ช่วงนี้อากาศเริ่มแปรปรวนแล้ว ใช่! หน้าหนาว แต่ก็ไม่ได้หนาวขนาดนั้น บางวันก็ร้อนมาก บางวันก็ฝนตก เอาจริงๆ งงไปหมด ใดๆ คืออากาศไม่คงที่แบบนี้ มักจะทำให้เราป่วยได้ง่ายขึ้นนะนอกจากโรคระบาดที่เราจะต้องกังวลกันแล้ว ยังมีโรคอื่นๆ ที่มาพร้อมกับอากาศหนาว ที่เราจำเป็นจะต้องกังวลกันด้วยเช่นกัน ซึ่งวันนี้ ทางเราได้รวมมาให้ดูแล้วค่ะ5 โรคยอดฮิต ที่มาพร้อมลมหนาวถ้าไม่อยากป่วย เสียเงินเสียทองรักษา ก็ต้องดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดีๆจะมีโรคอะไรบ้าง เราไปอ่านพร้อมๆ กันเลย
1. โรคไข้หวัดใหญ่
หนึ่งในโรคยอดฮิต ที่เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะเคยเป็นกันมาก่อนแน่นอน โรคไข้หวัดและโรคไข้หวัดใหญ่ วันนี้ขอเจาะจงไปที่โรคไข้หวัดใหญ่เนอะ เพราะค่อนข้างร้ายแรงกว่าไข้หวัดปกติ ซึ่งโรคไข้หวัดใหญ่ เป็นการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจเฉียบพลัน เกิดจากเชื้อไวรัสInfluenzaที่ทำให้เกิดอาการรุนแรง และพบแพร่ระบาดอยู่บ่อยๆ 2 สายพันธุ์ คือสายพันธุ์ A และสายพันธุ์ Bส่วนใหญ่แล้วโรคนี้ไม่ได้เป็นอันตรายร้ายแรงอะไรแต่กับผู้สูงอายุ เด็กเล็ก หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง อาจจะต้องระวังสุขภาพให้มากๆ หน่อยหากพบว่ามีอาการ ควรรีบไปพบแพทย์และได้รับการรักษาทันที อย่าปล่อยไว้เด็ดขาดนะอาการ: มีไข้ปานกลาง ถึง สูง อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อมาก ปวดหัว อาจมีน้ำมูก ไอวิธีรักษา: เบื้องต้นถ้ารู้สึกว่า ไม่ได้เป็นอะไรหนักมาก แนะนำให้ดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อลดอุณหภูมิของร่างกาย นอกจากนี้ให้เช็ดตัวทุกชั่วโมงและอย่าลืมทานยา บวกกับนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอด้วย แต่ถ้าทานยาลดไข้แล้ว อากาศไม่ดีขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์นะคะ
2. ปอดบวม หรือปอดอักเสบ
โรคนี้เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อไวรัส ที่เข้าไปอยู่ตามถุงลม จนทำให้เกิดการอักเสบ จนมีหนองและสารน้ำในถุงลมทำให้ร่างกายไม่สามารถรับออกซิเจนได้ ส่วนใหญ่โรคนี้มักจะเกิดหลังจากที่เป็นโรคไข้หวัดเรื้อรัง หวัดรุนแรง หรือหลอดลมอักเสบ ยิ่งถ้าคุณเป็นคนที่เป็นโรคหอบหืด ต้องยิ่งระวังในเรื่องของสุขภาพให้ดีๆเพราะโรคนี้เรามักจะพบได้บ่อยมากๆ ในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาวโดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็ก และผู้สูงอายุอาการ: แน่นหน้าอกหายใจไม่ออก ไอ มีเสมหะ มีไข้สูง มักพบในผู้ป่วยที่เป็นโรคระบบทางเดินหายใจหรือผู้ที่ภูมิคุ้มกันต่ำลงวิธีรักษา: ไม่สามารถรักษาที่บ้านได้นะคะ แนะนำว่าให้รีบมาพบแพทย์ เพื่อรับยาปฏิชีวนะและยาลดไข้ ตามความเหมาะสมของอาการจะดีที่สุด นอกจากนี้ แนะนำให้ดื่มน้ำเยอะๆ เพราะจะช่วยลดเสมหะได้
