รวมตอนนิยาย : [ ในดวงมาน...♥ ]
https://sistacafe.com/tags/%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%99
⇐ Previous...#บทที่ 18
https://sistacafe.com/summaries/86727
*~บทที่ 19~*
คำว่า
ความลับไม่มีในโลก
คำพูดนี้ยังคงใช้ได้จริงอยู่ทุกยุคทุกสมัย ถึงแม้ว่า ใครบางคนจะพยายามปกปิดมันอย่างไร สักวันหนึ่งก็ต้องมีใครอีกหลายๆ คนรับรู้ถึงสิ่งนั้นอยู่ดี ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ชายหนุ่มอย่างโชติวุฒิเองก็เช่นกัน ที่บัดนี้ความลับของเขาไม่ได้เป็นความลับอีกต่อไปแล้ว เมื่อนันทวดีภรรยาสาวทราบความจริงเข้าถึงเรื่องความสัมพันธ์ลับๆ ของเขากับหญิงอื่น เธอจึงนั่งรถแท็กซี่สีชมพูเพื่อสะกดรอยตามสามีของเธอไปอย่างระแวดระวังโดยไม่ให้เขารู้ หญิงสาวเลือกใช้บริการรถสาธารณะเพื่อไม่ให้เขาสงสัย หรือเกิดความสะดุดตา
“ ขับตามรถสีดำคันนั้นไปเลยนะคะ...อย่าให้คลาดกันล่ะ ” เธอบอกคนขับรถ พลางจัดระเบียบลูกน้อยที่นั่งอยู่บนตัก
“ ครับผม ” คนขับรับคำ แล้วขับตามรถของโชติวุฒิไป
รถของชายหนุ่มขับมาถึงหอพักของนักศึกษาสาว แล้วหักเลี้ยวเพื่อเข้าไปจอดอย่างคุ้นเคย ทว่ากลับรู้สึกกระอักกระอ่วนใจสำหรับนันทวดี เธอภาวนาว่า ขออย่าให้สิ่งที่เธอคิดเกิดขึ้นจริงกับเธอ
หญิงสาวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นจนแทบจะหลุดออกมา
โชติวุฒิจอดรถ โดยมีนันทวดีแอบซุ่มสังเกตการณ์จากในรถอยู่ด้านนอก
ความถี่อัตราการเต้นของหัวใจเธอเริ่มรุนแรงขึ้น เมื่อเห็นว่า สามีของเธอกำลังก้าวเท้าออกมาจากรถ
“ คุณโชติ... ” วาดลัดดาร้องเรียกเขา พลางก้าวออกมาจากอาคารหอพัก เผยให้นันทวดีเห็นสาวนักศึกษาคนนี้อย่างถนัดตา
หญิงสาวโอบกอดชายหนุ่มอย่างคุ้นเคยด้วยความสนิทเสน่หา พลางชี้ชวนให้เขาเดินขึ้นไปบนห้องด้วยกัน
นันทวดีเสียใจมาก บัดนี้เธอรู้แล้วว่า สามีของเธอกำลังทำการทรยศความรักที่เธอมอบให้ด้วยการนอกใจ
หญิงสาวเปิดประตูรถโพล่งออกไปเตรียมตัวจะมีเรื่อง ทว่าลูกน้อยของเธอที่นั่งมาด้วยกันกลับร้องไห้ออกมาด้วยความตกใจ เพราะกลัวว่า แม่จะทิ้งเขาไป
หญิงสาวหันกลับไปมองก่อนที่จะช้อนตัวหนูน้อยขึ้นมากอดกับอก แล้วร้องไห้ไปด้วยกัน
เธอเหลือบมองดูที่หน้าอาคารหอพักตรงนั้น แต่ก็ไม่เห็นคนทั้งคู่แล้ว
เธอร้องไห้หนักขึ้นสลับกับปลอบลูกน้อยให้นิ่งลง
คนขับรถเห็นเธออยู่ในสภาพนั้นก็ไม่วายที่จะน้ำตาซึม เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าออกมาเพื่อซับน้ำตาบ้าง
นันทวดีก้าวเท้ากลับเข้ามาในรถอีกครั้ง แล้วนั่งลง พลางพูดกับตนเองซ้ำไปมาว่าเธอทำไม่ได้เธอจะปล่อยให้ครอบครัวต้องพังพินาศ เพียงเพราะอารมณ์โกรธของเธอนั้น...เธอทำไม่ได้
หญิงสาวบอกให้คนขับรถพาเธอออกไปจากหน้าหอพักนั่น โดยที่เธอไม่หันกลับมามองมันอีกเลย…
++++++++++++++++++++++++++++++
ทางด้านวาดลัดดา หญิงสาวดีใจที่คนรักของเธอมาหาที่หอพัก หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมาสักระยะหนึ่งแล้ว เธอกอดแขนชายหนุ่มอยู่อย่างนั้น ขณะที่เดินขึ้นบันไดไปยังห้อง
