1. SistaCafe
  2. หัวตื้อ เบลอ อารมณ์แปรปรวน! 7 สาเหตุของ 'ภาวะสมองล้า (brain fog)' โรคฮิตของสาวๆ ยุคออนไลน์

ภาพประกอบบทความ:&ratio=0.000

ฮัลโหลค่าา สาวๆSistaCafeยุคโซเชียลทั้งหลาย

[[ คนรุ่นใหม่ที่ต้องทำงานกับหน้าจอแทบจะ 24 ชั่วโมง ซ้ำยังมีงานนอก งานในให้ต้องทำจนหัวหมุน ต้องทนทรมานกับการจราจรแย่ๆ รถติดเป็นแพกว่าจะถึงบ้าน กลับมาก็ต้องเคลียร์งานต่อ กว่าจะนอนก็นู่น ตี 1 ตี 2 อาหารการกินก็เลือกมากไม่ได้ ต้องซื้อจากมินิมาร์ทหรือของเซลล์ถูกๆ เพื่อประหยัดและจะได้ไม่ไปทำงานสาย ออกกำลังกายเหรอ? อย่าว่าแต่ไปฟิตเนส แค่ออกไปเดินรอบหมู่บ้านยังไม่มีเวลาเลยจ้า... ]]



เชื่อว่าสาวๆ ยุคโซเชียลทั้งนักเรียน นักศึกษาหรือคนวัยทำงาน ต้องเจอปัญหานี้กันมาแทบทุกคน นานๆ เข้าก็หัวตื้อ เบลอ คิดอะไรไม่ค่อยออก จำอะไรไม่ค่อยได้ แถมอารมณ์ก็ขึ้นๆ ลงๆ จนไม่มีใครอยากเข้าใกล้ อาการนี้ไม่ใช่การมโนไปเองนะคะ แต่เป็น

ภาวะทางการแพทย์ที่เรียกว่า ' สมองล้า ( Brain Fog Syndrome ) ' แถมคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่เป็นกันเยอะแต่ไม่รู้ตัว

ด้วยค่ะ .__.



อย่าคิดว่า แค่หัวตื้อๆ ล้าๆ เอง ไม่ต้องไปสนใจมันมากเดี๋ยวก็หายเอง เพราะถ้า ' สมอง ' ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดสั่งการได้ไม่เต็มที่ ทุกอย่างในชีวิตของเธอก็จะพังเป็นโดมิโนอยู่ดี เพราะทุกอย่างมาจากสมองสั่งการ จริงไหม?ดังนั้นอย่าละเลย และรู้เท่าทันภาวะนี้ด้วยการสืบไปถึงต้นตอของ' ภาวะสมองล้า 'กันดีกว่า ว่ามันเกิดจากอะไร และจะมีวิธีป้องกัน ยับยั้งให้สมองกลับมาสดใส หัวโล่ง คิดอะไรได้ราบรื่นเหมือนเดิมบ้าง มาค่ะ ไปดูกัน!


1. ความเครียด

ภาพประกอบบทความ:sistacafe-assets:____%2Fc%2F79330%2Fb2489a12-9f1e-4584-8460-78bc72cc6267.jpeg?v=20240304113914&ratio=1.000

สาเหตุอันดับต้นๆ เรียกว่าเป็นท็อปลิสต์อันดับหนึ่งในการเกิดภาวะสมองล้า ก็คือ ' ความเครียด ' ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะความเครียดคือต้นเหตุของภาวะผิดปกติหลายอย่างในร่างกายค่ะ เช่น เพิ่มความดันโลหิต, กระตุ้นให้โรคซึมเศร้ารุนแรงขึ้น หรือทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนลงจนติดเชื้อได้ง่าย


สาเหตุของความเครียด นอกจากคลื่นแม่เหล็กจากหน้าจอที่เราต้องจดจ่อกับมันทั้งวัน ก็จะเกี่ยวกับภาวะประจำเดือนมาไม่ปกติด้วยเช่นกัน ( สังเกตง่ายๆ เดือนไหนเครียด เมนส์มักมาเลทหรือหายไปดื้อๆ เพราะระบบภายในมีปัญหานั่นเองค่ะ )