3. โรคหัด
โรคหัด เป็นโรคที่เกิดจาก
รูบีโอราไวรัส (rubeola virus)
ที่สามารถติดต่อกันได้ทางลมหายใจ ไอจามรดกันโดยตรง หรือหายใจเอาละอองเสมหะที่ลอยอยู่ในอากาศเข้าไป ซึ่ง
โรคนี้มักจะพบมากในเด็กเล็ก ที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันมากกว่าผู้ใหญ่
ซึ่งมันจะมี
ระยะฟักตัวประมาณ 10 - 14 วัน
เพราะฉะนั้นแนะนำว่า หากพบว่าลูกหลานที่บ้าน มีอาการตามที่เราบอกด้านล่างนี้ ให้รีบพาไปหาหมอทันที อย่าดึงดันรักษาเอง หรือรอดูอาการลูกหลาน จนปล่อยให้อาการหนัก เพราะมันอันตรายมากๆ
อาการ
: มีไข้สูง และมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น มีน้ำมูก ไอ ตาแดง พบจุดสีเทาขาวบริเวณกระพุ้งแก้มตรงข้ามกับฟันกรามซี่ใน โดยจะขึ้นในช่วง 2 - 3 วัน ที่เป็นโรค หลังจากนั้นจะหายไป นอกจากนี้จะมีผื่นเป็นปื้นสีแดง หลังจากเป็นไข้มาแล้ว 3 - 4 วัน โดยผื่นจะขึ้นจากบริเวณไรผม มาที่หน้า ลำตัว แขน และลงมาที่ขา และจะหายไปเอง ภายใน 7 วัน บางรายต่อมน้ำเหลืองหลังใบหูบวมด้วย
วิธีรักษา
: ใดๆ คือควรพาไปพบแพทย์นะ เพื่อที่จะได้รักษาให้ถูกทิศถูกทางด้วย เพราะโรคหัดไม่ใช่โรคร้ายแรง การรักษาจึงสามารถรักษาตามอาการจนกว่าจะหายได้ นอกจากนี้ ยังมีวัคซีนที่สามารถฉีดป้องกันได้ตั้งแต่เด็กอีกด้วยนะคะ
4. โรคอุจจาระร่วง จากไวรัสโรต้า
โรคนี้เป็นโรคที่สามารถพบได้ทั่วไป ซึ่งโรคอุจจาระร่วง จากเชื้อ
ไวรัสโรต้า ( Rotavirus )
มักพบได้ง่ายในช่วงฤดูหนาว และ
ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเป็นเด็กอายุ ต่ำกว่า 5 ปี แต่ปัจจุบันได้รามมาจนถึงผู้ใหญ่แล้ว
ค่ะ! โดยปกติแล้ว เชื้อนี้สามารถปนเปื้อนมาได้กับอาหาร ซึ่ง
โรคนี้สามารถหายไปเองได้ใน 5 - 10 วัน หลังจากได้รับการรักษาหรือทานยา
แต่ถ้ากินยาแล้ว ไม่หาย แนะนำว่าให้รีบไปพบแพทย์ แม้จะไม่ใช่โรคที่ร้ายแรงอะไรมากมาย แต่สำหรับคนที่มีร่างกายอ่อนแอ โรคนี้อาจจะส่งผลรุนแรงได้ เพราะฉะนั้นห้ามละเลยนะ
อาการ
: มีอาการอาเจียนมาก / ถ่ายมากผิดปกติ ซึม ไม่มีแรง มือเท้าเย็น ปัสสาวะสีเข้ม ปัสสาวะน้อย หรือไม่ปัสสาวะเลยเกิน 6 ชม. ปากแห้ง ตาโหล ร้องไห้ไม่มีน้ำตา ในเด็กจะมีกระหม่อมบุ๋ม
วิธีรักษา