“ วาดคิดถึงคุณมากเลยค่ะรู้ไหม...นี่ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะลูก คุณก็คงจะไม่มา... ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเง้างอน
ชายหนุ่มมองดูเธออย่างเอือมระอา พลางคิดในในว่า เขาไม่น่าปล่อยให้เธอตั้งท้องเลย
“ คุณแน่ใจใช่ไหมครับว่า คุณท้อง ?? ” เขาถามซ้ำ
“ ค่ะ...ทำไมหรือคะ ?? ” เธอยืนยัน พลางถามเขากลับ
“ ผมแค่ถามดูเพื่อความแน่ใจน่ะครับ ” เขาบอก
“ ก็...ประจำเดือนวาดไม่มาได้สักพักแล้วละค่ะ อีกอย่าง...เมื่อวานวาดก็ใช้ที่ตรวจครรภ์เช็กด้วย ” เธออธิบาย
ชายหนุ่มมองดูเธอ แววตาของเขาไม่บ่งบอกถึงความรู้สึกใดๆ แต่สาวน้อยกลับรู้สึกได้ถึงอาการเสียวสันหลังขึ้นมาวาบใหญ่ ราวกับมีลมเย็นๆ พัดมาต้องสัมผัสกับแผ่นหลัง
“ ผมคงให้เขาเกิดมาไม่ได้ ” ชายหนุ่มเบือนหน้า แล้วกล่าวขึ้นในที่สุด
“ อ...อะไรนะคะ ?? ” หญิงสาวเบิกตาอย่างตกใจ เธอแทบไม่เชื่อหูตนเอง พลางถามเขาอีกครั้ง
“ คุณก็ได้ยินชัดแล้วนี่ครับ...ผมคงให้เขาเกิดมาไม่ได้!! ” เขาย้ำ ก่อนจ้องมองเธอด้วยสายตาที่ดุดัน
“ คุณโชติ...ทำไมคุณถึงพูดอย่างนี้ล่ะคะ...ทำไมคุณถึงไม่รับผิดชอบในสิ่งที่คุณทำ ?!!! ” วาดลัดดาเริ่มโวยวาย เธอชูกำปั้นขึ้นมา แล้วทุบตีเขา
“ วาด...หยุด...พอได้แล้ว!!! คุณต้องเอาเขาออก ผมจะปล่อยให้เขาเกิดมาไม่ได้!!! ” ชายหนุ่มเสียงแข็ง
“ คุณโชติ!! นี่เขาเป็นลูกคุณนะ!! ” เธอโวยวาย แล้วร้องไห้
“ ผมรู้!! ผมเองก็มีลูกแล้วเหมือนกัน ” เขาพูดออกมา
คำพูดนั้นทำให้หญิงสาวรู้สึกใจหาย มือไม้ และแข้งขาของเธออ่อนยวบลงในทันใด เขามีลูก...มีครอบครัวแล้วอย่างนั้นเหรอ ?!!
วาดลัดดาทรุดลงไปนั่งกับพื้น เธอร้องไห้ และพร่ำบ่นออกมาอย่างไม่เป็นภาษาด้วยน้ำเสียงที่สั่นระรัว
ชายหนุ่มมองดูเธอที่นั่งพับเพียบอยู่ข้างล่าง พลางเอามือเอื้อมจับเธอเพื่อให้ลุกขึ้น
“ อย่ามาจับตัวฉัน!!! ” สาวน้อยตะโกนสุดเสียง
“ แก...ไอ้บ้า!!! ไอ้ชั่ว!!! แก...แกหลอกฉัน!!! ” เธอด่าเขา พลางทุบตีเข้าที่ขาของโชติวุฒิ
“ วาดพอได้แล้ว!! ทีนี้คุณรู้แล้วใช่มั้ยว่า คุณจะปล่อยเขาเอาไว้ไม่ได้!! ” เขาพูดพลางจับข้อมือเธอเอาไว้ เพื่อไม่ให้เธอทำร้ายเขา
“ ไปกับผม...คุณต้องเอาเขาออก ” ชายหนุ่มพูด แล้วดึงวาดลัดดาให้ลุกขึ้น ก่อนที่จะลากเธอลงบันไดไปกับเขา
หญิงสาวกรีดร้องสุดเสียงเมื่อได้ยินดังนั้น เธอร้องลั่น และกรีดร้องหนักขึ้น เสียงของเธอดังก้องไปทั่วบริเวณอาคารหอพัก
ผู้คนที่อยู่ในห้องต่างเปิดประตูออกมาดูต้นเสียงนั้น แล้วเขาก็พบเห็นสาวน้อยนักศึกษากำลังถูกชายหนุ่มลากให้ลงไปด้านล่าง ท่าทางของเธอเหมือนไม่เต็มใจที่จะไปกับเขา
“ ช่วยด้วยค่ะ!!! ช่วยด้วย ” เธอร้องขอความช่วยเหลือจากคนในหอพัก
“ วาด...หยุดน่ะ หยุดร้องได้แล้ว!! ” โชติวุฒิตะโกนสั่งเธอ พลางมองคนในหอที่กำลังมุงดูเขา
ชายหนุ่มรู้สึกอาย จึงพยายามดึงเธอให้ไปจากตรงนั้นโดยเร็ว
คนในหอพักต่างมองหน้ากันอย่างลังเล เพราะไม่รู้ถึงต้นสายปลายเหตุที่แท้จริง
“ ช่วยด้วยค่ะ!!!...เขาจะพาฉันไปทำแท้ง....เขาจะเอาลูกในท้องฉันออก!! ” หญิงสาวตะโกน น้ำตาของเธอไหลอาบแก้ม
โชติวุฒิรีบเอามือปิดปากเธอไว้เพื่อไม่ให้เธอพูดมากไปกว่านี้
