนธรรมอะไรนั่นน่ะ นายก็รู้เรื่องนี้แล้วนี่”


ตอบส่งๆ พลางยักไหล่


ดูเหมือนคู่สนทนาจะโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด เพราะเขาถอนหายใจอีกรอบ


“...ถ้างั้นก็ดี”


เสียงทุ้มพึมพำแผ่วเบา แต่ทำให้ฉันต้องยิงคำถามกลับไปด้วยความสงสัยทันที


“แล้วนี่อาจารย์คนนั้นเขารู้เรื่องพวกเราด้วยหรือไง”


หรือพวกเขาจะจริงจังกันจนถึงขั้นเล่าเรื่องฉันให้ฟังด้วยนะ


ทว่าสมมติฐานนั้นก็สลายไปอย่างรวดเร็วเมื่อสามีตามกฎหมายตอบกลับ


“ไม่รู้หรอก”


“อ้าว ไม่รู้แล้วนายจะกังวลอะไรล่ะ”


พอได้ยินคำถาม มาโคโตะก็ตวัดสายตาคมกริบมามอง ก่อนจะตอบด้วยท่าทีนิ่งเฉย


“ก็ถามไปอย่างนั้นแหละ กันไว้ดีกว่าแก้”


อย่างนี้นี่เอง ที่แท้ก็ตีตนไปก่อนไข้


ฉันซึ่งขี้เกียจสืบสาวราวเรื่องต่อเลยพยักหน้าหงึกหงักอย่างไม่ใส่ใจ ทำท่าจะปิดประตู ทว่าร่างสูงของอีกฝ่ายก็ยกมือขึ้นมาต้านเอาไว้เสียอย่างนั้น


“อะไรอีกล่ะ”


ถามกลับด้วยสีหน้ารำคาญ ฉันจะรีบกลับไปอ่านมังงะ นี่ก็ถ่วงเวลาอยู่นั่นแหละ


“ฉันก็ไม่รู้จะพูดไปทำไมนะ บางทีมันอาจจะไม่จำเป็นเลยก็ได้” ใบหน้าคมคายฉายรอยลังเล


“ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องพูด” ฉันสวนโดยพลัน ตั้งท่าจะปิดประตูอีกรอบ


“ฟัง” แต่อีกฝ่ายไม่ยอมให้ได้ทำเช่นนั้น แถมยังสั่งเสียงเฉียบจนฉันต้องยอมทำตาม


จากนั้นร่างสูงก็กระแอมคอเล็กน้อย ทำสีหน้าชั่งใจอย่างหนักว่าจะพูดหรือไม่พูดดี จนในที่สุดเหมือนเขาจะตัดสินใจได้แล้ว เพราะหมอนี่เริ่มเปิดปากอีกรอบ


“ถ้าในอนาคตมิยาโกะมาพูดอะไรที่ทำให้เธอไม่สบายใจล่ะก็...รีบบอกฉันทันทีเลยนะ”


ฉันเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะหลิ่วตามองอย่างระแวดระวัง


“ทำไม กลัวฉันจะเก็บมาคิดมากหรือไง ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะอาจารย์ ซาโฮะเป็นเด็กเข้มแข็ง”


แล้วฉันก็ส่งยิ้มหวาน จงใจกวนประสาทเต็มพิกัด ซึ่งดูเหมือนจะได้ผลดี เพราะมาโคโตะเริ่มทำหน้าคล้ายตำหนิตัวเองที่พูดอะไรแบบนั้นออกมา


“เธอนี่มันน่าขนลุกจริงๆ”


คำตอบนั้นทำให้ฉันแค่นยิ้มพร้อมค้อมตัวลงคล้ายได้รับคำชม


“ไม่ต้องห่วงน่า ดูแลคู่เดทนายไปเถอะ อนาคตอาจจะได้แต่งกันจริงจังกับคนนี้ก็ได้”


นี่ฉันพูดด้วยความหวังดีเลยนะ เพราะมาโคโตะกับอาจารย์มิยาโกะก็ดูเหมาะสมกันดี


ถ้าคบกันได้ตลอดรอดฝั่งก็ถือว่าเป็นคู่ที่ดี แต่นั่นต้องหลังหย่ากับฉันแล้วทำการโอนเงินพร้อมทรัพย์สินให้เรียบร้อยนะจ๊ะ ถ้าไม่ได้เงินอย่าหวังว่าซาโฮะจะหลีกทางให้เลย


กระนั้นดูเหมือนคนฟังจะไม่เห็นด้วย เพราะใบหน้าคมคายทำสีหน้าแปลกๆ คล้ายไม่ยอมรับ ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ แล้วตอบกลับ


“ไม่แต่งหรอก แค่เดทกันเฉยๆ อีกอย่างมิยาโกะเองก็ไม่ได้จริงจัง มันความสัมพันธ์แบบผู้ใหญ่เธอคงไม่เข้าใจล่ะสิ”


น้ำเสียงติดจะเย้ยหยันเหมือนคนที่มีประสบการณ์มากกว่าทำฉันกลอกตาเบาๆ


เอาเถอะ ตามสบาย อย่างกับว่าฉันจะสนงั้นแหละ


“เรื่องของนาย แค่แนะนำเฉยๆ เกิดชีวิตนายพังเพราะจัดลำดับความสำคัญแบบผิดๆ ก็อย่ามาโทษฉันแล้วกัน”


ฉันตอบทิ้งท้าย แล้วก็ผลักประตูเตรียมกลับไปนอนอ่านมังงะต่อ แต่จู่ๆ มาโคโตะก็แทรกขึ้นด้วยคำพูดที่ทำให้ฉันต้องชะงักมือกะทันหัน


“พูดอะไรของเธอ มิยาโกะเป็นคู่เดท เธอเป็นคนที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนสมรสของฉัน ไม่ต้องจัดลำดับก็เห็นชัดๆ อยู่แล้วว่าใครต้องมาก่อน”


จากนั้นหมอนั่นก็เดินจากไป ทิ้งให้ฉันยืนกะพริบตาปริบๆ


พยายามประมวลผลว่าประโยคยาวเหยียดที่เพิ่งผ่านเข้าหูเมื่อกี้นั้น


มันหมายความว่ายังไงกันแน่