เมื่อเครียด สมองจะสั่งการได้ไม่ดีเท่าที่ควร เหมือนสมองถูกบล็อกการใช้งาน จึงทำให้คิดไอเดียสร้างสรรค์ใหม่ๆ หรือใช้สมาธิได้ยากขึ้น ส่งผลให้เครียดมากขึ้นอีก ( เพราะคิดงานไม่ออก ) กลายเป็นวงจรอุบาทว์ไปซะงั้น


เราสามารถบรรเทาความเครียดได้ง่ายๆ ด้วยการเลี่ยงทุกอย่างที่มีคาเฟอีน, แอลกอฮอล์และนิโคติน ง่ายๆ คือเลี่ยงชากาแฟ ไม่ดื่มเหล้าและไม่สูบบุหรี่ค่ะ นอกจากจะช่วยเรื่องสุขภาพกายได้แน่นอนแล้ว ยังช่วยเพิ่มสุขภาพใจให้เฮลตี้ หัวสมองปลอดโปร่งอีกด้วยยิ่งถ้าได้ออกกำลังกาย หาเพื่อนคุยช่วยระบายความเครียด ทำสมาธิ รู้จักบริหารจัดการเวลาให้สมดุลได้ ก็จะยิ่งกำจัดความเครียดได้อย่างยั่งยืนมากขึ้นค่ะ

2. อาหารการกิน

ภาพประกอบบทความ:sistacafe-assets:____%2Fc%2F79330%2F47fd83e8-9f3b-47b1-aa2a-37b24e856ba8.jpeg?v=20240304113914&ratio=1.000

ถ้าจะบอกว่า คนรุ่นใหม่เลือกกินอาหารได้แย่ลงก็คงจะจริง! ด้วยไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบ ต้องออกจากบ้านให้ทันเวลา จะมากินอาหารสุขภาพเป็นเซ็ตๆ นั่งกินชิลล์ๆ ก็คงไม่ใช่ สุดท้ายก็ลงเอยที่แซนด์วิช เบอร์เกอร์หรือข้าวกล่องตามร้านแผงทั่วไปหรือมินิมาร์ท ที่ราคาถูก อิ่มท้องและประหยัด แต่สารอาหารเข้าขั้นวิกฤติบางทีมีแต่คาร์โบไฮเดรตกับเนื้อติดมัน ไขมันทรานส์ ไหนจะของปิ้งๆ ย่างๆ ที่ติดไหม้ ซึ่งส่วนไหม้ๆ นั่นแหละเป็นสารเคมีก่อมะเร็งได้ สรุปทั้งอ้วน ทั้งป่วยเลยจ้าหากสาวๆ ได้รับอาหารที่มีวิตามิน B12 ไม่เพียงพอ จะเกิด ' ภาวะสมองล้า ' ได้ง่ายมากๆ และอาจส่งผลต่อโรคเกี่ยวกับสภาพจิตใจและระบบประสาทอื่นๆ อีกด้วยโดยมีงานวิจัยออกมาว่า วัยผู้ใหญ่เกือบ 40% ขาดวิตามินชนิดนี้เลยทีเดียว! ซึ่งวิตามินนี้จะพบได้ในเนื้อสัตว์ค่ะ ( คนเป็นมังสวิรัติจึงมีแนวโน้มเป็นโรคนี้ง่าย ถ้าไม่กินอาหารเสริมช่วย )อีกทั้งยังไม่ควรขาดวิตามิน D และโอเมก้า 3 เพราะกรดไขมันจะช่วยทำให้สมองสั่งการและใช้สมาธิได้ดีซึ่งหาได้ในอาหารจำพวกปลาทะเล นม ไข่แดง ตับ เป็นต้นอาหารที่สาวๆ ควรลด ละ เลิก ( แม้จะยากมากก็ตาม ) คือรสหวานจากน้ำตาล, คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว ข้าวขาว ขนมปังขาว เพราะยิ่งกินยิ่งกระตุ้นให้ระดับน้ำตาลในเลือดสวิง ทำให้หิวบ่อย กินจุกจิก อ้วนขึ้น แถมหัวตื้อ เพลีย นอนไม่หลับ อารมณ์แปรปรวนอีกด้วยดังนั้นถ้าอยากหัวโปร่งๆ' อย่าเสพติดน้ำตาล 'เป็นอันขาด #เตือนแล้วนะเออ!