“ เฮ้ย!! นี่มันจะมากไปแล้วนะ ” ชายหนุ่มที่อยู่ห้องติดกับบันไดพูดขึ้น
“ ใจคอมันจะโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!! ” หญิงสาวห้องตรงข้ามพูดขึ้นบ้าง
“ แจ้งความเลยดีกว่าไหม ?!!!...นี่มันเข้าข่ายบังคับขืนใจแล้วนี่!! ” กลุ่มนักศึกษาสาวอีกห้องหนึ่งพูดชี้ชวน
จากนั้นคนที่อาศัยอยู่ในหอพักก็เริ่มด่าทอในการกระทำของโชติวุฒิ
แต่ชายหนุ่มยังคงไม่สนใจ เขาจึงรีบลากวาดลัดดาไปให้พ้นจากตรงนั้น หญิงสาวจึงกรีดร้องหนักขึ้น
“ วาด!!! ” คณิตรีบวิ่งขึ้นบันไดมาหาเธอ จึงทำให้เขาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด
โชติวุฒิมองหน้าเขา เขาเองก็เช่นกัน ต่างฝ่ายต่างประชันหน้ากัน และดูท่าทีของทั้งคู่
“ นั่น...คุณจะพาวาดไปไหน ? ” คณิตร้องถาม
“ มึงอย่ามาเสือก...นี่มันเรื่องของผัวเมีย!!! ” โชติวุฒิขึ้นเสียงด้วยถ้อยคำหยาบคาย
คณิตได้ยินดังนั้นแล้วรู้สึกเลือดขึ้นหน้า เขาเดินเข้าหาโชติวุฒิเตรียมพร้อมที่จะมีเรื่องโดยทันที หนุ่มน้อยผลักโชติวุฒิให้ถอยออกไป โชติวุฒิกระเด็นพลางปล่อยมือออกจากวาดลัดดา ชายหนุ่มรู้สึกเสียท่าจึงเดินเข้ามา แล้วต่อยเข้าที่หน้าของคณิตอย่างแรง คณิตหน้าหงายเกือบตกบันได โชคดีที่เขาจับราวบันไดไว้ได้ทัน เขาพุ่งทะยานใส่โชติวุฒิ ทั้งคู่ล้มลงไปกับพื้น
คณิตนั่งขึ้นคร่อมเขา แล้วใส่หมัดไม่ยั้ง โชติวุฒิพลิกตัวทำให้คณิตเสียหลัก หนุ่มใหญ่จึงได้ทีบีบขอเขาเป็นการเอาคืน
วาดลัดดาถอยออกมาจากตรงนั้น เธอนั่งตัวลีบหลังติดกับข้างฝา ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของหญิงสาวคนอื่นๆ ในหอพักที่ตื่นตระหนกเมื่อเห็นคนทั้งคู่กำลังตะลุมบอน
ทางด้านชายหนุ่มคนอื่นๆ ในหอพัก ต่างก็รีบวิ่งเข้ามาห้ามคนทั้งคู่ไม่ให้ฟาดฟันกัน แล้วเจ็บตัวไปมากกว่านี้
ทั้งคู่ถูกจับยืนขึ้น แล้วแยกตัวออกมาให้อยู่กันคนละมุม
คณิตหน้าตาเขียวช้ำ เลือดกลบปาก ชุดนักศึกษาของเขาหลุดรุ่ย และเลอะเทอะไปด้วยรอยเปื้อนสีน้ำตาลจากการนอนคลุกกับพื้นอาคาร
โชติวุฒิเองก็มีสภาพที่ไม่ต่างกัน หน้าตาของเขาเขียวช้ำ คิ้วของเขาแตก เสื้อผ้ายับยู่ยี่ไม่เหลือมาดของนักธุรกิจ
ทั้งคู่ต่างจ้องตากัน และเตรียมตัวที่จะประจัญหน้ากันได้ทุกเมื่อ
โชติวุฒิมองดูผู้คนที่รายล้อมรอบตัวเขาอยู่ด้านนอก เขารู้สึกได้ทันทีว่า คนพวกนี้พร้อมที่จะรุมประชาทัณฑ์เขาได้เช่นกัน หากเขาเกิดทำอะไรลงไป
ชายหนุ่มมองหน้าคณิตอย่างเคียดแค้น แล้วหันมามองที่วาดลัดดา ราวกับจะบอกว่า นับตั้งแต่บัดนี้ เขาและเธอขาดกัน
“ จะเก็บมันไว้ก็เชิญ... ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ สายตาจ้องมาที่หญิงสาวอย่างเย็นชา และอำมหิต เธอไม่เคยเห็นแววตาแบบนี้ของเขา แววตาเหมือนกับเหยี่ยวที่จ้องจะจับเหยื่อ โดยการบีบให้ตายคาอุ้งเล็บในมือก่อนที่จะจิกกิน
โชติวุฒิผละจากเธอ แล้วลงบันไดไป ปล่อยให้สาวน้อยมองเขาด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ระคนเสียใจ เธอร้องไห้ออกมา เมื่อรับรู้แล้วว่า บัดนี้เขาได้จากเธอไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับ เธอฟูมฟาย แล้วร้องไห้หนักขึ้น พลางเอามือกุมท้องไว้ คณิตรีบทรุดนั่งลงข้างๆ พลางประคองเธอขึ้นมา แล้วไปส่งที่ห้อง