: จริงๆ ก็รักษาตามอาการเลยค่ะ ให้ดื่มน้ำเกลือแร่ชดเชยส่วนที่สูญเสียไป และรับประทานยาตามอาการ หากกินยาแล้ว ยังไม่หาย มีอาการขาดน้ำ ปัสสาวะออกน้อย หรืออาเจียนมากรับประทานไม่ได้ ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลโดยด่วน
5. โรคไข้สุกใส
โรคนี้เกิดจากไวรัสชนิดหนึ่ง โดยเชื้อนี้จะก่อให้เกิดโรคอีสุกอีใสในผู้ที่เพิ่งติดเชื้อเป็นครั้งแรก หลังจากนั้นเชื้อจะหลบซ่อนอยู่ในปมประสาท เมื่ออายุมากขึ้นหรือภูมิคุ้มกันต่ำ เชื้อที่หลบซ่อนอยู่ก็จะเจริญเติบโตขึ้นใหม่ก่อให้เกิดโรคงูสวัดได้! ซึ่งโดยปกติโรคนี้ จะพบมากตอนเราเด็กๆ ช่วงอายุประมาณ 5 - 9 ปี ซึ่งเป็นโรคที่
สามารถติดต่อกันได้ด้วยการหายใจเอาฝอยละอองจากทางเดินหายใจของผู้ป่วยเข้าไป
หรือ
จากการสัมผัสโดยตรงกับตุ่มน้ำที่ผิวหนังของผู้ป่วยที่อยู่ในระยะแพร่เชื้อ
เขามีระยะเวลาแพร่เชื้อได้ประมาณ 1 - 2 วันก่อนผื่นขึ้นจนกระทั่งผื่นตกสะเก็ดหมด
ส่วนระยะฟักตัวของโรค สำหรับคนที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย จะอยู่ที่ 10 - 21 วัน
แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ร้ายแรงมาก เป็นแล้วก็สามารถหายเองได้
อาการ
: เริ้มจากการมีไข้ต่ำๆ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และมีผื่นขึ้นเริ่มจากลำตัว ใปหน้า และลามไปแขนขา โดยส่วนใหญ่ผื่นจะขึ้นบริเวณลำตัวมากกว่าแขนขา ลักษณะผื่นตอนแรกจะเป็นผื่นแดง มักมีอาการคันร่วมด้วย อย่าเกานะ ไม่งั้นมันจะยิ่งรุกรามไปกันใหญ่ ต่อมาตุ่มแดงๆ จะกลายเป็นตุ่มน้ำอย่างรวดเร็ว และตกสะเก็ด ในที่สุดสะเก็ดจะหลุดหายไปในเวลา 5 - 20 วัน
วิธีรักษา
: เมื่อมีไข้ให้กินยาลดไข้ ทั้งนี้ ตอนที่เป็นโรคนี้อยู่ ให้งดการใช้ของร่วมกับคนอื่น ห้ามแคะ แกะเกา บริเวณตุ่ม เพราะอาจทำให้อักเสบและเป็นแผลเป็นได้ โดยปกติไม่ต้องไปพบแพทย์นะ เพราะโรคนี้มักจะหายไปเองได้ เนื่องจากอาการไม่ได้รุนแรงมากมาย แต่หากพบว่า ลูกหลานเป็นแล้ว มีอาการแทรกซ้อน ก็ควรจะรีบไปพบแพทย์นะ
ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนบ่อย ยังไงก็ดูแลสุขภาพกันด้วยนะ เพราะเวลาที่ป่วยทีนึง มันไม่ได้เสียหายแค่ร่างกายของเรา แต่มันเสียหายหลายอย่างมาก เพราะฉะนั้นดูแลตัวเองให้ดี เรื่องสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญมากๆ ยังไงก็รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะสำหรับวันนี้ต้องลาไปก่อนแล้ว บ๊ายบาย
Cr. หนาวนี้มีอะไร? กับ 5 โรคที่มากับหน้าหนาว
https://bit.ly/30QqrBc
Cr. เตือนภัย 6 โรคยอดฮิต! ที่มากับหน้าหนาว
https://bth.co.th/th/news-health-th/item/991-common-winter-diseases.html