3. โรคภูมิแพ้

ภาพประกอบบทความ:sistacafe-assets:____%2Fc%2F79330%2Fe8695226-192c-4eb1-a450-3059155366de.jpeg?v=20240304113914&ratio=1.250

โรคภูมิแพ้ในที่นี้หมายถึง ' ภูมิแพ้อาหาร ' ค่ะ ถ้าสาวๆ มีประวัติแพ้อาหารชนิดไหนอย่างรุนแรง หรือกินแล้วร่างกายจะเกิดเซนซิทีฟ หรือแสดงอาการผิดปกติขึ้นมา เช่น ถั่วต่างๆ ข้าวโพด งาดำ ข้าวสาลี ผลิตภัณฑ์จากนม ( dairy products ) หรือแอสปาแตมจากน้ำตาลเทียม หากเผลอกินอาหารที่ปนเปื้อนเข้าไปโดยไม่รู้ตัว ก็อาจเกิดภาวะสมองล้าได้เช่นกันบางคนมีอาการแพ้รุนแรงที่หมอตรวจพบตั้งแต่เด็กๆ แต่บางคนก็ไม่รู้ว่าตัวเองแพ้ เพราะไม่ได้ส่งผลรุนแรงต่อร่างกายขนาดแอดมิต แต่ส่งผลแบบผิดปกตินิดๆ หน่อยๆ เช่นสมองล้า หัวตื้อ นอนไม่หลับ คนส่วนใหญ่เลยปล่อยผ่าน แต่ที่จริงอาหารนั่นแหละสาเหตุ!ถ้าเธอแอบสงสัยว่าแพ้สิ่งที่กินหรือไม่ ลองงดของกินทุกชนิดที่มีส่วนผสมเป็นของต้องสงสัยนั้นสัก 2 สัปดาห์ ( เป็นเวลาโดยประมาณที่ร่างกายจะขับสารพิษออกจนหมด )หากอาการดีขึ้น ก็ฟันธงได้เลยว่าเป็นเพราะอาหารชัวร์! แต่ถ้าไม่แน่ใจจริงๆ ว่าแพ้อะไร ก็แนะนำให้ปรึกษาหมอดีกว่าค่ะ


4. นอนหลับไม่สนิท พักผ่อนไม่พอ

ภาพประกอบบทความ:sistacafe-assets:____%2Fc%2F79330%2F6c24b457-e853-4be3-b6f1-530c61979552.jpeg?v=20240304113914&ratio=1.000

การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ หรืออดนอนเนี่ย เป็นบ่อเกิดของความผิดปกติหลายๆ อย่างในร่างกายเลยล่ะค่ะ เพราะอย่างที่เรียนกันมาแต่เด็กว่า เราทุกคนต้องนอนหลับ เพื่อให้ร่างกายได้ซ่อมแซมตัวเองอย่างเต็มที่ หากนอนน้อย ร่างกายก็ซ่อมได้ไม่เต็มที่ ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงก็ต้องยอมรับว่ามีคนบางประเภทที่นอนน้อยแค่ 3-4 ชั่วโมง ก็สุขภาพดีปกติ แต่ต้องเป็นคนมียีนชนิดพิเศษซึ่งหายากมากๆ ให้คิดก่อนเลยว่าไม่ใช่พวกเราอย่างแน่นอน!คนทั่วไปต้องการพักผ่อน 8-9 ชั่วโมงเพื่อสุขภาพที่ดี หากนอนน้อยกว่านั้น ผลเสียจะตกอยู่กับสมองของเธอนั่นแหละ นานเข้าก็จะเกิดอาการ brain fog สมองล้า ความจำสั้น สมาธิแย่ลง หรือที่เรียกกันว่า ' อ๊องๆ ' นั่นแหละเวลาล้อเพื่อนเหมือนจะขำ แต่ถ้าเป็นเองบอกเลยว่าไม่สนุกนะ ฟีลเหมือนคนเมาตลอดเวลาน่ะค่ะ สุดท้ายตื่นเช้าก็ไม่ช่วยอะไร เพราะเวลาที่ตื่นก็ทำงานไม่ได้อยู่ดี