ชายหนุ่มถามถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เพราะเขาได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากหอพักของเธอ เขาจึงรีบมาดูจนกระทั่งเห็นเหตุการณ์ วาดลัดดาเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้คณิตฟัง ตั้งแต่เรื่องที่เธอทราบว่า เธอตั้งครรภ์ แม้กระทั่งเรื่องที่โชติวุฒิมีครอบครัวแล้ว ตลอดจนเธอเกือบจะโดนพาเขาไปทำแท้ง
คณิตทำใจไว้แล้วในเรื่องที่เพื่อนรักคนนี้ตั้งท้อง แต่เขากลับทนไม่ได้ที่เห็นเธอถูกหลอกให้มาเป็นเมียน้อยของผู้ชายใจสัตว์โดยไม่รู้ตัว เขาพยายามข่มใจ และปลอบประโลมเธอไม่ให้คิดมาก ใจของเขาคิดอยากจะแก้แค้น บางทีอาจจะถึงกับอยากฆ่าโชติวุฒิให้ตาย เพื่อจะได้สาสมกับสิ่งที่เขาทำ ชายหนุ่มสัญญาว่า เขาจะช่วยเธออธิบายเรื่องนี้ให้พี่สาว และแม่ของเธอฟัง แต่ตอนนี้เขาอยากให้เธอได้พักผ่อน เพราะเธอยังคงช็อก และเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
วาดลัดดายังคงร้องไห้อยู่อย่างนั้น เธอร้องจนรู้สึกได้ว่า น้ำตาของเธอไม่ไหลออกมาแล้ว แต่เสียงสะอื้นฟูมฟายก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่ และไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ หญิงสาวร้องไห้อยู่นานจนหมดแรง ก่อนที่จะเผลอผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า…
++++++++++++++++++++++++++++++
แม้ว่า วันนี้อาจจะเป็นวันที่ทำให้ชีวิตของใครหลายๆ คนดูย่ำแย่ และหมดสิ้นหนทางในการหาทางออกของปัญหา มันอาจจะเป็นวันแห่งการสูญเสีย วันแห่งการทรยศหักหลัง หรือแม้แต่วันแห่งความผิดหวัง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า เรื่องร้ายๆ จะจบสิ้นลงไปเพียงแค่ในช่วงเย็นของวันนี้เท่านั้น เพราะจากนี้ไปเรื่องเลวร้ายเรื่องใหม่กำลังจะเกิดขึ้นมา หลังจากที่เสียงตัวโน้ตตัวสุดท้ายของบทเพลงในดวงมานบรรเลงจบลง
ภายในงานเลี้ยงเปิดตัวอัลบั้มใหม่ของสาริสาต่างคลาคล่ำไปด้วยเหล่าศิลปินดารา นักข่าว สื่อมวลชน ตลอดจนแขกเหรื่อ และเพื่อนๆ นักธุรกิจของอมรวิสุทธิ์ ราวกับว่า บุคคลเป็นร้อยที่มาร่วมงานในวันนี้ ต่างไม่ได้มีจุดประสงค์มาร่วมยินดีการเปิดตัวอัลบั้มใหม่ของเธอเพียงอย่างเดียวแน่นอน
ท่ามกลางมหาชนมากมาย ทั้งคนดัง และผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งเบื้องหน้า และเบื้องหลังนับร้อยชีวิต นักร้องสาวกลับรู้สึกโดดเดี่ยว เธอแทบจะไม่รู้จักใครในนั้นเลย แม้แต่กับป้าติ่ง ผู้จัดการส่วนตัวของเธอ หญิงสาวรับรู้ได้ว่า เขาคือ คนแปลกหน้าสำหรับเธอไปแล้วในวันนี้ แม้กระทั่งอมรวิสุทธิ์ผู้เป็นบิดา เพราะเขาเพียงคนเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกได้ว่า เธออยากออกไปจากงานเลี้ยงบ้าๆ นี่ให้เร็วที่สุด ถึงแม้จะมียุทธคอยชวนเธอคุยอยู่บ้างหลังจากที่เธอเดินลงเวทีมา ทว่าหญิงสาวกลับไม่เห็นเงาแม่ผู้ช่วยสาวคนรักของเขาเลย
“ สีหน้าไม่ค่อยดีเลยนะซีรี ” ยุทธกล่าวขึ้น เพื่อหาเรื่องคุย
“ พี่ยุทธก็ทราบนี่คะว่า เพราะอะไร ? ” สาวน้อยพูด พลางมองดูพ่อของตนเองที่กำลังทักทายแขกเหรื่อ
“ งานนี้คงมีแต่คุณลุงล่ะมั้งที่มีความสุข ” ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะฉีกยิ้มออกมา แม้จะรู้สึกไม่สนิทใจ
“ แฟนของพี่...เขาไม่ได้มาด้วยเหรอคะ ? ” สาวน้อยถาม
ชายหนุ่มเปลี่ยนสีหน้า ก่อนที่จะส่ายหัวเล็กน้อย
หญิงสาวถอนหายใจ พลางเดินออกมาจากตรงนั้น แล้วหยิบแก้วไวน์จากถาดของบริกรที่ถือเดินไปมา เพื่อที่จะดื่ม
“ เมื่อไหร่งานจะเลิกเนี่ย ?!! ” เธอบ่นพึมพำกับตนเอง พลางกระดกไวน์อึกใหญ่
“ ช้าๆ ก็ได้ซีรี!! เดี๋ยวพวกนักข่าวก็ถ่ายภาพไปลงหนังสือหรอก!! ” ยุทธเดินเข้ามาปราม
เธอมองเขา แล้ววางแก้วลงบนโต๊ะ
“ ชีวิตของหนูเคยกำหนดอะไรเองได้บ้างไหมคะ ? ” เธอถามประชดประชัน
“ ซีรี...ไม่เอาน่า ” ยุทธพูดเพื่อให้เธอคลายความขุ่นข้อง
“ ในเมื่อมันดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว เราก็ต้องคิด และตัดสินใจเองได้แล้วละค่ะว่า เราจะทำอย่างไร เราจะยอมให้เขามาบังคับเราได้อีกไหม...ถ้าพี่ยุทธคิดไม่ได้ก็เชิญใช้ชีวิตดำเนินตามรอยคุณลุงของพี่ต่อไปเถอะค่ะ!! ” หญิงสาวกล่าวกัดจิกเขาทิ้งท้ายก่อนที่จะเดินออกไปจากตรงนั้น
ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่จิตติมาปรากฏกายขึ้นในงาน แขกเหรื่อมากหน้าหลายตาต่างเดินพล่านกันวุ่นวายในห้องรับรองของโรงแรม หญิงสาวสอดส่ายสายตาหายุทธ หรือไม่ก็สาริสา แต่ทว่าไม่พบ เธอเดินฝ่าเข้าไปในฝูงชน เพื่อตามหาคนทั้งคู่อย่างไม่ลดละ เธอภาวนาว่า ขอให้เธอได้เจอกับยุทธโดยเร็ว เพื่อที่เธอ และเขาจะได้ปรับความเข้าใจ และคืนดีกัน
ทันใดนั้น หญิงสาวก็เหลือบมองเห็นยุทธที่ขณะนั้นยืนอยู่ข้างเวที เธอเดินตรงเข้าไปหาเขา แต่ทว่าแสงไฟภายในห้องกลับดับลงอย่างรวดเร็ว และค่อยๆ สว่างขึ้นด้วยแสงจากโคมไฟระย้าบนเพดาน
เสียงช้อนกระทบแก้วไวน์ดังขึ้นสองครั้ง เพื่อเชิญชวนให้แขกเหรื่อที่มาร่วมงานเบนความสนใจไปที่เวที อมรวิสุทธิ์ยืนอยู่ตรงนั้น บัดนี้เขากำลังจะกล่าวสวัสดี และขอบคุณแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานอย่างเป็นทางการ
“ ก่อนอื่นผมต้องขอบคุณสื่อมวลชนทุกท่านที่มาร่วมงานในวันนี้ ถ้าไม่มีพวกคุณก็คงไม่มีนักร้องสาวอย่างซีรี...หรือลูกสาวของผมเกิดขึ้นมาประดับวงการ ผมเห็นพรสวรรค์ทางด้านการร้องเพลงของเด็กสาวคนนี้มาตั้งแต่อายุสิบขวบ และผมก็อยากจะปลูกฝังแกให้มีใจรักทางด้านเสียงเพลงให้มากขึ้น... ” แสงไฟจากสปอตไลต์ส่องมาที่เศรษฐีใหญ่ซึ่งกำลังกล่าวนำอยู่บนเวที ขณะที่เขากำลังยกยอสื่อมวลชน และอวดอวยลูกสาวตนเอง
สาริสารู้สึกได้ถึงอย่างนั้น พ่อของเธออวดอวยเธอเกินไปจริงๆ จนบางทีเธอก็รูสึกหมั่นไส้ตนเอง เพราะความเป็นจริงนักร้องสาวไม่ได้ชื่นชอบการร้องเพลงเลยแม้แต่น้อย เธอถูกบังคับให้เรียนร้องเพลงตั้งแต่อายุแปดขวบโดยพ่อของเธอเอง เพื่อแลกกับการได้เงินเรียนว่ายน้ำ และเข้าคอร์สเรียนเต้นบัลเลต์ตอนเกรดสี่
จิตติมามองดูอมรวิสุทธิ์ที่กำลังยืนพูดอยู่บนเวที พลางมองหายุทธ แต่ทว่าครั้งนี้กลับไม่พบ