ดังนั้นหากเป็นไปได้ พยายามจัดการเวลาให้เข้านอนได้เร็วที่สุด นอนแต่หัวค่ำ ใส่ชุดนอนสบายๆ ปิดผ้าม่านให้มืด ดื่มนมอุ่นๆ กินเมลาโทนิน ทำวิธีไหนก็ได้ให้หลับลึกเราไม่แนะนำให้เปิดทีวีกล่อม หรือหลับคาหน้าจอคอม เพราะแสงสีน้ำเงินจากหน้าจอเหล่านี้จะลดจำนวนเมลาโทนินในร่างกาย ทำให้เวลาตื่นจะตาค้างยิ่งกว่าเดิม ทางที่ดีไม่ควรทำอะไรเกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์ก่อนนอนเลยจะดีที่สุด ให้อ่านหนังสือ หรือฟังเพลงแจ๊ส เพลงคลาสสิกให้เคลิ้มๆ จะหลับง่ายกว่า

5. ฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลง / ฮอร์โมนภายในไม่สมดุล

ภาพประกอบบทความ:sistacafe-assets:____%2Fc%2F79330%2F36432530-6ef8-46a9-ab69-125c4ed32552.jpeg?v=20240304113914&ratio=1.025

บางครั้งการที่เราคิดอะไรไม่ออก สมองไม่แล่นก็มาจากการที่ ' ฮอร์โมนสวิง ' หรือฮอร์โมนแปรปรวน โดยเฉพาะผู้หญิงที่ต้องมีประจำเดือนทุกเดือน ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนกับโพรเจสเทอโรนจะไม่เสถียร ขึ้นๆ ลงๆ ได้ตลอด

สาวๆ บางคนจึงอาจเคยเจอกับภาวะ ' ความจำระยะสั้นขาดหาย ' ลืมไปเฉยๆ ว่าเมื่อเช้าทำอะไร กินข้าวกับอะไร หรือความจำในแง่อื่นๆ ก็อาจแย่ลงด้วยเช่นกัน



หากสาวๆ ตั้งครรภ์ กำลังจะมีเจ้าตัวน้อย หรือมีคุณแม่ คุณน้า คุณป้าที่กำลังจะเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน หรือวัยทอง ( menopause ) ก็ไม่ต้องแปลกใจที่พวกเขาจะเริ่มความจำแย่ลง เป็นเรื่องปกติ

แต่สามารถบำรุงให้กลับมาใกล้เคียงปกติได้ด้วยการนอนหลับพักผ่อนให้พอ กินอาหารที่มีประโยชน์นะคะ



6. ผลข้างเคียงจากยารักษาโรค

ภาพประกอบบทความ:sistacafe-assets:____%2Fc%2F79330%2F97c5ade4-4cca-4b0a-b7ed-5ca2c688684f.jpeg?v=20240304113915&ratio=1.250