“ ...อย่างที่หลายท่านทราบกันดี โรงแรมของผมได้สร้างนักร้องที่มีคุณภาพมาหลายต่อหลายคน จากจุดเริ่มต้นของการเป็นนักร้องประกวด สู่การเป็นนักร้องอาชีพกับวงดนตรีในโรงแรม และกลายมาเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียง... ” อมรวิสุทธิ์กล่าวต่อ
นักร้องสาวย้อนนึกถึงรสรินทร์คู่ปรับของเธอ พลางคิดได้ว่า จุดเริ่มต้นของเธอเองก็คงเริ่มมาจากตรงนี้
“ ...และบัดนี้ลูกสาวของผม ก็เป็นอีกหนึ่งตัวแทนของความภาคภูมิใจ ที่เธอได้สืบทอดเจตนารมณ์ของตระกูลไว้ ขอเสียงปรบมือดังๆ ให้กับเธอหน่อยครับ ” เศรษฐีใหญ่พูดพลางปรบมือนำ จากนั้นแขกเหรื่อคนอื่นๆ ก็พากันปรบมือตาม แม้แต่จิตติมาเองก็ด้วย
แสงไฟสีขาวดวงใหญ่จากสปอตไลต์สาดส่องเข้ามาที่สาริสา สาวน้อยยืนตระหง่านอยู่กลางฝูงชน เธอหันมาฉีกยิ้ม และกล่าวขอบคุณแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน ตามบทที่ถูกเขียนไว้ร่วมกันระหว่างผู้จัดการส่วนตัว และพ่อของเธอ หญิงสาวก้าวเดินขึ้นไปบนยังเวทีนั้น แสงไฟยังคงสาดส่องตามเธอไป ยิ่งเวลาที่แสงนั้นสาดกระทบกับชายผ้าสีครามที่ตัดเย็บจากผ้าไหม ก็ยิ่งทำให้ผ้าของเธอดูเป็นประกายระยิบระยับ และสะท้อนสู้กับแสง
สาริสาหันหน้ายืนแสดงตัวต่อหน้าสื่อมวลชนอยู่ข้างบนเวที เสียงกดชัตเตอร์จากด้านล่างดังต่อเนื่องกันไม่ขาดสาย เธอฉีกยิ้มให้กับกล้อง พลางชูแผ่นอัลบั้มเพลงของเธอขึ้นมาเพื่อให้พวกเขาได้ถ่ายภาพ อมรวิสุทธิ์เห็นดังนั้น ก็ไม่ปล่อยให้แผนการที่เขาได้วางไว้คลาดเสียไปโดยใช่ที่ เขาจึงรีบพูดแทรกขึ้นมา เพื่อดึงความสนใจของทุกคน
“ และตอนนี้...ผมก็มีเรื่องยินดีอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องการจะประกาศ ” หนุ่มใหญ่กล่าวขึ้น และก็เป็นไปตามคาด ทุกคนหยุดทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อฟังเขา
“ ในฐานะที่ผมเป็นพ่อ และลุง ผมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ที่ในเร็วๆ นี้กำลังจะมีข่าวดีเกิดขึ้นตามมา ” อมรวิสุทธิ์พูดประโยคนี้ขึ้นเพื่อให้แขกทุกคนได้ติดตาม เขามองไปที่สาริสา และยุทธซึ่งบัดนี้ได้ขึ้นมายืนอยู่บนเวทีด้วยกันแล้ว
จิตติมามองดูยุทธ พลางแสดงตนเพื่อให้เขาเห็น แต่ทว่าสายตาของเขากลับไม่ได้จ้องมองมาทางฝูงชนเลย
“ ผมเองก็มีหลานชาย และลูกสาวอยู่เพียงอย่างละคน ความหวังของผมก็อยากเห็นลูกหลานของตนเองมีความสุขในทุกๆ ด้าน และผมเองก็แก่ตัวลงทุกวันๆ กิจการโรงแรมของผมก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะมีผู้สืบทอด และผมก็เห็นแล้วว่า ผู้ที่สามารถสืบทอดกิจการของผมได้นั่นก็คือ...ยุทธ หลานชายของผมเอง ” หนุ่มใหญ่พูดพลางผายมือไปทางเขา
ชายหนุ่มค่อยๆ เดินมาหาเขาอย่างระมัดระวัง เพราะอาการที่ยังบาดเจ็บจากทางแผ่นหลังอยู่
จิตติมามองดูเขาด้วยสายตาที่เป็นห่วง นี่คงเป็นเพราะวันนี้เธองอนเขามากไป เลยไม่ได้สังเกตว่า เขาทำอะไรได้ไม่ค่อยถนัด
หัวใจของยุทธเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น สาริสาเองก็เช่นกัน คนทั้งคู่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
สาวน้อยภาวนาให้ญาติหนุ่มของเขากล่าวปฏิเสธการหมั้นสำเร็จตามที่ได้นัดหมายกันไว้
อมรวิสุทธิ์โอบกอดหลานชายด้วยความยินดี จากนั้นจึงพูดเพื่อกล่าวเปิดเรื่องข่าวดีของยุทธเช่นกัน
“ ผมว่า ผมคงต้องส่งต่อไมค์ฯ นี้ให้แก่หลานชายของผมเสียหน่อยแล้ว ดูเหมือนว่า เขาคงอยากจะบอกข่าวดีของเขาให้ทุกๆ ท่านได้ฟังเช่นกัน ” เศรษฐีใหญ่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูตื่นเต้น พลางยื่นไมโครโฟนแก่ยุทธ
ชายหนุ่มรับมา แล้วประหม่าเล็กน้อย เขามองตรงไปยังแขกเหรื่อ และสื่อมวลชนกลุ่มใหญ่ที่อยู่ทางด้านหน้า
จิตติมาใช้โอกาสนี้เพื่อจะแสดงตัว แต่ทว่ากลับถูกบดบังด้วยกลุ่มพวกนักข่าว
“ สวัสดีครับ...ทุกท่าน ผมยุทธ...หลานชายคุณลุงอมร... ” ชายหนุ่มกล่าวด้วยท่าทีขวยเขิน และตื่นเวที
สาริสามองยุทธด้วยความรู้สึกที่คาดหวัง เธอคอยฟังคำพูดของเขาด้วยความตื่นเต้น
“ ...ก่อนอื่นเลยผมต้องแสดงความยินดีในความสำเร็จของน้องสาวของผมคนนี้ด้วยนะครับ ที่เสียงของเธอได้สร้างสรรค์ผลงาน และทำให้โลกใบนี้มีความน่าอยู่เพิ่มขึ้น... ” แขกเหรื่อต่างปรบมือในถ้อยคำของเขาที่กล่าวชื่นชมญาติสาว
สาริสามองหน้ายุทธ เธอฉีกยิ้มให้เขาเล็กน้อยเป็นการขอบคุณ
“ ...ผมมีความยินดีที่จะบอกแก่ทุกๆ ท่านที่มาร่วมงานในวันนี้ว่า ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้รับหน้าที่เป็นผู้สืบทอดกิจการของโรงแรมนี้ ซึ่งผมเองก็ไม่เคยคาดคิด และคาดหวังอะไรกับทรัพย์สมบัติ และทรัพย์สินที่มีค่าเหล่านี้เลย... ” ชายหนุ่มพูดยืนยันกับทุกๆ คนที่มาร่วมงาน
นักร้องสาวใจชื้นเล็กน้อยที่ยุทธกำลังดำเนินไปตามแผน
จิตติมาเองก็เช่นกันเธอเริ่มรู้สึกได้ว่า บรรยากาศรอบๆ ตัวเริ่มดีขึ้น
“ ...แต่เหนือสิ่งอื่นใด อะไรก็ไม่มีค่าสำหรับผมอีกแล้วในตอนนี้ เพราะอย่างนี้เองผมถึงได้ขึ้นมายืนอยู่บนเวที เพื่อที่จะบอกบางสิ่งบางอย่างให้แก่คุณลุง และแขกเหรื่อทุกๆ ท่านได้รับฟัง... ” เขากลืนน้ำลายเล็กน้อยก่อนที่จะพูดประโยคต่อไป
อมรวิสุทธิ์มองหน้ายุทธอย่างแปลกใจ หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ เพราะกลัวว่า หลานชายของตนจะทำให้แผนการทุกๆ อย่างที่เขาวางไว้พัง
ยุทธมองหน้าเศรษฐีใหญ่ เขาอมยิ้มให้เล็กน้อย นัยน์ตาของเขาบ่งบอกถึงความซึ้งใจถึงช่วงชีวิตในอดีตที่ผ่านๆ มา อย่างอาลัยอาวรณ์
“ ...ผมกำลังจะเข้าพิธีหมั้น...กับซีรีครับ ” ชายหนุ่มพูดคำนั้นออกมา ท่ามกลางเสียงฮือฮาของสื่อมวลชน และผู้ที่มาร่วมงาน
สาวน้อยตกใจในสิ่งที่เขาพูด เธอแทบจะล้มทั้งยืน พลางมองดูยุทธอย่างไม่คาดคิดว่า เขาจะทำแบบนี้กับเธอได้
อมรวิสุทธิ์มองหลานชายอย่างพึงพอใจ ก่อนที่จะเดินออกไปโอบไหล่เขาอย่างยินดี หนุ่มใหญ่ชูแก้วบรั่นดีขึ้นสูงพลางโห่ร้องอย่างมีชัย
ยุทธมองหน้าคุณลุงของเขา แล้วพยายามอมยิ้มให้ จากนั้นจึงเหลือบมองสาริสาด้วยสายตาที่หวังจะให้เธอยกโทษ แต่สาวน้อยกลับมองเขาด้วยสายตาที่ขุ่นเคือง และไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ยุทธนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นไม่กี่ชั่วโมง ขณะที่เขาอยู่บนรถกำลังเดินทางมางานเลี้ยงที่โรงแรมแห่งนี้ อมรวิสุทธิ์โทรฯ เข้ามาหาเขา พลางถามเขาถึงเรื่องที่สาริสาไปหาเขาที่บริษัทเมื่อตอนกลางวัน