หากเธอกำลังป่วยเป็นโรคอะไรสักอย่าง ที่ต้องกินยารักษาตามอาการอย่างต่อเนื่อง เป็นเรื่องปกติมากๆ ที่เธออาจเจอกับ ' ภาวะสมองล้า ' ค่ะ โดยอาจจะเริ่มลืมเรื่องง่ายๆ ที่เคยจำได้ หรือเริ่มสับสน งุนงงกับเรื่องทั่วไปที่เคยเข้าใจได้ปกติ ตั้งสมาธิอย่างที่เคยทำได้ยากขึ้นพอเกริ่นมาแบบนี้หลายคนอาจจะกลัว เหมือนร่างกายค่อยๆ เสื่อมลง แต่ที่จริงไม่ต้องกลัวเลยค่ะ เพราะมันไม่ได้เป็นตลอดไป เป็นแค่ผลข้างเคียงเท่านั้นแก้ไขได้ง่ายๆ ด้วยการลดโดสยาลง หรือเปลี่ยนไปใช้ยาตัวอื่นแทน เพราะแต่ละคนถูกโรคกับยาไม่เหมือนกันยาตัวเดียวกัน บางคนกินแล้วดี หายขาด บางคนกินแล้วแพ้ อาการแย่กว่าเดิม ถ้าเปลี่ยนยาแล้ว อาการควรจะค่อยๆ ดีขึ้นหรือหายไป แต่ถ้ายังไม่หาย กลับแรงกว่าเดิม แนะนำให้ปรึกษาหมอเพิ่มเติมนะคะซิส

7. กำลังป่วย มีโรคประจำตัว / อยู่ในระหว่างการรักษาตัว

ภาพประกอบบทความ:sistacafe-assets:____%2Fc%2F79330%2F4195852c-2e4c-43f0-a83f-ba94760663e8.jpeg?v=20240304113915&ratio=1.000

สำหรับสาวๆ บางคนที่ป่วยเป็นโรคประจำตัว หรือเกิดป่วยเป็นโรคต่างๆ และกำลังอยู่ในช่วงรักษา ก็เป็นปกติมากๆ เช่นกันที่จะเกิด ' ภาวะสมองล้า ' ได้

ตั้งแต่อาการเล็กๆ อย่างการอักเสบ ร่างกายเหนื่อยล้า ภาวะร่างกายขาดน้ำ ระดับกลูโคสในเลือดเปลี่ยนแปลง หรือโรคร้ายแรงอย่างปวดเมื่อยเรื้อรัง, โรคซึมเศร้า, โรคเบาหวาน, โรคไมเกรน, โรคไฮเปอร์ไทรอยด์, โรคโลหิตจาง หรือโรคอัลไซเมอร์ เป็นต้น



ใครที่ตรงกับข้อนี้ ก็ต้องบอกก่อนว่าบางโรคไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ได้แต่รักษาตามอาการ เช่น อัลไซเมอร์ หรือโลหิตจาง

ดังนั้นสิ่งที่ทำได้คือเข้ารับการรักษา กินยาให้ตรงตามเวลาไม่ขาด กินอาหารดีๆ ออกกำลังกายบ้าง ทำจิตใจให้ร่าเริงสดใสอยู่เสมอ ก็จะช่วยลดภาวะสมองล้าไม่ให้รุนแรงไปมากกว่านี้

ได้ค่ะ




-----------------------------------------หวังว่าอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว สาวๆ จะรู้เท่าทันและตรวจเช็คตัวเองได้ถูกต้องว่าเกิดจากอะไร และรู้จักป้องกัน แก้ไขไม่ให้อาการรุนแรงขึ้น หรือกำจัดให้หายไปได้ด้วยตัวเองนะคะ ^^ บางวิธีก้ทำได้ยากแหละ ในยุคที่ต้องการความเร่งรีบแบบนี้ แต่ถ้าทำได้ก็จะดีต่อสุขภาพของเธอเอง เช่นอาหารอาจจะลองทำอาหารเอง เพื่อจะคุมส่วนผสมและสารอาหารได้เอง รู้จักบริหารเวลาให้ไม่จมอยู่กับความเครียดจนเกินไป ไม่อดนอน เพราะเรามีร่างกายเดียว ก็ต้องถนอมให้อยู่ด้วยกันไปจนแก่เนอะ ><สำหรับวันนี้ก็คงต้องลาไปก่อน พบกันใหม่คราวหน้านะคะ บ๊ายบายยย


เว็ปไซต์นี้ใช้คุกกี้

SistaCafe ให้ความสำคัญต่อข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เพื่อการพัฒนาและปรับปรุงเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้โดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ แสดงว่าท่านยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา และ นโยบายการใช้คุกกี้