“ ฉันรู้นะว่า แกกำลังคิดจะทำอะไรอยู่...ยุทธแกจะขัดคำสั่งฉันเหรอ ? ” เศรษฐีหนุ่มร้องถาม
“ ผม...ผมแต่งงานกับซีรีไม่ได้หรอกครับคุณลุง เราเป็นญาติกัน และอีกอย่างผมก็ไม่ได้รักเธอ ” เขาว่า
“ ฉันรู้ว่า แกไม่ได้รัก...แต่อย่างน้อยแกก็น่าจะรักฉัน ที่ฉันเป็นคนเลี้ยงดูแกมา ” เขาทวงบุญคุณ
“ เรื่องนั้นผมทราบดีครับคุณลุง แต่ว่า... ” ชายหนุ่มปฏิเสธ
“ ยุทธ...แกไม่สงสารแม่แกเหรอ ?? ที่ตรอมใจตายเพราะรักคนผิดอย่างพ่อของแก ตาของแกหมายหมั้นปั้นมือให้แม่ของแกแต่งงานกับคนดีๆ อย่างเจ้าสัวเฮง แต่แม่ของแกก็ไปคว้าเอานายทหารชั้นจ่าอย่างพ่อของแกมาเป็นผัว จนแม่แกคลอดแกออกมา แต่ก็ใช่ว่า จะหยุดสันดานเจ้าชู้ของพ่อแกได้ แล้วสุดท้ายล่ะเป็นยังไง ?!! เป็นยังไง ?!!! ทุกวันนี้แกเคยได้เห็นหน้าพ่อของแกอีกมั้ย ?!...ไม่เลย!! ” อมรวิสุทธิ์ขึ้นเสียง
ยุทธน้ำตาซึม เขากำลังจะร้องไห้เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ชายหนุ่มสงสารแม่ที่ต้องทนอยู่กับพ่อที่ไม่เคยมาสนใจดูดำดูดีครอบครัวเลย
“ แกเข้าใจแล้วใช่ไหมว่า ฉันหวังดีกับแกขนาดไหน แกคือ หลานคนเดียวของฉัน ฉันรักแกเหมือนลูก ฉะนั้นวิธีการเดียวที่แกจะมาเป็นลูกของฉันได้ก็คือ แกต้องแต่งงานกับซีรี ” อมรวิสุทธิ์โน้มน้าว
ยุทธถอนหายใจ เขาไม่ยินดีสักเท่าไหร่ในสิ่งที่ลุงของเขาหยิบยื่นให้
“ แล้วถ้าวันนี้...แกประกาศหมั้นกับซีรีตามที่ฉันขอ พรุ่งนี้ฉันจะโอนเงินเข้าบัญชีเพื่อปลดหนี้ธนาคารที่แกแอบฉันไปกู้เงินมาเปิดบริษัทโฆษณา...แกอย่าคิดนะว่า ฉันไม่รู้ว่าแกเป็นหนี้อยู่เท่าไหร่!! ” อมรวิสุทธิ์ยื่นข้อเสนอสุดท้ายให้แก่ยุทธ เพื่อให้เขาใช้เป็นตัวเลือกในการตัดสินใจ
ชายหนุ่มนึกย้อนถึงจดหมายเตือนครั้งสุดท้ายจากบริษัททวงหนี้ที่จิตติมาเอามาให้เขาอ่าน
เขาหลับตา น้ำตาของเขาไหลอาบแก้ม
“ ได้ครับคุณลุง...ผมจะประกาศหมั้นกับซีรี... ” เขารับปากอมรวิสุทธิ์ทิ้งท้ายก่อนจะวางหูไป…
ชายหนุ่มก้มหน้าหลังจากหวนนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น
“ ทำดีมากไอ้หลานชาย ” อมรวิสุทธิ์กระซิบใส่เขาข้างหู แล้วทำทีเป็นชูแก้วร่วมยินดีกับแขกเหรื่อ
ยุทธค่อยๆ ชูแก้วบ้างเช่นกัน สายตาของเขากวาดมองไปที่ฝูงชนที่มาร่วมแสดงความยินดีในงานนี้
ทำให้เขาได้เห็นจิตติมาที่ปรากฏกายขึ้นด้านหน้าเวที ท่ามกลางฝูงชนโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว
ยุทธหน้าถอดสี เขาไม่คาดคิดว่า เธอจะตามเขามาด้วย
จิตติมาค่อยๆ ฉีกยิ้มให้เขาอย่างยินดี แม้สายตาของเธอจะดูเศร้า และหม่นหมอง บัดนี้เธอรู้ และทำใจได้แล้วว่า ทั้งเธอ และยุทธไม่สามารถที่จะเป็นคู่รัก คู่ครองของกันและกันได้
หญิงสาวหันหลังกลับ แล้วเดินออกไปจากตรงนั้น พร้อมๆ กับที่รอยยิ้มของเธอกลับกลายเป็นรอยน้ำตาแห่งความเสียใจ...
++++++++++++++++++++++++++++++
Next...#บทที่ 20 ⇒
https://sistacafe.com/summaries/86729